ร่างกายของเธอเจ็บแปลบ สุขสมและอ่อนล้า รับรู้ถึงริมฝีปากร้อนและอุ้งมือใหญ่ที่ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างตลอดค่ำคืน เสียงหอบหายใจของเขาและเธอประสานกันระงม เสียงเนื้อกายกระทบกันสนั่นลั่นเตียง ค่ำคืนอันมืดมิดกับบทรักอันแสนเร่าร้อนดุเดือดเกิดขึ้นอย่างไร้ความปรานี
นราวดีตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดร้าวไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว เธอกะพริบตาปริบๆ ค้นพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่บ้าน ลำดับเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตกใจเมื่อรับรู้ว่าตัวเองโดนจับมา หลังจากที่เธอออกจากสนามบินและขึ้นรถแท็กซี่คันนั้น!!!
คราบคาวโลกีย์ที่ได้รับทำให้เธอยิ่งผวาจนแทบตกเตียง เมื่อคืนเธอจำได้ว่ามีคนล่วงล้ำเข้ามากระชากพรหมจรรย์ของเธออย่างไร้ความปรานี จู่ๆ น้ำตาก็รินไหล ความหวาดกลัวเข้าจู่โจมเธออย่างหนัก
เสียงประตูที่เปิดเข้ามาพร้อมร่างสูงของคนแปลกหน้าทำให้ร่างบอบบางสะดุ้งสุดตัว ดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่าแทบไม่ทัน เขาเป็นบุรุษร่างสูงสง่า ผิวสีแทน ใบหน้าคมสันและดุดันแต่กลับหล่อเหลาชวนมอง เธอมองเขาค้าง หัวใจเต้นแรงแทบกระหน่ำออกมานอกอก แต่เขามองกลับมาด้วยสายตาที่ทำให้เธอเย็นยะเยียบ
“ตื่นแล้วเหรอ” เขาเอ่ยทักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของเขากระด้างและเย็นชา
“คุณจับฉันมาเหรอคะ จับฉันมาทำไม” เธอมองชายหนุ่มตรงหน้า กวาดสายตามองอย่างสำรวจ
“กินข้าวไหม หิวหรือเปล่า”
“คุณต้องการอะไรคะ” ขณะถามเธอก็แอบคำนวณอายุของเขา เขาน่าจะอายุไม่เกินสามสิบปี
“อยากจับก็จับมาเฉยๆ มีอะไรไหม” น้ำเสียงของเขายียวนและไม่ยีหระ
“บ้านเมืองมีกฎหมาย ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ”
“ข้อหาอะไรมิทราบ”
“ก็... ก็เมื่อคืนคุณข่มเหงฉัน” เธอพูดปากคอสั่น
“เธอสมยอมเอง เรียกร้องให้ฉันทำแรงๆ เสียด้วยซ้ำ”
“ไม่จริง คุณโกหก” หน้าเธอแดงจนร้อนซู่เมื่อเขาพูดเช่นนั้น
“จริง” เขาพูดเสียงหนัก คล้ายจะสำทับว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง
“ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย และฉันก็ไม่รู้จักคุณด้วย”
“แต่ฉันรู้จักเธอดี รู้จักครอบครัวของเธอดี”
เสียงของเขากร้าวขึ้น ก่อนจะเดินมาที่เตียง จับคางของเธอบีบจนเจ็บ ดวงตาของเขาดูน่ากลัวเหมือนเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผา
ผู้หญิงคนนี้คือฆาตกรที่ฆ่าพี่สาวของเขาตาย ตอนนั้นเขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด เพราะผู้มีพระคุณของบิดาอุปการะเขาเอาไว้ ท่านมีฐานะร่ำรวยแต่ไม่มีทายาทสืบสกุล จึงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม ตอนงานศพของพี่สาว เขานั่งรถกลับมาแต่ประสบอุบัติเหตุจึงไม่ได้มาร่วมงานได้ ทำได้เพียงแค่มาเก็บเถ้ากระดูกไปลอยอังคารเท่านั้น ตอนขึ้นโรงขึ้นศาลก็ติดงานต้องช่วยบิดาบุญธรรม แต่รับรู้ว่าบิดามารดาของเขาไม่ขอรับความช่วยเหลือจากคนใจบาปหยาบช้าพวกนั้น ก่อนเดินทางมาอยู่ต่างจังหวัดและตรอมใจเรื่องพี่สาวจนล้มป่วยเสียชีวิตในที่สุด
