“ถ้าคุณไม่บอก แล้วฉันจะรู้รึไง” เธอสวนกลับ ไม่อยากให้ใครมายัดเยียดข้อหาอะไรให้อีก
“เสร็จแล้วไปทำกับข้าวด้วย ฉันหิวแล้ว” เขาเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกหงุดหงิดขวางหูขวางตาไปหมด
“ฉันเหนื่อยขอพักก่อน” เธอนั่งหอบหายใจ
“ว้าย!!! นี่คุณ” เธอตกใจเมื่อโดนเขาอุ้ม ผวากอดคอเขาเอาไว้แทบไม่ทัน
“ฉันหิวแล้ว ถ้าอยากพักไปนั่งพักในบ้าน ตรงนี้ร้อนเห็นไหม”
“เป็นห่วงฉันเหรอคะ” จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ถามประโยคนั้นออกไป
“เปล่า... คิดได้นะว่าคนอย่างฉันจะเป็นห่วงคนอย่างเธอ” เขาอึ้งไป ก่อนรีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่อาการคุณมันฟ้อง” เธอยังเถียงไม่หยุด เขาเป็นคนแรกกระมังที่ทำให้เธอเถียงได้แบบนี้ ปกติเธอไม่ค่อยมีปากเสียงหรือเถียงใครนักหรอก
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นห่วงเธอ” เขาเสียงดังใส่เธอ
“ไม่ได้เป็นห่วงก็ไม่ได้เป็นห่วง ฉันไม่เถียงกับคุณแล้ว” เธอปิดปากเงียบเสีย เมื่อเห็นเขาโมโห เขาเป็นอะไรนักหนา อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
“อือ...” เขาวางเธอลง ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้ม หญิงสาวเบี่ยงหลบ ใช้มือปิดแก้มตัวเองเอาไว้
“ทำไม” เขาทำเสียงดุ เหมือนเธอเป็นเด็กๆ และไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่
“ไม่ให้หอมค่ะ ถอยไปไกลๆ เลย อุ๊ย!” เธออ้าปากค้างเมื่อเขาก้มลงมาหอมแก้มเต็มแรง ในขณะที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“ฉันหิวแล้ว ถ้าชักช้าจะกินเธอเป็นอาหารแทนนะ”
“คนอะไรคุ้มดีคุ้มร้าย” เธอบ่นอุบ เขาจะใจร้ายก็ไม่เชิง จะใจดีก็ไม่ใช่ อย่างไรเธอก็ยังคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เขาทำอยู่ดี เขาจับตัวเธอมา เธอควรจะสำนึกไม่ใช่ทำตัวเหมือนมาปิกนิกเที่ยวป่า มีความสุขแบบนี้
อาหารที่เขาอยากกินเธอทำให้จนเสร็จเรียบร้อย เขามองด้วยความประหลาดใจ มองหน้าเธอสลับกับการมองอาหาร
“เป็นอะไรของคุณ” เธออดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ไม่น่าเชื่อว่าลูกคุณหนูอย่างเธอจะทำอาหารได้ด้วย”
“ไม่ใช่แค่ทำได้นะ มันอร่อยด้วยล่ะ”
“ให้มันแน่ ไม่ใช่พอกินแล้วกระเดือกไม่ลง” เขาว่าให้ ตักกับข้าวของเธอเข้าปากเป็นคำแรกแล้วชะงัก
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” เธอมองหน้าเขานิ่ง เหมือนลุ้น
“รสชาติงั้นๆ แหละ” เขาพูดแบบนั้นแต่ตักอาหารทานต่อ ท่าทางก็รู้ว่าอร่อย
“ยิ้มอะไร” เขาเอ่ยถาม ทำเสียงดุ
“เปล่า” เธอตอบเหมือนไม่รู้ไม่ชี้
“รู้สึกว่าจะมีความสุขจริงๆ นะ” เขาแดกดัน
