เมื่อได้รับผลตรวจดีเอ็นเอที่ชี้ชัดว่าเขาและอิษวัตมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจากทางแล็บ พันแสงก็พาซูเปอร์คาร์สีดำทะยานออกจากไร่มุ่งหน้าไปยังจังหวัดขอนแก่นทันที ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงก็เดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่หลายปีก่อนเขาเคยเข้านอกออกในในฐานะเพื่อนสนิทลูกชายเจ้าของบ้านหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้เขามาในฐานะ.. ว่าที่ลูกเขย
พันแสงมองผลตรวจในมือแล้วยิ้มออกมา นับตั้งแต่เขาและเพลงรักมีปากเสียงกันที่ไร่วันนั้น เขาก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าเธอกับลูกอีกเลย ว่าแล้วก็คิดถึงชะมัด
นิ้วเรียวจิ้มกดกริ่งที่ติดอยู่ข้างประตูรั้ว เพียงไม่นานก็มีแม่บ้านวัยกลางคนวิ่งออกมา เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้
“สวัสดีครับป้าน้อย”
น้อยรีบรับไหว้คนตรงหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ “คุณซันมาได้ยังไงคะ” นางจำเขาได้ เขาคือเพื่อนของพร้อมพงษ์ ลูกชายคนโตของเสี่ยอ๋าและพรรณราย นานหลายปีแล้วที่นางไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาพันแสง ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอชายหนุ่มก็คือวันเกิดครบรอบยี่สิบแปดปีของพร้อมพงษ์กระมัง
“น้องเพลงอยู่ไหมครับ”
“คุณเพลงเล่นกับคุณพีทอยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ คุณซันมีธุระอะไรกับคุณเพลงหรือเปล่าคะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเพื่อนพี่ชายต้องมาถามหาเพลงรัก กระนั้นนางก็ไม่ใช่คนที่ชอบสาระแนเรื่องเจ้านาย จึงปล่อยผ่านความสงสัยของตัวเองไปอย่างไม่คิดหาคำตอบ
“แล้วคุณพ่อคุณแม่อยู่ไหมครับ ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับน้องเพลงแล้วก็พวกท่าน”
เนื่องจากว่าพร้อมพงษ์ได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์จนต้องเข้าโรงพยาบาล ทั้งเสี่ยอ๋าและพรรณรายจึงเดินทางไปเยี่ยมลูกชายคนโตที่ต่างประเทศ ยามนี้ที่บ้านมีแค่นาง เพลงรัก และเด็กชายอิษวัตสามคนเท่านั้น
“คุณท่านกับคุณหญิงไม่อยู่หรอกค่ะ ไปหาคุณพร้อม ที่บ้านมีแค่ป้ากับคุณเพลงค่ะคุณซัน”
พันแสงพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเข้าไปหน่อยได้ไหม ผมมีธุระจะคุยกับคุณหนูของป้า”
“เชิญค่ะ คุณเพลงเธออยู่ที่ห้องนั่งเล่น” ด้วยเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้านายที่แต่ก่อนก็เข้านอกออกในบ้านหลังนี้หลายต่อหลายครั้ง ป้าน้อยจึงอนุญาตให้เข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย
แม่บ้านวัยกลางคนเดินนำพันแสงไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นเพลงรักนั่งหันหลังอยู่จึงเอ่ยปากบอกคุณหนูคนเล็กของบ้านว่ามีแขกมาขอพบเธอ
“คุณเพลงคะ คุณซันมาหาค่ะ”
หนังสือนิทานที่กำลังอ่านให้ลูกฟังร่วงหลุดจากมือทันทีที่ได้ยินแม่บ้านแจ้งเช่นนั้น เธอค่อยๆ หันไปมองเจ้าของร่างสูงใหญ่สลับกับแม่บ้านวัยกลางคน แม้อยากจะต่อว่าป้าน้อยที่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทันเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าพันแสงหาใช่คนแปลกหน้าสำหรับบ้านหลังนี้
เด็กชายอิษวัตยิ้มแฉ่งให้คนที่จำได้ว่าเป็นคุณลุงใจดีที่อนุญาตให้ตนขี่ม้าที่ไร่วันนั้น “สวัสดีคร้าบคุณลุง”
แตกต่างจากผู้เป็นแม่ที่ยามนี้ใบหน้าบูดบึ้งราวกับไปกินรังแตนที่ไหนมา “พี่มาทำไม” เธอแค่นเสียงต่ำถามเขาอย่างไม่สบอารมณ์
พันแสงโบกสะบัดซองสีน้ำตาลในมือไปมา “พี่เอาผลตรวจมาให้เพลงดูไง” เขาหันมองอิษวัตแล้วเดินเข้าไปหาหนูน้อย “สวัสดีครับสุดหล่อ น้องพีทครับ อยากไปขี่ม้าอีกไหม”
“อยากคร้าบ” อิษวัตลุกขึ้นนั่งข้างแม่แล้วยิ้มหวานตาหยี “น้องพีทชอบขี่ม้า ขี่ม้าสนุกดี”
