บทที่ 4.4
วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี
“แล้วถ้าเรามีถังกรองน้ำเล่าเจ้าคะ”
สำหรับซ่งไป๋ลู่การทำเครื่องกรองน้ำไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นเกินตัว เพราะเหล่านางเอกที่ย้อนยุคข้ามเวลามาเป็นชาวสวนก็ล้วนมีความรู้ด้านนี้ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่นนิยายที่นางชื่นชอบเป็นอย่างมาก เรื่อง เด็กน้อยผู้นี้ข้าจะเลี้ยงเอง ตัวละครหญิงที่ทะลุมิติไปก็ทำเครื่องกรองน้ำเช่นกัน ดังนั้นตัวนางที่เป็นนักรีวิวมือทองย่อมศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้มาอย่างดี
“อะไรคือถังกรองน้ำกัน”
“ย่อมเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้น้ำสะอาดเจ้าค่ะ”
ซ่งไป๋ลู่ไม่ได้อธิบายขยายความ หลังจากที่ซ่งต้าลู่ใช้เวลาอยู่แปดวันในการลอกร่องทางน้ำต่อมาจากลำธารใหญ่ ซ่งไป๋ลู่ก็นำเงินค่าลูกพลับที่ขายได้หนึ่งในสิบส่วนเปลี่ยนเป็นถังไม้ใบใหญ่ ก่อนจะจัดการดัดแปลงเป็นเครื่องกรองน้ำขนาดเล็ก
ซ่งหานลู่มองน้ำที่ขุ่นมัวไหลผ่านถังไม้ที่บรรจุหินและทรายไล่ลำดับกันลงมา ค่อยๆ ไหลออกมาเป็นน้ำสีใสกระจ่างก็เบิกตากว้างร้องด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่! พี่รอง! น้ำ... น้ำใสแล้วจริงๆ พี่รองสิ่งนี้ท่านเทพก็สอนท่านมาหรือ”
ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำถามของน้องชายก็ไร้คำอธิบายถึงที่มาของความคิดนี้ สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับคำไป
“พี่ใหญ่ต่อไปท่านไม่ต้องลำบากตื่นแต่เช้าไปตักน้ำที่ตีนเขามาให้พวกเราใช้อีกแล้วนะเจ้าคะ”
ซ่งต้าลู่ไม่ได้สนใจน้ำใสกระจ่างที่ไหลออกจากถังใบใหญ่ตรงหน้า หากแต่ที่เขากังวลก็คือความฉลาดเกินตัวของซ่งไป๋ลู่ สิ่งใดที่โดดเด่นเกินไปมักนำภัยมาให้เสมอ
“น้องรองหากมีใครถามเรื่องนี้ ให้บอกว่าข้าเป็นคนคิดเข้าใจหรือไม่”
ซ่งไป๋ลู่สบสายตาห่วงใยที่ทอดมองมายังตนแล้วยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำ นางรู้ดีว่าที่ซ่งต้าลู่ทำเช่นนี้ไม่ใช่หวังเอาความดีเข้าตัว แต่เป็นเพราะห่วงใยเธอ เด็กหญิงไร้การศึกษาแม้แต่อักษรสักตัวก็ยังไม่เคยเล่าเรียนจะมีความคิดลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าเหตุผลที่นางถูกชี้แนะโดยท่านเทพนั้นนำมาหลอกเด็กน้อยเช่นซ่งหานลู่ได้ แต่หากเป็นผู้อื่นย่อมไม่มีทางสำเร็จ
“พี่รองน้ำนี่กินได้หรือไม่”
“ไม่ได้ แม้น้ำนี่จะใสเห?