“เปล่าหรอก ฉันไม่ได้มีความสุข แต่เครียดมากๆ ก็ปวดหัว ฉันเป็นโรคกระเพาะด้วย มันจะปวดท้องอีกต่างหาก ฉันทำใจแล้วล่ะเรื่องที่คุณจับฉันมา”
“เธอทำใจได้แล้วอย่างนั้นเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” เธอพูดไปแบบนั้นเอง เธอยังทำใจไม่ได้จริงๆ แต่บางทีก็ต้องซุกซ่อนความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ พูดไปก็จะถูกเขาดูถูกเอาเปล่าๆ
“ทำใจได้ก็ดี” เขากินข้าวและไม่พูดอะไรอีก
ชีวิตการอยู่ในกระท่อมริมลำธารของนราวดี มีอะไรให้ทำมากขึ้น ทุกวันเธอจะแอบหนีออกไปเดินสำรวจผืนป่า เพราะยังมีความหวังว่าเธอจะมีโอกาสหนีรอดออกไปจากที่นี่ และมักโดนเขากระแหนะกระแหนอยู่เรื่อยว่าเธอออกไปเดินเล่นเหนื่อยไหม
“คุณเข้าเมืองยังไงคะ” เธอถามเขาในวันหนึ่ง นึกสงสัยจริงๆ ว่าทำไมเธอถึงได้หลงทางเดินวกกลับมาเหมือนเขาวงกต แต่เขาเข้าเมืองไปเอาเสบียงได้ยังไงกัน เขาก็ไปทางนั้นแหละ ทางที่เธอเดินไป แต่เขากลับไม่วกกลับมาทางเก่าเหมือนเธอ เขาไปไม่บอกกล่าว เธอตามเขาไปไม่เคยทัน และต้องเดินวกไปวนมา สุดท้ายกลับมาที่กระท่อมเช่นเดิม
“เดินไป” เขาตอบอย่างกวนๆ
“รู้แล้วว่าคุณเดินไป แต่คุณเดินไปทางไหน” เธอถามอย่างโมโห รู้ว่าเขายั่ว แต่พักนี้มักจะอารมณ์ไม่ค่อยได้สักที
“เดินไปตามทางยังไงล่ะ”
“อย่ามากวนโมโหฉันนะ” เธอพูดเสียงหอบๆ โมโหเขาจริงๆ
“เธอนั่นแหละ จู่ๆ ทำหน้าเหมือนนางยักษ์ เป็นอะไรมากไหม”
“คุณเข้าเมืองทางไหนล่ะ ทำไมฉันถึงเดินไปแล้ววกกลับมากระท่อมทุกที อุ๊บ!” เธอยกมือขึ้นปิดปากที่เผลอพูดแบบนั้นออกไป เธอรู้ว่าเขารู้ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่นี่เธอยอมรับไปโดยดุษณีว่าแอบสะกดรอยตามเขาเพื่อจะหนีไปจากที่นี่
“ก็เธอไม่ฉลาดยังไงล่ะ”
“นี่คุณ!!!”
“ไม่ฉลาดจริงๆ ทำแบบเธอไม่ได้หรอกนะ”
“คุณว่าฉันโง่เหรอ”
“เธอพูดเอง ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“คนเฮงซวย”
“กล้าว่าฉันเหรอ ปากดีนักนะ เดี๋ยวจับขังเอาไว้ในห้องเหมือนเดิมหรอก” ดูเขาโกรธจริงๆ เมื่อก่อนเธออาจจะหงอ แต่ตอนนี้เธอฮึดสู้บ้างแล้ว ไม่ให้เขาข่มเหมือนก่อนแน่นอน
“อยากจะทำอะไรก็เชิญเลย”
“ฉันทำแน่ อย่ามาปากดี”
“เป็นผู้ชาย ดีแต่รังแกข่มขู่ผู้หญิง”
“ใช่ เหมือนที่พ่อเธอเคยทำไง”
“แล้วคุณก็จะทำตามพ่อของฉันอย่างนั้นเหรอ”
“นี่เธอ!!”
“อยากจะบีบคอให้ตายก็เอาเลย ตายทั้งแม่ทั้งลูกเลยยิ่งดี” เธอเชิดหน้าให้เขาอย่างท้าทาย
“อย่ามาท้าทายฉันเลย คนอย่างฉันถ้าทำให้ใครเจ็บ ต้องให้ค่อยๆ เจ็บ ฆ่าเธอตายมันง่ายนิดเดียว แต่มันไม่สะใจเท่าทำให้เธอตายทั้งเป็น ตายทีละเล็กทีละน้อย”
“คนเลว”
“แล้วแต่เธอจะคิด”
“คอยดู กรรมต้องตามสนองคุณแน่ๆ”
“แล้วพ่อกับแม่เธอล่ะ เมื่อไหร่กรรมจะตามสนอง”
“หยุดก้าวร้าวพ่อแม่ฉันได้แล้ว พวกท่านทำอะไร...”
