ภาคต่อของความซวยแสนซวยจากเอสเพสโซร้อนสองซอตราดไปเต็มๆ คือญานิศาจำได้แต่สายตาดุๆ ที่ทำให้เธอแทบจะเรียนไม่รู้เรื่องตลอดสองชั่วโมงที่เขาสอน แม้ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เขาตั้งใจมองด้วยสายตาแบบนั้นเป็นการส่วนตัว แต่ก็นะ คนมันมีชนักติดหลัง เลยอดไม่ได้ที่จะร้อนตัวไว้ก่อน
#เอฟซีอาจารย์ดล คนอะไรหล่อจนเพ้อ หล่อได้เว่อวังอลังการมั๊กๆ หนูเป็นโรคภูมิแพ้ค่ะคุณหมอ โคตรหล่อออออ
คงเป็นการระบายความอัดอั้นวิธีหนึ่งของยัยเอม กระดาษที่ถูกส่งมาเน้นคำว่า ‘หล่อโคตรๆ ’ และเฮชแท๊กเอฟซีอาจารย์ดลไว้ด้านบนตัวโตมาก ซึ่งพอโดนอินดิ้วมากเข้า คนถูกโน้มนำก็ชักคล้อยตาม ถ้าไม่นับเสียงดุๆ ที่เคยคาดโทษกันเอาไว้ สายตาคมดุทะลุคู่กรณีแบบตั้งใจเชือดให้เลือดซิบตายกันไปข้าง เธอก็ยอมรับว่าอาจารย์ดลไหล่กว้างน่าซบ คม สมาร์ท เข้านิยามคำว่า ‘โคตรหล่อ’ แบบที่ยัยเอมว่าจริงๆ
ญานิศามารู้ตัวอีกทีก็ตอนหัวใจตกลงไปอยู่ที่ปลายเท้า เธอรีบคว่ำสมุดแลกเชอร์ที่มีข้อความที่เพื่อนส่งมาให้ลงไปแทบไม่ทัน เมื่อรับรู้ถึงรังสีบางอย่างในระยะเผาขน เสียววาบไปทั้งหลังเพราะอยู่ดีๆ คนมีชื่ออยู่ในแฮชแท๊กก็มายืนข้างหลังตอนห้านาทีสุดท้ายของคาบบรรยายที่มีการสอบควิช ใจสั่นจนพาให้มือสั่น เธอที่ลายมือแย่ระดับไม่น่าให้อภัยอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งแย่หนักลงไปอีก ยังดีที่เขาแค่เดินผ่านมาแล้วผ่านไปให้ความสนใจกับนักศึกษาคนอื่น และการสอบประเมินหลังเรียนทันทีครั้งนี้อนุญาตให้เปิดหนังสือได้
ไม่อย่างนั้นมีหวังไม่ยัยเอมก็เธอหรือไม่อาจจะทั้งสองคนคงได้โดนปรับตกข้อหาทุจริตการสอบ
ญานิศาลืมตาโพลงตกใจตื่นขึ้นมาพร้อมประโยคเสียงเข้มๆ ที่บอกว่า ‘ให้ใช้ปากกาเขียน ไม่ให้ใช้ดินสอ ลายมือขอให้อ่านให้ออก เพราะถ้าอ่านไม่ออกผมจะไม่ตรวจ!!’