มือหนาเอื้อมไปลูบหัวลูกชายเบาๆ อย่างสุดแสนเอ็นดู “น้องพีทชอบเหมือนลุงเลย ลุงเองก็ชอบขี่ม้าเหมือนกัน” เขาไม่แน่ใจหรอกว่าความชอบความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดได้หรือไม่ แต่บอกได้เลยว่าโคตรรดีใจที่เห็น ลูกชายชอบขี่ม้าเหมือนตัวเอง
สมแล้วที่เป็นทายาทเจ้าของไร่องุ่น
ทว่าเพียงไม่นานดวงตาใสซื่อของเด็กชายอิษวัตที่เคยเปล่งประกายเจิดจ้าก็ค่อยๆ หม่นแสงลงเรื่อยๆ เมื่อนึกถึงคำพูดผู้เป็นแม่
“น้องพีทเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เห็นลูกเป็นเช่นนั้นแล้วหัวใจพ่อพลันวูบโหวง
“แม่เพลงบอกว่าจะไม่พาน้องพีทไปหาคุณลุงอีก”
เพลงรักสะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น สองพ่อลูกพร้อมใจกันหันมามองเธอ พันแสงต่อว่าต่อขานเธอทางสายตา ส่วนเจ้าเด็กอ้วนเบะปากทำท่าราวกับจะร้องไห้
“โอ๋ๆ ถ้าน้องพีทอยากขี่ม้าเดี๋ยวแม่พาไปขี่” ที่อื่นที่ไม่ใช่ไร่ของพันแสง
“จริงเหรอครับ เย้ๆ งั้นแม่เพลงพาน้องพีทไปขี่ม้ากับคุณลุงนะ นะๆ น้องพีทอยากไปหาลุงเจ๋งด้วย”
เรียวคิ้วโก่งขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีที่ได้ยินชื่อของบุคคลที่ไม่รู้จัก “ใครคือลุงเจ๋งเหรอครับน้องพีท”
“ก็คุณลุงใจดีที่พาน้องพีทขี่ม้าวันนั้นไงครับ”
อ๋อ! อีตาผู้จัดการไร่นั่นเอง
ลูกชายเธอนี่ก็จริงๆ เลย เห็นใครใจดีกับตัวเองหน่อยเป็นไม่ได้ สนิทสนมกับคนอื่นเขาไปทั่ว
“เอางี้ไหมครับน้องพีท น้องพีทก็ชวนคุณแม่ไปอยู่กับลุงที่ไร่สิ เดี๋ยวลุงจะพาน้องพีทขี่ม้าทุกวันเลย” เพลงรักค้อนขวับมองเขา ดวงตาหญิงสาวเขียวปั๊ด บ่งชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขาแล้วท่าทางเช่นนี้กลับดูน่ารักมากกว่าน่าชัง
“น้องพีทจะได้ขี่ม้าทุกวันจริงๆ เหรอครับ”
พันแสงพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ขี่ม้านะ น้องพีทอยากทำอะไร ลุงอนุญาตให้ทำได้ทุกอย่างเลย”
ความดีใจฉายชัดออกมาทางแววตา หนูน้อยยิ้มแฉ่งพร้อมเขย่าแขนแม่ยิกๆ “แม่คร้าบ เราไปอยู่กับคุณลุงที่ไร่กันนะครับ น้องพีทอยากขี่ม้า”
เพลงรักหรี่ตามองพ่อของอิษวัตที่กำลังยิ้มราวกับภูมิใจนักหนากับสิ่งที่ตัวเองทำแล้วหันกลับมามองลูกชายตัวดีที่ใจง่ายชวนเธอย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่ไร่เพียงเพราะพันแสงเอาม้ามาหลอกล่อ สมแล้วที่สองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน
มันน่าจับมาฟาดก้นให้ลายทั้งคู่นัก!
ทว่ายังไม่ทันที่พ่อแม่ลูกจะพูดอะไรกันต่อ เสียงดังโครมครามจากหน้าบ้านก็เรียกความสนใจของทุกคนให้หันมองไปทางเดียวกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งน้องพีท
“เสียงอะไรเหรอครับแม่เพลง” เด็กน้อยตกใจรีบซุกตัวเองเข้าหาอกแม่
เพลงรักกอดลูกเอาไว้แล้วใช้มือลูบแผ่นหลังอิษวัตแผ่วเบา “ไม่มีอะไรหรอกครับ สงสัยมีแมววิ่งชนกระถางต้นไม้ตกแตกมั้งลูก” แม้รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ แต่ที่พูดไปเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้ลูกชายสบายใจ
“เดี๋ยวพี่ออกไปดูเอง เพลงอยู่กับลูกนะ”
เสียงกระถางกระทบพื้นดังมาอีกสองสามครั้งก่อนจะหยุดลง ทว่ายังไม่ทันที่คนในบ้านจะได้หายใจหายคอเพราะความโล่งอก เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ใครอยู่ในบ้าน ออกมาคุยกับฉันหน่อย”
เด็กชายอิษวัตเริ่มหวาดกลัว “แม่ครับๆ ใครมาตะโกนหน้าบ้านเรา”
“คนรู้จักแม่น่ะ” เพลงรักหันไปหาป้าน้อยแล้วเอ่ยบอกแม่บ้าน “ฝากป้าน้อยพาน้องพีทไปดูการ์ตูนข้างบนทีนะคะ เพลงจะออกไปดูหน่อยว่าใครมาเยี่ยมบ้านเราอีก” เธอส่งลูกชายให้แม่บ้านแล้วรอจนทั้งสองเดินขึ้นบันไดไป เมื่อมั่นใจว่าอิษวัตเข้าไปในห้องโฮมเธียเตอร์เรียบร้อยแล้วจึงเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบปืนขนาดเหมาะมือขึ้นมา
ดวงตาคมกริบของเจ้าของไร่หนุ่มเบิกกว้างเมื่อเห็นเช่นนั้น “เพลงใช้ปืนเป็นด้วยเหรอ”