“...ก็ไม่ผิดใช่ไหม” เขาพูดสวนขึ้นมาเสียก่อน ในขณะที่เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค
“ไม่ใช่ ฉันไม่เคยเข้าข้างคนผิดหรือคนถูก ใครทำอะไรเขาก็ได้รับสิ่งนั้น ทำดีก็ย่อมได้ดี ทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว”
“เธอจะบอกว่าเดี๋ยวพ่อแม่ของเธอก็คงชดใช้กรรมใช่ไหม”
“คุณโตแล้ว มีสติปัญญา จับฉันมากักขังเอาไว้ได้ ก็คงคิดได้ว่าฉันหมายความว่าอะไร ที่พูดออกไปน่ะ”
“สำบักสำนวนจริงๆ นะ”
“กรรมของใครก็กรรมของคนนั้น ใครทำอะไรเขาก็รู้อยู่แก่ใจ แต่คุณนั่นแหละ เห็นคนอื่นทำชั่ว ทำไม่ดีก็จะทำตามหรือไง พอทำตามก็มีข้ออ้างให้ตัวเองพ้นผิดว่าเขาก็ทำไม่ดี แล้วคุณก็ทำบ้าง”
“นี่เธอ!!!” เขาเถียงไม่ออก
“ฉันไม่อยากจะเถียงกับคุณหรอกนะ แค่อยากให้คุณรู้เอาไว้ว่า ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น”
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอเลยเป็นแบบนี้ไง เพราะเธอเคยทำไม่ดีเอาไว้ เธอมันใจดำ อำมหิต ไม่ต้องมาทำเป็นสั่งสอนฉันหรอกนะ”
“คุณเหมือนพวกเด็กขี้แพ้แล้วพาล”
“ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันแพ้ แพ้ความเลวของครอบครัวเธอยังไงล่ะ”
“ถ้าครอบครัวฉันหรือแม้แต่ฉันเคยทำอะไรคุณเอาไว้จริงๆ คุณก็บอกมาสิ ฉันจะเป็นคนชดใช้ให้คุณเอง ถ้าคุณต้องการแบบนั้น”
“เป็นแม่พระจริงๆ นะ แต่ฉันต้องการให้คนทำผิดทุกๆ คนชดใช้” เขาพูดแล้วกระแทกเท้าเดินจากไป เธอมองตามเขาไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“วดี หนูเป็นอะไรไปลูก ไปหาหมอไหม” นางนวลจิตเอ่ยถามลูกสาวในวันหนึ่ง หลังจากเห็นอาการมาพักใหญ่ กินอะไรไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียนทุกวัน แถมยังอ่อนเพลีย ปวดหัวไม่มีแรงไปทำงานอีก
“แม่ คือว่าวดี” สุวดีเม้มปากเข้าหากันแน่น เธอก้มหน้า รู้สึกผิดต่อบิดามารดาและครอบครัวนัก
“มีอะไรก็บอกแม่มาตรงๆ เถอะลูก”
“วดีท้องค่ะแม่” สุวดีพูดแล้วน้ำตาไหลริน
“ท้อง!!!” นวลจิตเข่าอ่อนแต่เมื่อเห็นอาการของบุตรสาวแล้ว ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“กับใครลูก อย่าบอกนะว่า...” เธอยกมือขึ้นทาบอก
“ค่ะ คุณนนท์เขาบอกว่า ลูกในท้องวดีเป็นลูกเขาจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ทำไมถึงได้เลวแบบนี้ คนรวยก็แบบนี้เห็นเราเป็นของเล่น พ่อกับแม่เคยเตือนวดีแล้ว”
“วดีผิดเองค่ะแม่”
“ช่างมันเถอะ ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าเขาไม่รับ หลานคนเดียวพ่อกับแม่เลี้ยงได้”
“วดีไม่ยอมหรอกค่ะ เขาหลอกวดี เขาบอกว่าจะหย่ากับเมียเขามาแต่งงานกับวดี วดีจะไปบ้านเขาค่ะ ไปพูดกันให้รู้เรื่อง”