บทที่ 2 คนแรก

2191 Words
อวี่ถงมองอาภรณ์สีเหลืองอ่อนของสตรีบนเตียงด้วยความลำบากใจ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครเป็นคนนำมันมาให้ ทั้งที่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทำได้เพียงแค่ลอบมองเหล่าคุณหนูที่สวมใส่อาภรณ์งดงามด้วยความอิจฉาเท่านั้น โดยเฉพาะลายปักดอกโบตั๋นที่นางวาดเองกับมือ มือบางลูบไล้แผ่วเบา ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวาสนานี้ ได้สวมใส่อาภรณ์ราคาแพงในร้านของตัวเองสักครั้ง แต่คิดอีกทาง บางทีส้าวเฉียนอาจต้องการมอบให้นางเพื่อเป็นสินบนปิดปาก แล้วสั่งให้นางออกเดินทางไปเสียก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็อาจจะทำให้นางเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะสวมอาภรณ์ เมื่อสวมเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นหมุนตัวมองรอบตัวเองอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย “ท่านอวี่ถง คุณชายเรียกหาเจ้าค่ะ” เสียงของบ่าวรับใช้ดังมาจากหน้าประตู ทำให้อวี่ถงต้องเร่งมือจัดการตัวเองเร็วขึ้น ทว่าจะทำอย่างไรกับเรือนผมที่ไร้การดูแลนี้ดี อันจะปล่อยให้ยาวสยายอย่างเช่นสตรีอื่นนั้น คงจะดูน่าขันมากทีเดียว “ข้ารู้แล้ว” อวี่ถงตอบกลับพลางกวาดสายตามองดูโต๊ะเครื่องแป้งของตน ก่อนที่สายตาจะสะดุดลงที่ปิ่นหยกซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ยี่สิบที่ส้าวเฉียนมอบให้ หญิงสาวมองอย่างลังเล คิดว่าการที่นางสวมใส่อาภรณ์รวมถึงปักปิ่นที่ส้าวเฉียนมอบให้นั้น อาจทำให้ส้าวเฉียนคิดว่านางกำลังร้องขอความรับผิดชอบจากความสัมพันธ์เพียงคืนเดียวจากเขาก็เป็นได้ ซึ่งนางก็มิได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น แม้ว่านางกับส้าวเฉียนจะเป็นสามัญชนเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างของชนชั้นฐานะ นางเป็นเพียงบ่าวบริวาร จะหาญกล้าหมายปองตำแหน่งภรรยาจวนส้าวได้อย่างไร ครั้นคิดได้เช่นนั้นก็ค่อยๆ ปลดอาภรณ์งดงามออกจากร่างกาย แล้วสวมใส่อาภรณ์ตัวเก่าของตัวเองแทน ดวงตากลมจ้องมองภาพสะท้อนผ่านคันฉ่อง พลางคิดว่านี่คือความจริงที่มิอาจเลี่ยงได้ อาภรณ์ชุดใหม่งดงามนั้นไม่เหมาะกับนางเลยสักนิด เหมือนอย่างที่นางไม่คาดหวังสิ่งใดจากส้าวเฉียนเช่นกัน อวี่ถงเก็บปิ่นหยกเอาไว้ในกล่องดังเดิม จากนั้นมัดมวยผมขึ้นแล้วปักปิ่นไม้คู่ใจที่มารดามอบให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นค่อยเดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังเรือนหลักที่มีคู่กรณีรออยู่ เรือนมู่หลัน อวี่ถงเดินมาถึงหน้าประตูเรือนมู่หลันด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ทว่าในใจนั้นกลับเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาด้านนอก ครั้นคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับคนที่นางล่วงเกินไปแล้ว ก็อยากจะถอยหนีเสียเดี๋ยวนี้ หากแต่หลังจากนั้นคงมิอาจได้พบเจอกับส้าวเฉียนอีกอย่างแน่นอน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ ก่อนเอ่ยเรียกคนด้านใน “คุณชายใหญ่ อวี่ถงเจ้าค่ะ” ทว่าเพียงครู่เดียวประตูกลับถูกเปิดออกจนร่างเล็กถึงกับผงะ อวี่ถงมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาดตรงหน้าด้วยหัวใจที่หล่นลงพื้นไปแล้ว ทว่าสายตาของส้าวเฉียนกลับไม่ใคร่พึงพอใจนัก หลังจากเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่ที่ตนมอบให้ ราวกับปฏิเสธน้ำใจของเขา “ตามข้ามา เจ้ากับข้ามีเรื่องต้องคุยกัน” ส้าวเฉียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นหมุนตัวหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในห้องอาหารอย่างไม่สบอารมณ์ อวี่ถงรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่างราวกับถูกสายตาของส้าวเฉียนแช่แข็งเอาไว้ อีกทั้งสายตาที่ส้าวเฉียนมองมานั้น คนที่คลุกคลีอยู่ร่วมกันมาหลายปีย่อมรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังสะกดอารมณ์ความไม่พอใจเอาไว้ เป็นสายตาที่ทำให้หญิงสาวถึงกับหายไม่ทั่วท้อง ร่างเล็กเดินตามร่างสูงกำยำเข้าไปในห้องอาหาร ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นจานอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ ดวงตากลมโตมองไปยังคนที่ลากเก้าอี้ออกมาให้นางด้วยความฉงน “มานั่งตรงนี้” ส้าวเฉียนสั่ง แต่เมื่อเห็นท่าทางแข็งทื่อ สีหน้ากระวนกระวายของอวี่ถงแล้ว ความขุ่นมัวเมื่อครู่กลับเบาบางลงอย่างน่าประหลาด ความจริงแล้วอวี่ถงก็น่าเอ็นดูอยู่เสมอ แต่ในสายตาของเขาหลังจากเฝ้าฟังคำสารภาพรักอย่างซื่อตรงมาทั้งคืน ท่าทางเช่นนั้นกลับน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยที่กำลังระแวดระวังภัย อวี่ถงมองเก้าอี้ที่ส้าวเฉียนยืนอยู่ใกล้ด้วยความลำบากใจ เพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา ทำให้นางยิ่งระแวง แต่ถึงกระนั้นเมื่อสบสายตากับบุรุษมากเสน่ห์แล้ว กลับเป็นนางที่ตกหลุมพรางอีกจนได้ เช่นเดียวกับเมื่อคืนนี้ที่หากนางปฏิเสธการร่ำสุราอย่างหนักแน่น เหตุการณ์วิปริตก็คงไม่เกิด และคงไม่มีเรื่องให้นางนั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกันเช่นนี้ “เจ้าค่ะ...” ร่างเดินขยับเดินเข้าไปใกล้แล้วค่อยๆ หย่อนตัวนั่งอย่างระวังตัว และเมื่อนั่งลงแล้ว ส้าวเฉียนก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ จากนั้นคีบเนื้อตุ๋นในจานอาหารมาวางบนถ้วยข้าวของนาง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้นางกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม มิสู้รีบเฉลยตอนจบให้รู้เสีย ยังดีกว่านั่งกินอาหารเลิศรสเป็นมื้อสุดท้ายแล้วส่งเข้าแดนประหาร! “กินสิ เจ้าชอบเนื้อมิใช่หรือ” ส้าวเฉียนเอ่ยพลางคีบเนื้อมาวางไว้บนถ้วยข้าวของตัวเองด้วยเช่นกัน ทว่าสายตากลับไม่ลดละจากคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย อวี่ถงลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก กลิ่นอาหารตรงหน้านั้นหอมเกินห้ามใจไหวก็จริง แต่กินเข้าไปแล้วคงไม่ย่อยเป็นแน่ หากไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรที่ต้องพูดคุยกับนาง “คุณชายใหญ่... ท่านมีเรื่องอันใด...” “กินเสร็จแล้วข้าถึงจะพูด” ส้าวเฉียนตัดบทกลางอากาศ พลางมองเจ้าของดวงหน้าหวานล้ำกำลังกระอักกระอ่วนด้วยความเอ็นดู จะว่าไปก็เคยได้ยินว่าอวี่ถงมีชื่อเสียงในหมู่สตรีและเหล่าบุรุษตัดแขนเสื้ออยู่ไม่น้อย