มีเรื่องกับใครไม่มีดันไปสร้างประเด็นไว้กับอาจารย์ จากวีรกรรมที่เธอทำไว้แบบเป็นส่วนตัวมากๆ (กาแฟร้อนราดไปเต็มๆ บนอกเขา) อาจารย์ดลคงไม่คิดจะเมตตาปรานีอะไรเธออยู่แล้ว ถ้าสอบตกก็คงเหยียบซ้ำ ยิ่งที่เขาสั่งตอนสองนาทีสุดท้ายก่อนจะหมดเวลา มันไม่ต่างจากการ ‘ขู่กลายๆ ‘หรือบอกเป็นนัยว่าเธอ ‘เตรียมตัวตกได้เลย ‘
ยัยเอมนะยัยเอม หล่อสังหารล่ะสิไม่ว่า เชือดนิ่มๆ แล้วตายไปเลยแบบนิ่งๆ โถ่ ตั้งห้าคะแนน…
พอได้สติก็อยากจะเขกกะโหลกตัวเองนัก คนเพิ่งตกใจตื่นจากพะวงฝันร้ายรำพันเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าตัวเองโลภมากเรื่องคะแนนแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร เพราะมารู้ตัวอีกทีมันก็เป็นไปแล้ว
หลังจากนั้นคนงกคะแนนพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติ พอเริ่มมีสติขึ้นมา เธอก็เริ่มนึกถึงขนมอบ ความโล่งเบาในหัวทำให้รู้ว่าตัวเองเพิ่งตื่นขึ้นมา
เอ๊ะ ตะ… แต่ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
ญานิศาพยายามนึก จากระลึกสุดท้ายที่จำได้ว่าตัวเองกลัวเข็มเจาะเลือดปลายนิ้วจนเป็นลม สาวน้อยเริ่มขยับตัวจากนอนเปลี่ยนเป็นนั่งขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่เป็นสุข กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์หรือไม่ก็พวกน้ำยาฆ่าเชื้อทำให้พอเดาได้ว่าหลังจากเป็นลมล้มพับไปแล้ว ตัวเธอโดนลากปีกมาอยู่ที่ไหน คงจะเป็นห้องพยาบาล…
แล้วถ้าเป็นห้องพยาบาล… ใบหน้าที่พอมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้วเริ่มซีดลงไปอีกรอบ ความเงียบกับแสงไฟสลัวที่ส่องจากด้านนอกผ่านบานประตูซึ่งถูกแง้มไว้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้เลยสักนิด สาวน้อยกวาดตามองไปรอบๆ ห้องเงียบสงัด มือก็คลำสะเปะสะปะควานหากระเป๋าถือที่คิดว่าคนที่พามาคงหยิบติดมาให้เธอด้วย มันอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง หญิงสาวรีบควานมือลงไปค้นข้างในเพื่อหาโทรศัพท์มือถือด้วยความร้อนรน
สี่ทุ่มครึ่ง!!
ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอจากเพิ่มระดับความใจสั่นให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
เธอจะไม่กลัวขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่ห้องพยาบาลของคณะอยู่ติดกับห้องเรียนอาจารย์ใหญ่ของพวกนักศึกษาแพทย์ ในนั้นไม่ต้องบอกทุกคนคงนึกออกว่าจะเจออะไร ไม่ใช่หนึ่ง แต่มีเป็นร้อย!! หรือ… อาจจะมากกว่าร้อย!!
ให้ตายเถอะ เธอไม่คิดจะเรียนสายสุขภาพเลยสักนิด เพราะไม่อยากเฉียดกายเข้าไปใกล้อาจารย์ใหญ่นี่ล่ะ
อาจดูเหมือนไม่มีเหตุผล แต่มันก็เป็นเหตุผลสำหรับคนกลัวสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ขึ้นสมอง
ตอนนี้เธอไม่มีเวลาคิดว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เลือกเรียนชีววิทยาคือเธอชอบความสวยงามของดอกไม้ สีเขียวของต้นไม้ และความน่ารักของสัตว์โลกต่างๆ สารพัดสายพันธ์มากกว่าการเห็นความเจ็บป่วยและสีหน้าอมทุกข์ของมนุษย์ ตากลมมองผ่านความมืดรอบๆ อย่างระแวดระวัง กลิ่นแอลกอฮอล์หอมสะอาดพอลอยมากระทบจมูกตอนนี้ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้น เพราะกลิ่นนั้นใกล้เคียงเหลือเกินกับกลิ่นฟอร์มาร์ลีน
อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!!
คนตัวเล็กรีบกระถดตัวลงจากเตียง มันไม่สูงมากแต่ก็สูงกว่าเตียงนอนตามบ้านทั่วไป การกะระยะผิดผสมกับความคิดที่คนกลัวผีจัดมโนไปไกลในหัวสมอง ทำให้ญานิศาเซไปข้างหน้าทั้งตัวจนเกือบหัวคะมำตอนเท้าแตะพื้น สาวน้อยหลับตาแน่นเมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา ความรู้สึกร้อนวาบบนต้นแขนเหมือนโดนจับเอาไว้แน่น ทั้งที่ควรดีใจ แต่กลับทำให้ตัวแข็งท่อขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
“อะ… อาจารย์ใหญ่” ไม่นะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พรุ่งนี้เช้าจะรีบทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะคะ
“ไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ ผมเอง” เสียงถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่ายเต็มที่ทำให้ญานิศาต้องกลั้นใจลืมตาขึ้นมอง เมื่อได้สติเธอเพิ่งรู้ว่าห้องไม่ได้มืดเหมือนเมื่อกี้นี้แล้ว คงเพราะเขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ เธอได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ เมื่อครู่
มันไม่ดีเลย เพราะความสว่างทำให้เธอเห็นว่ามีใครบางคนหรี่ตามองมาอย่างรู้ทัน
“อะ… อาจารย์”
“อะ… อาจารย์” และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของฉายา ‘หล่อโคตรๆ ‘ของยัยเอม แต่ ‘หล่อสังหาร’ พร้อมจะฆ่ากันให้ตายไปข้างสำหรับเธอ
สาวน้อยพยายามทรงตัวให้ตรงที่สุดทั้งที่ยังก้มหน้า พอเห็นว่าเป็นใครญานิศาก็ทำท่าจะคะมำลงไปอีกรอบ ปกติเธอไม่ชอบส่วนสูงร้อยห้าสิบแปดของตัวเอง เพราะมันทำให้ดู ‘เตี้ย’ ไม่ว่าจะเดินกับใครก็ตาม แต่วันนี้กลับนึกขอบคุณมันเป็นพิเศษ ที่ทำให้เธอไม่ต้องเห็นหน้าคนสูงกว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าสามสิบเซน มากที่สุดระดับสายตาก็แค่แผงอกเขานี่ล่ะ
วะ…ว่าแต่อก แผงอก!!
คนมีความผิดติดตัวอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบตาหาร่องรอยบาดแผลจากวีรกรรมที่ตัวเองทำเอาไว้ แต่ช่องว่างลอดเม็ดกระดุมเสื้อเชิ้ตจะเปิดกว้างออกให้เห็นอะไรข้างในบ้างสักนิดก็ไม่มี
“ก้มหน้าอย่างนั้นมันจะยิ่งมึนไหมญานิศา เงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว ผมไม่ใช่ผี”
เสียงขรึมทว่าเจือแววรู้ทันทั้งสองอย่าง ทั้งเรื่องกลัวผี รวมทั้งที่เธอ… แอบมองแผงอกเขา ญานิศาจำต้องเงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง ทั้งที่เป็นไปได้เธออยากมุดอก มุดโต๊ะ มุดเตียง หรือวาบเข้ากำแพง หายตัวไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เอ๊ะ ว่าแต่มุดอก…
อกใคร อะไร ที่ไหน ไม่มี้ ที่เห็นยืนหน้าทะมึนสายตาเหมือนกับจะกินหัวเธอได้ตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียว ยัยเอมนะยัยเอม คอยดูนะจะแอบเอากุญแจไปซ่อนให้เข้าห้องไม่ได้ เอาเรื่องอะไรไม่รู้มากรอกหู พาให้เธอเพ้อเจ้อตามไปด้วย!!
มโนไปไกล แล้วก็ต้องหลบตาเพราะกลัวคนฉลาดอย่างเขาจะรู้ทัน ตอนนี้ญานิศารู้แล้วว่าน่ากลัวกว่าอาจารย์ใหญ่ก็อาจารย์ดลวัฒน์ตรงหน้าเธอนี่ล่ะ!!
“ขะ…ขอโทษค่ะ” สาวน้อยก้มหน้าก้มตาบอกเสียงแผ่ว กลิ่นยาจากเสื้อกาวน์ยาวที่เขาใส่ มันคล้ายกัน… หรืออย่างน้อยก็จัดอยู่ในพวกเดียวกับฟอมาร์ลีนที่เธอผวา คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้ง ที่ทำให้พออยู่ใกล้เขาแล้วใจเต้นแรงแบบแปลกๆ
“ขอโทษเรื่องอะไรญานิศา ผมต่างหากที่ต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น” เสียงทุ้มนั้นไม่ได้แฝงด้วยความประชดประชัน แต่คงเพราะเขาจำชื่อเธอได้ ทั้งที่เขาเป็นอาจารย์และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องขอโทษแต่เขาก็เอ่ยขอโทษ เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนฟังแปลความไปอีกอย่าง
ญานิศาแปลความหมายได้ว่าเขากำลังต่อว่าว่าเธอเป็นเด็กไม่มีมารยาทและถือโอกาสสั่งสอนทางอ้อม
ดลวัฒน์มองคนก้มหน้านิ่งอย่างรู้ทันแล้วส่ายหน้า
“เอาเถอะ คุณสบายใจได้ว่าผมไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น แล้วนี่เป็นไง พอยืนเองได้หรือเปล่า” ถ้าเธอกำลังโกรธ คำพูดเหน็บแนมนั้นมันก็ยิ่งสมควรโกรธเข้าไปอีกใช่หรือเปล่า
แต่ไม่!! ญานิศาเพิ่งมารู้ตัวเองว่าไม่ได้กำลังโกรธอยู่เลย เธอกำลังประหม่าเพราะเพิ่งมาคิดได้อีกรอบว่าแขนตัวเองถูกเขาจับไว้อยู่
อาจารย์ดลวัฒน์ก้มลงมองที่มือตัวเองซึ่งจับอยู่บนต้นแขนของเธอเป็นเชิงถามแต่ยังไม่ยอมปล่อย ความใจเย็นเกินไปของเขาทำให้เธอต้องรีบตอบ
“ไม่ค่ะ หนูไม่เป็นไรแล้ว” ญานิศารู้เลยว่าพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่เสียงที่พูดออกไปนั้นสั่นนิดๆ จนกลัวว่าคนฟังจะจับได้ อาจารย์ดลวัฒน์เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มือยังจับไว้อยู่ แต่พอเธอพยักหน้า เขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี
มีบางอย่างผิดปกติไปภายในห้องแคบๆ แห่งนี้ ญานิศาเพิ่งสังเกตว่าไม่มีใครเลยสักคน ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่หรือเพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอ
“เพื่อนมิ้ม เอ่อ หนูรออยู่ที่ไหนหรือคะ” ถ้าตาไม่ฝาดเธอเห็นหัวคิ้วอาจารย์หมอขมวดเข้าหากันนิดหน่อยแต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งเป็นปกติ เขาตอบเสียงเรียบๆ
“เพื่อนคุณกลับไปหมดแล้ว” …พร้อมคำอธิบายเพิ่มเติมว่าเอมิกามาอยู่เป็นเพื่อนเธอพักใหญ่ก่อนขอตัวกลับไปตอนหกโมงเย็นเพราะหากช้ากว่านั้นจะไม่ทันขึ้นเครื่องกลับบ้าน ส่วนเพื่อนคนอื่นก็มีธุระต้องกลับบ้านเช่นกัน
ญานิศาฟังแล้วแทบยกมือตบหน้าผากตัวเอง เธอลืมไปว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ และอาทิตย์นี้มีวันหยุดยาวติดต่อกันจนถึงวันอังคาร มิน่าเพื่อนที่เคยรักนักรักหนาถึงไม่อยู่ดูใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงกันเลยสักคน!!
จะโกรธเต็มที่ก็โกรธไม่ลง เพราะเมื่อหันไปดูนาฬิกาอีกรอบ… เกือบห้าทุ่ม!!
มันก็น่าอยู่หรอก ก็ดันหลับเป็นตายซะขนาดนั้น
ตั้งแต่เที่ยง เธอหลับไปเป็นสิบชั่วโมง นอกจากเป็นลม ญานิศากำลังนึกโทษอิทธิฤทธิ์ของยาแก้แพ้ที่กินไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน ถ้าใครเคยโดนฤทธิ์ร้ายกาจของมันเข้าไปคงรู้ซึ้งกับตัวว่าทำให้มึนได้ทั้งวันขนาดไหน กว่าจะฝืนให้ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าได้ช่างยากเย็น ยิ่งพอได้นอนในที่สบายๆ แอร์เย็นๆ แบบนี้…
พอนึกถึงที่นอนสบายๆ และแอร์เย็นๆ เธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า…
“นี่ไม่ใช่ห้องพยาบาล” มีคนใจดีเฉลยให้ แต่จะหาว่าอคติก็ได้ เธอเห็นอาจารย์ดลวัฒน์กระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง… ตอนเธอแอบถอนหายใจโล่งอก
“แล้วที่นี่ที่ไหนคะ” …ตากลมมองสำรวจไปรอบๆ
ห้องนี้มองผ่านๆ ก็คล้ายห้องพยาบาลอะไรทำนองนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมองพิศกันจริงๆ กลับให้อารมณ์เหมือนพวกห้องตรวจ ห้องพักแพทย์เสียมากกว่า
“ห้องตรวจผมเอง ตอนคุณเป็นลมไปหน้าซีดมาก ผมอยากตรวจอย่างละเอียดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยพามาที่นี่ เผื่อต้องให้น้ำเกลือด้วย” …แต่ที่คิดไม่ถึงคือนักศึกษาในความดูแลของเขาจะหลับเป็นตายปลุกก็ไม่รู้เรื่องไปเป็นสิบชั่วโมง
ดลวัฒน์เพิ่งมากระจ่างถึงเหตุผลตอนเห็นค่าเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil ที่สูงเกินปกติจากการเจาะเลือดส่งตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
“คุณจะนอนพักอีกสักหน่อยก็ได้” เขาบอกแล้วหันหลังเดินออกไป แต่ญานิศาก็เกรงใจเกินไป เธอนอนไปเป็นสิบชั่วโมงจะให้นอนต่อก็กระไรอยู่