“คุณเป็นใครกัน” ถามเขาเสียงสั่น ถึงจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งสักแค่ไหนแต่ก็ไร้ผล
“ถึงเวลาเธอก็รู้เอง กินข้าวซะเถอะ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่กลับไปเจอหน้าครอบครัวก็รักษาชีวิตเอาไว้” เขาผลักคางของเธอออกห่างจนร่างเล็กล้มหัวซุนบนที่นอน
“เราไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ คุณอยากได้เงินเท่าไหร่ฉันจะให้”
“ฉันไม่ต้องการเงิน”
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“ถึงเวลาก็รู้เอง” เขาพูดก่อนจะยักไหล่อย่างเฉยชา
“อย่าเพิ่งไป กลับมาก่อน” เธอร้องเรียกเมื่อเขาเดินหายออกไปจากห้อง หญิงสาวใช้ผ้าห่มห่อตัวเองเอาไว้ ก่อนจะลงจากเตียง แต่ต้องร้องด้วยความเจ็บแปลบกลางกาย
“โอ๊ย!” เธอล้มซุนลงกับกองผ้าห่ม นั่งแหมะอยู่บนพื้น ความเจ็บปวดที่รู้สึกทำให้นึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มนวล
เธอหันมองรอบกาย ที่นี่เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เสียงนกร้อง และเสียงลำธารที่เธอพยายามเงี่ยหูฟังทำให้รู้ว่ามันอาจจะอยู่ในป่า
นราวดีปรับอารมณ์ให้เข้มแข็ง พยายามลุกขึ้น เธอสำรวจห้องแคบๆ เจอกับกระเป๋าเดินทางของตัวเอง และประตูบานหนึ่งพอเปิดเข้าไปก็เป็นห้องน้ำ เธอรีบจัดการกับตัวเอง คิดว่าควรจะรีบอาบน้ำสวมใส่เสื้อผ้าและหาทางออกไปจากที่นี่ ลองค้นหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองปรากฏว่ามันหายไป คนที่จับตัวเธอมาคงเอามันไป
เข้าห้องน้ำอาบน้ำก็ต้องร้องซี๊ดเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบตรงส่วนนั้น เธอแข็งใจทำความสะอาดก่อนจะร้องไห้อยู่คนเดียวกับโชคชะตาอันแสนโหดร้ายที่ได้รับ มันย่ำแย่เกินทนกับสิ่งที่ได้พบเจออย่างไม่คาดคิด
นราวีดีอาบน้ำเสร็จ ออกมาแต่งตัวเรียบร้อยในชุดรัดกุม เธอมองอาหารตรงหน้าอย่างชั่งใจ กลัวเขาใส่ยาพิษ แต่ความหิวทำให้ท้องเธอร้องประท้วง คิดว่าถ้าจะตายก็ให้มันตายไปเถอะ เพราะพยายามหาทางออกจากที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่กินอะไรเลยเธอจะแย่ ต้องลองเสี่ยง เพราะเป็นโรคกระเพาะ ปวดท้องออกบ่อย ถ้าไม่กินอะไรจะยิ่งแสบท้องเข้าไปอีก
นราวดีทานอาหารจนอิ่มแปล้ ก่อนจะดื่มน้ำตามแล้วถอนใจเฮือก เธอเดินไปเดินมาในห้อง รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเพราะหาทางออกไปจากที่นี่ไม่เจอ ก่อนจะเผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกรอบก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินไปมาอยู่ในห้อง
“อาหารกลางวันกินเสียสิ”
“คุณจับฉันมาทำไม ทำแบบนี้ทำไม”