ด้วยความที่มีรูปร่างเพรียวบางร่างเล็ก ใบหน้าหวานราวกับคุณชายที่ไม่เคยลำบาก อีกทั้งยังมีกลิ่นกายหอมอยู่ตลอดเวลา แต่เขากลับไม่เคยสงสัยมาก่อนว่านางจะเป็นสตรี เนื่องจากแรกพบนั้นร่างกายของอวี่ถงซูบผอมกว่านี้เสียอีก เรียกได้ว่าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เพราะกลัวว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะสิ้นใจก่อนที่พรสวรรค์จะได้รับการกล่าวขาน ตนจึงนำกลับมาเลี้ยงดูด้วยความสงสารเวทนา แล้วกว่าจะเป็นผู้เป็นคนได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายปี อีกอย่างนางไม่เคยทำให้เขาถึงคลางแคลงใจเลยสักครั้ง และหากคืนนั้นตนไม่เคลิบเคลิ้มไปกับคำสารภาพที่เยียวยาหัวใจอันบอบช้ำ ก็คงไม่มีวันรู้ว่านางมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ เจ้ายังมีสิ่งใดปิดบังข้าอีกหรือไม่... ส้าวเฉียนคิดในใจพลางมองใบหน้าหวานที่แสดงอาการตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ชิมอาหารจานใหม่ด้วยความเอ็นดู แม้อาหารจะมีรสชาติล้ำเลิศมากเพียงใด แต่เมื่อถูกสายตาคมกริบจ้องมองก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนถึงตอนนี้ส้าวเฉียนก็ยังคงจ้องมองไม่หยุด ราวกับกำลังจับผิดเพื่อยัดข้อหาไล่นางออกจากจวน แค่คิดว่าหลังจากนี้คงต้องใช้ชีวิตเป็นคนเร่ร่อน ก็รู้สึกหิวจนเอาชนะอาการท้องอืดขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น อวี่ถงคีบอาหารมาวางบนถ้วยข้าวของตัวเองจนพูด ก่อนจะใช้วิธีกินอย่างตะกละเพื่อเบนความสนใจ อย่างน้อยอาหารมื้อสุดท้ายนี้ก็อร่อยจนไม่มีเรื่องให้เสียดายอีกต่อไป ทว่าในระหว่างที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย อยู่ๆ ส้าวเฉียนก็รินน้ำชาให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “กินเร็วเช่นนี้ เดี๋ยวก็สำลักเอาหรอก” “แค่กๆๆๆ” แล้วก็เป็นไปตามที่ส้าวเฉียนทำนายเอาไว้ไม่มีผิด เมื่ออวี่ถงกลืนเผลอกลืนชิ้นเนื้อยังเคี้ยวไม่ละเอียดด้วยความตกใจจนสำลัก “ถงเอ๋อร์! ดื่มน้ำก่อน” ส้าวเฉียนรีบเข้าไปดูแลข้างกาย ร่างสูงย่อตัวนั่งลงพลางลูบหลังเล็กเบาๆ ด้วยความห่วงใย ทว่าอวี่ถงกลับตวัดสายตามองค้อนคนข้างกายผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้นางเกือบตายเช่นนี้ หญิงสาววางตะเกียบเพราะกินต่อไม่ลงแล้ว เพราะยิ่งนานก็ยิ่งอึดอัดใจ อีกทั้งการกระทำที่แปลกไปของส้าวเฉียนก็ยิ่งทำให้นางว้าวุ่นใจจนไม่สบายใจ “คุณชาย... ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดคุยกับข้าหรือเจ้าคะ หากเป็นเรื่องเมื่อคืนนี้ ข้ายอมรับว่าข้าผิดเองที่ไม่มีสติ ล่วงเกินท่าน หากท่านจะลงโทษข้า ก็อย่าทำให้ข้าหวาดระแวงเช่นนี้อีกเลย หากจะไล่ข้าไปให้พ้นหน้า ข้าก็จะไปเสียตอนนี้!” อวี่ถงทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหว สารภาพความในใจออกมาในคราวเดียว ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลอดโปร่งพร้อมกับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป ส้าวเฉียนกะพริบตาปริบเมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็ระบายอารมณ์ออกมาจนหมดเปลือก ยอมรับว่ามีถ้อยคำบางคำที่ฟังแล้วแสลงหูอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกของนางในตอนนี้ได้ ทำให้รู้ว่านางทั้งหวาดหวั่นและเกรงกลัวมากเท่าใด อีกทั้งยังคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองอีกต่างหาก ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเขาเองที่สมยอม แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเขาที่ตักตวงอย่างตะกละตะกลาม จนถึงทำให้นางต้องเอ่ยปากร้องขอขอให้หยุด “ถงเอ๋อร์... ข้าคงทำให้เจ้ากังวลไม่น้อยเลย” เสียงทุ้มนุ่มนวลกล่าวพลางยกมือขึ้นสัมผัสแก้มแดงระเรื่อด้วยความเอ็นดู อวี่ถงมองการกระทำแสนอ่อนโยนของส้าวเฉียนด้วยความสับสน ทั้งที่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้นางถอนตัวยากยิ่งกว่าเดิม แต่เขากลับรุกเข้าหาอย่างไร้ความกังวล “คุณชาย... ข้า... ขออภัย” เพราะไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง หญิงสาวจึงทำได้เพียงแค่กล่าวคำสำนึกผิด หยาดน้ำตาร้อนผ่าวไหลบ่าอย่างสุดกลั้น ครั้นเห็นคนตัวเล็กปลดปล่อยอารมณ์เศร้าออกมา กลับทำให้ส้าวเฉียนกระวนกระวายรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาทันที พลางมองคนสะอื้นด้วยความกังวล “คนที่ต้องเอ่ยคำนั้นคือข้าต่างหาก ถงเอ๋อร์ ข้าขออภัยที่ทำให้เจ้ากังวล ข้าไม่ได้เจตนาจะทำให้เจ้าคิดมากไปถึงขั้นนั้น เจ้าก็รู้ว่าเจ้าคือสตรีคนแรกของข้า ข้าจะลงโทษขับไล่เจ้าไปได้อย่างไร” คำว่าคนแรกทำให้อวี่ถงชะงักเล็กน้อย จะว่าไปแล้วเมื่อคืนก็ลำบากจริงๆ เพราะต่างก็เป็นครั้งแรกของกันและกัน แม้ส้าวเฉียนจะมีภาพลักษณ์เป็นคุณชายจอมเสเพล แต่เขากลับเป็นบุรุษรักษาพรหมจรรย์อย่างน่าเหลือเชื่อ เช่นเดียวกับนางที่แม้จะใช้ชีวิตในหอคณิกามาก่อน แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดได้ล่วงล้ำเด็ดกลีบบุปผา แต่กับส้าวเฉียน นางกลับโน้มกิ่งก้านลงหาเข้าด้วยตัวเอง ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน “ท่านจะไม่ไล่ข้าไปจริงๆ ใช่หรือไม่” เสียงหวานถามอย่างกังวล “แน่นอน จากนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าอยู่ห่างจากข้าเป็นแน่ ส่วนเรื่องที่เจ้าอยากไปทำงานที่แคว้นจวิน เอาไว้เดินทางไปพร้อมกันเถิด” ส้าวเฉียนซับน้ำตาให้คนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ในตอนแรกตั้งใจจะทวงความบริสุทธิ์ บังคับให้นางรับผิดชอบด้วยซ้ำ อย่างน้อยการมีภรรยาที่เก่งกาจและฉลาดทำการค้า ก็ย่อมดีกว่าทางเลือกอื่นใดในอนาคต อีกอย่างอวี่ถงก็มีทั้งความสามารถและความฉลาดเฉลียวชนิดหาตัวจับยาก หากปล่อยนางไปแต่งงานกับบุรุษอื่น ก็มีแต่จะขาดทุน อวี่ถงใจเย็นลงมากหลังจากฟังเหตุผลของส้าวเฉียน โล่งใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อไม่ถูกไล่ออกจากงาน หากทว่าก็ยังมีเรื่องให้กังวลอยู่ ว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของนางกับส้าวเฉียนจะเป็นเช่นไรต่อไป ส้าวเฉียนมองเห็นความกังวลผ่านสีหน้าของหญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู ดูเหมือนว่านางจะกังวลไม่น้อยกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรคราวนี้เขาก็ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมืออย่างแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD