บทที่ 4.3
วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี
“พี่รองท่านไม่ปลูกต่อแล้วหรือ”
“เท่านี้ก็คงพอแล้ว ที่เหลือเอาไว้ปลูกอย่างอื่นเถิด”
เป็นอีกครั้งที่ซ่งหานลู่ไม่เข้าใจความคิดของพี่สาว ที่ดินมีร่วมสิบหมู่แต่พี่สาวของเขากลับปลูกข้าวโพดเพียงหนึ่งหมู่เท่านั้น หรือเพราะพี่สาวของเขาทนแดดร้อนไม่ไหว
“พี่รองหากท่านเหนื่อยก็ไปนั่งพักเถิด ที่เหลือข้าจัดการต่อเอง”
ด้วยวิธีการที่ท่านเทพสอนพี่สาวของเขามา หากเขาเร่งมือเร่งเท้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะปลูกข้าวโพดเพิ่มได้อีกสักหนึ่งหมู่ก่อนฟ้ามืด
“ไม่ใช่ว่าข้าเหนื่อย เพียงแต่ของที่มีมากไปย่อมไร้ประโยชน์”
ซ่งไป๋ลู่เข้าเมืองหลายครั้งไม่เพียงเพื่อค้าขายผลไม้ป่า แต่ยังแอบสังเกตสิ่งของต่างๆ ในตลาด แน่นอนว่าสิ่งที่เธอเห็นว่ามีจนล้นเหลือก็คือข้าวโพด ดังนั้นปีนี้ปลูกแค่พอกินในครัวเรือนก็เพียงพอแล้ว
“ข้าเชื่อฟังพี่รอง”
ซ่งหานลู่คล้อยตามอย่างเชื่อฟัง แม้ในใจจะยังสงสัย ทว่าสามเดือนที่ผ่านมาพี่สาวคนนี้ของเขาก็มักทำเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ่อยๆ และทุกครั้งก็ล้วนเป็นผลดีทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยโต้แย้งอะไร ทำเพียงหยิบถังไม้เดินไปตักน้ำที่ลำธารมารดข้าวโพดหนึ่งหมู่นี้
“ลำธารอยู่ไม่ไกลมาก หากสามารถลอกทางน้ำเข้ามาได้คงดี”
“ลอกทางน้ำคืออะไรหรือขอรับ”
“คือการขุดเส้นทางน้ำ มีตัวเปิดปิดให้น้ำไหลเข้าที่ดินตามที่ต้องการ เช่นนี้ยามจะรดน้ำผักหรือใช้สอยก็ไม่ต้องหิ้วให้เหนื่อยอย่างไรเล่า”
แม้การขุดลอกทางน้ำจะเป็นเรื่องที่ดี แต่การจะทำสิ่งนี้ก็ต้องใช้อยู่ไม่น้อย นางที่ยามนี้เป็นเพียงเด็กสิบขวบคงไม่อาจลงมือได้ อีกทั้งช่วงนี้ซ่งต้าลู่ต้องเร่งทำนาปลูกข้าวให้ทันฝน คงวุ่นวายเกินกว่าจะมาช่วยนางลอกทางน้ำ
ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงจำใจหยิบถังน้ำเดินไปยังลำธาร หาบไปหาบมาอยู่หลายรอบจึงรดน้ำข้าวโพดและผักหลังบ้านเสร็จ ด้วยเหตุนี้เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จสองพี่น้องก็หมดแรง
ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ เพียงสองจานไว้รอซ่งต้าลู่ ก่อนจะไปล้างตัวแล้วกลับมาเอนหลังนอน
ยามที่ซ่งต้าลู่กลับมาถึงบ้านก็พบว่าอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะ ส่วนน้องทั้งสองคนหมดแรงนอนหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว
“น้องรอง น้องเล็ก ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนค่อยนอนต่อ”
เสียงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนโยนของซ่งต้าลู่ดังขึ้น คนที่หมดแรงหลับไปจึงลุกขึ้นมากินข้าวด้วยอาการกินไปหลับไปอย่างแท้จริง หลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงท้องก็หมุนตัวทิ้งกายลงนอนหลับต่อในทันที
ซ่งต้าลู่มองน้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มระคนรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่ชายได้ไม่ดี น้องทั้งสองจึงต้องยากลำบากเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากจัดการเก็บถ้วยชาม และตักน้ำใส่ถังไม้ในบ้านจนเต็มทุกใบแล้ว ในยามฟ้าสางซ่งต้าลู่ยังเร่งตื่นก่อนผู้อื่น แบกถังไม้ไปตักน้ำมารดข้าวโพดที่น้องทั้งสองของเขาช่วยกันลงแรงปลูก รวมถึงหยิบจอบมาขึ้นแปลงเพิ่มไว้ให้พวกเขาอีกสองหมู่
เมื่อซ่งไป๋ลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ริมฝีปากเล็กก็ยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณซ่งต้าลู่จากใจจริง
“พี่ใหญ่มากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ซ่งต้าลู่ยังคงออกจากบ้านไปทำงานเช่นเดิม ซ่งไป๋ลู่หยิบถุงเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองมาคัดแยกแล้วพาน้องชายตัวน้อยลงแรงปลูกถั่วเหลืองอีกหนึ่งหมู่
“พี่รองที่ดินหนึ่งหมู่หลังบ้านนั่นท่านไม่ปลูกอะไรหรือ”
“ย่อมต้องปลูก”
วันต่อมาซ่งไป๋ลู่ก็เอากล้าพริก ฟักทอง มะเขือเทศ ต้นหอม ต้นกระเทียม และ พืชผักทำกินอีกหลายชนิดมาลงดินเรียงเป็นแถว ซ่งหานลู่มองดูแล้วก็ได้แต่ยิ้มกว้าง มือเล็กลูบบนท้องของตัวเองไปมา ต่อไปเขาไม่ต้องห่วงเรื่องท้องว่างอีกแล้ว
“พี่รองท่านเทพยังสอนอะไรท่านอีกหรือ”
ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำถามของเด็กน้อยก็ยิ้มกว้างขบขัน ดูเหมือนซ่งน้อยหานลู่จะเชื่อนิทานหลอกเด็กของนางแล้ว มือขาวยกขึ้นกวักเรียกน้องชายให้ขยับตัวมาประชิดแล้วกระซิบบอกเสียงจริงจัง
“เรื่องนี้เป็นความลับขั้นสุดยอด หากข้าบอกเจ้าแล้ว น้องเล็กเจ้าจะบอกผู้อื่นไม่ได้เข้าใจหรือไม่”
ซ่งหานลู่คล้ายกำลังจะได้ฟังเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ ใบหน้าที่เริ่มกลมยุ้ยเคร่งขรึมตั้งใจฟังคำของพี่สาว
“ชะตาชีวิตของเจ้าหากได้เรียนรู้เรื่องการแพทย์จะทำให้อนาคตก้าวหน้า”
“พี่รองท่านพูดจริงหรือ”
“ย่อมเป็นเรื่องจริง ดังนั้นหากเจ้าอยากก้าวหน้านับจากนี้เจ้าต้องเรียนรู้ตำราแพทย์ หมั่นศึกษาเรื่องสมุนไพรเข้าใจหรือไม่”
ในยุคที่หมอมีฝีมือหายากเสียยิ่งกว่าทองคำ หากอยากช่วยให้ซ่งหานลู่พ้นชะตากรรมที่นักเขียนวางเอาไว้ หนทางเดียวคือต้องให้เด็กชายผู้นี้รู้วิธีสังเกตและรักษาตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ
“แต่ข้าไม่รู้หนังสือ จะเรียนรู้ตำราแพทย์ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงนี้ของน้องชายซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มแห้ง ก่อนจะหยิบถังไม้ขึ้น
“เช่นนั้น หากเจ้าอยากก้าวหน้าก็ต้องช่วยข้าทำสวน ฤดูหนาวปีนี้ข้าจะส่งเจ้าเข้าสถานศึกษาในเมือง”
“ได้! ข้าเชื่อฟังพี่รอง”
ซ่งหานลู่ขานรับอย่างหนักแน่น เรื่องชะตาชีวิตของเขาในอนาคตจะเป็นเช่นไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือตอนนี้เนื้อต้องใช้เงินซื้อ
............................................
เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงลูกพลับบนเขาเริ่มทยอยสุกงอม ซ่งไป๋ลู่และซ่งหานลู่รดน้ำผักและผลไม้ในสวนหลังบ้านเสร็จก็หยิบตะกร้าสานขึ้นใส่บ่า
“พี่รองวันนี้ข้ากับน้องเล็กจะขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับ ตอนเย็นท่านช่วยแวะไปขนที่เชิงเขาเหมือนเดิมได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้”
ยามที่ตะวันคล้อยต่ำซ่งต้าลู่ที่ล้างตัวจากดินโคลนแล้วก็เร่งไปรับตะกร้าผลพลับไปส่งที่บ้านตระกูลกู้
“วันนี้ข้ารดน้ำผัก และทำอาหารเย็นไว้ให้แล้ว พวกเจ้าสองคนกลับถึงบ้านอาบน้ำแล้วก็มากินข้าวได้เลย”
“พี่ใหญ่ท่านเองก็ทำงานหนักมากแล้ว เรื่องพวกนี้ครั้งหน้าให้ข้าจัดการเองเถิด”
เพราะได้ที่ดินมาเพิ่ม งานที่ซ่งต้าลู่ต้องดูแลจึงเพิ่มตามไปด้วย ซ่งไป๋ลู่ยังไม่อยากกำพร้าพี่ชายตอนนี้ย่อมต้องถนอมเขาให้มากสักหน่อย
“ใช่แล้วๆ พี่ใหญ่ท่านอย่าเข้าครัวอีกเลย”
ซ่งหานลู่เอ่ยสมทบพี่สาว ทว่ามิใช่เพราะห่วงใยพี่ชาย แต่เพราะทุกครั้งที่พี่ใหญ่ลงครัวอาหารมักเป็นเพียงผักต้ม ไม่เพียงไม่มีเนื้อให้กิน แม้แต่รสชาติก็ย่ำแย่ยิ่ง
“ยามนี้ตัวของเจ้ากลมจนปีนต้นไม้ไม่ไหวแล้ว หากยังให้พี่รองของเจ้าเป็นคนคุมเตาเกรงว่าต่อไปข้าคงมีน้องชายเป็นหมูแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายที่ทำหน้าย่นแล้วยิ้มกว้าง ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายตัวน้อย หรือเด็กหนุ่มตัวโตก็ล้วนถูกนางบำรุงด้วยเนื้อและนมจนมีร่างกายกำยำสมวัยทั้งสิ้น ทั้งหมดนี่ล้วนทำให้หัวใจของซ่งไป๋ลู่ปลาบปลื้มยิ่งนัก
“ถึงบ้านแล้วน้องเล็กเจ้ารีบไปอาบน้ำเถิด”
“ขอรับ”
ซ่งหานลู่รับคำอย่างว่าง่าย สองเท้าเล็กวิ่งไปหยิบชุดใหม่แล้วไปล้างตัวที่ห้องเล็กหลังเรือนในทันที
“น้องรองผลพลับพวกนี้เจ้าเอามาทำพลับแห้งใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ยังมีพุทราอีกหนึ่งตะกร้านั่นด้วยเจ้าค่ะ”
ซ่งต้าลู่พยักหน้ารับก่อนจะรีบยกของเข้าไปไว้ในครัว ดวงตาของเด็กหนุ่มมองห้องครัวที่เต็มไปด้วยเสบียง ทั้งข้าวสาร ปลาแห้ง เนื้อแห้ง หรือแม้แต่ผลไม้แห้งและผักดอง น้องสาวของเขาก็เตรียมพร้อมไว้ทั้งหมด ใบหน้าที่มักเรียบเฉยมีรอยยิ้มบางๆ ทุกครั้งที่คิดถึงน้องสาวของเขา
ช่างเป็นน้องสาวที่รู้ความขึ้นทุกวันจริงๆ
“พี่ใหญ่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่าน”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จ ซ่งต้าลู่ไม่ได้ขานรับ ทว่าท่าทีสบตานิ่งพร้อมรับฟังของเขาก็ทำให้ซ่งไป๋ลู่มั่นใจที่จะเอ่ยบอกความคิดของตนเอง
“ตอนนี้ฝนเริ่มไม่ค่อยตกแล้ว ที่ดินของท่านป้าใหญ่ติดกับแม่น้ำ อีกทั้งมีทางน้ำสำหรับเข้านา หากข้าลอกร่องทำทางน้ำต่อมาที่บ้านเราจะได้ไหมเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากไปตักน้ำที่ลำธารมาให้พวกเราใช้”
ที่สำคัญนางจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหาบน้ำมารดพืชผลเหล่านั้นด้วย
“หากเจ้าจะลอกร่องทำทางน้ำเพื่อใช้รดน้ำพืชผักนั้นย่อมได้ ทว่าน้ำที่ไหลผ่านทางลอก นำมาใช้ในบ้านไม่ได้”
ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบน้องสาว นางยังเด็กอาจไม่เข้าใจว่าการนำน้ำมาใช้ในบ้านนั้น ต้องตักน้ำจากต้นน้ำ อีกทั้งยังต้องตักอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นจะได้น้ำที่ขุ่นและสกปรกไม่สามารถนำมาใช้ได้
เรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดี แต่การไปตักน้ำที่อยู่ห่างจากบ้านถึงสี่ลี้ก็นับว่ายากลำบากไม่น้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางดีใจ
“แล้วถ้าเรามีถังกรองน้ำเล่าเจ้าคะ”
............................................