“ถามคำถามเดิมๆ มันไม่มีคำตอบเธอก็รู้”
“คุณเป็นใคร กล้าดียังไงจับคนอื่นมากักขังเอาไว้แบบนี้”
“จับเธอมาไม่เห็นจะต้องใช้ความกล้าอะไรเลย”
“นี่คุณ!!!” เธอเม้มปากแน่น เขากวนอารมณ์เธอเหลือเกิน
“กินเสียสิ จะได้มีแรง เธอฉลาดอยู่เหมือนกันที่ไม่ปัดอาหารทิ้ง ไม่งั้นจะอดตาย” เขากอดอกมองเธอ นราวดีมองตอบเขาบ้าง พยายามทำใจดีสู้เสือเอาไว้
“ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ จะเอาตำรวจมาลากคอคุณเข้าคุก คอยดูสิ”
“ฉันชักจะกลัวแล้วสิ” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มองเธออย่างยียวน
“คนเลว!!!” เธอหาอะไรสักอย่างใกล้ตัวเขวี้ยงใส่เขา แต่เขารับได้ทุกอย่าง ทั้งหมอน ทั้งอะไรอีกหลายอย่าง ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ประตู หันมามองเธออย่างเยาะหยัน แล้วปิดประตูปังใหญ่ตามหลัง เธอได้แต่หอบอยู่ใกล้เตียง มองเขาอย่างโมโห
“คอยดู ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้” เธอบอกตัวเองแบบนั้น ป่านนี้คงไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไป เพราะกลับมาเมืองไทยก็ไม่ได้บอกบิดามารดาหรือใครเลย แค่อยากจะเซอร์ไพร้ส์ทุกคน แต่ดันกลายเป็นเธอหายไปโดยที่ไม่มีใครรับรู้ มันน่าเจ็บใจนัก
อาหารที่เขาหามาให้ ถึงแม้จะเป็นอาหารง่ายๆ ข้าวไข่เจียวแต่มันก็ทำให้เธอคลายจากความหิว และอาการปวดท้องได้เป็นอย่างดี ทานเสร็จเธอก็พยายามหาทางออก แต่มันล็อกแน่นทุกอย่าง แถมยังมีเหล็กดัด เธอไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้เลย น้ำตารินไหลอย่างหวาดกลัว คนที่จับตัวเธอมาอาจจะเป็นพวกโรคจิตก็ได้ เธอไม่เคยมีความแค้นอะไรกับใคร และไม่เคยกลับมาประเทศไทยหลายปี
ทำไมถึงโดนจับมา? นราวดีถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่ได้รับคำตอบ เธอหาทางออกจากห้องแคบๆ จนเหนื่อย จนเผลอหลับไปอีกรอบ มื้อเย็นเป็นข้าวผัด ซึ่งเขาเอามาให้เธอกินเช่นเดิม กลิ่นหอมของมันทำให้น้ำลายสอ เธอไม่ได้เห็นแก่กิน แต่พอหิวแล้วแสบท้อง มันต้องหาอะไรกิน คิดไปคิดมาเขาก็ยังใจดีให้เธอกินอาหารครบทุกมื้อ ไม่ได้ละทิ้งให้อดอยากหิวโหย ทรมานเธอมากกว่าเป็นอยู่
เขาออกไปแล้ว ทิ้งจานข้าวผัดเอาไว้กับน้ำหนึ่งขวด เธอเลิกโวยวายเพราะโวยวายจนเหนื่อยเขาก็ไม่แยแส ในสมองขบคิดอะไรมากมายจนหัวแทบแตก แต่คิดไม่ออกว่าจะหนีออกไปยังไงดี ป่านนี้ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเธอหายตัวไป เพราะเธอมีปัญหากับแฟนใหม่ของป้า จึงถูกท่านไล่ออกจากบ้าน เธอเก็บเงินได้นิดหน่อยจากการทำงานในต่างแดน จึงตัดสินใจกลับประเทศไทย หลังจากที่ผู้เป็นป้าด่าว่าบิดาของเธอให้ฟังไม่กี่วันก่อนมีเรื่อง เธอไม่รู้หรอกนะว่าพวกท่านทะเลาะอะไรกัน แต่พักหลังนั้นเงินที่บิดาส่งให้ ถูกผู้เป็นป้าเอาไปใช้เสียหมด ท่านบอกว่าเป็นค่าเลี้ยงดู เธอจึงต้องหางานทำเอง แต่ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องนี้ให้ที่บ้านฟัง