ดวงตะวันคล้อยลงสู่ฝั่งทิศตะวันตก แสงแดดยังทอทาบทั่วผืนฟ้า โลมลูบทุกหนแห่งที่กระจายไปถึง ทว่ารังสีแห่งความร้อนนั้นลดลงไปมากกว่ายามเที่ยงวัน ยิ่งบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่โอบล้อมริมธารน้ำเย็นฉ่ำ สายลมพลิ้วแผ่วต้องกายมาเอื่อย ๆ ยิ่งทำให้ความร้อนทั้งหลายมลายหายไปสิ้น
รถยนต์เจ็ดที่นั่งสีดำสนิท ชนิดที่มีเกียร์โฟว์วีลแล่นฉิวเข้ามาตามทางลูกรังอันทอดยาวไปสู่หมู่บ้านป่าสุข อันตั้งอยู่ในภูเนินนาง หุบเขาสูงอันทอดยาวตะหง่านใหญ่โตทางฝั่งอีสานหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย คั่นชายแดนประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมายาวนานสมัยหนึ่งอย่างเขมรหรือประเทศกัมพูชา
แล่นมาสักราวชั่วโมงเศษ รถคันดังกล่าวก็เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางเล็ก ๆ อันขรุขระ สองฝั่งฝากก็ยังคงมีต้นไม้รกครึ้มราวป่าดงดิบ ราวร้อยเมตรก็ถึงจุดหมายปลายทางอันเป็นบ้านไม้ประดู่ใต้ถุนสูงหลังใหญ่ที่ด้านล่างกั้นห้องครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งปล่อยโล่งมีแคร่และเปลไว้ให้นั่งเล่น
เรือนไม้ท่ามกลางป่าแน่นถนัด มันช่างดูเข้มขลังงดงาม แต่ในเวลาแดดผีตากผ้าอ้อมเช่นนี้ ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งกลับทำให้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
รถคันหรูจอดลงตรงนั้น ประตูรถถูกเปิดก่อนที่จะปรากฏร่างชายวัยฉกรรจ์สี่คนค่อยเดินลงมาแล้วบิดขี้เกียจซ้ายขวาเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าหลังจากที่เดินทางมากว่าแปดชั่วโมง
“ หลังนี้แน่เหรอตฤณ ” เสียงถามดังขึ้นจากหนึ่งในกลุ่ม ผู้หน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ตฤณ ต่างกันที่ตฤณหล่อคล้ำเข้มอย่างชายไทย แต่คนถามผิวค่อนออกไปทางขาวด้วยมีเชื้อชาติจากทางแผ่นดินใหญ่
“ ก็น่าจะใช่นะภู แถวนี้มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง แล้วแผนที่ที่ขอมาก็บอกแน่ชัดว่าจุดนี้ เดี๋ยวลองเรียกดู ” ตฤณตอบภูรินทร์ผู้ควบสองตำแหน่ง คือทั้งเพื่อนและพี่ชายของคนรัก
“ นั่นไง ๆ มึง มีคนโผล่ออกมาแล้ว ” ภาคเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ทุกคนหันไปมองตาม
ร่างที่กำลังลงบันไดมานั้นเป็นชายหนุ่มซึ่งทั้งสี่คาดคะเนด้วยสายตาว่าน่าจะอายุน้อยกว่าพวกเขา ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด สูงราวร้อยเจ็ดสิบ ผิวคล้ำ หน้าเข้ม ร่างกำยำแกร่งไปด้วยมัดกล้าม สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีดำสนิท กางเกงยีนสีเดียวกัน ดูแล้วก็เหมือนคนสมัยใหม่คล้ายพวกเขานี่แหละ ไม่ได้เป็นคนป่าคนดงแต่อย่างใด
แล้วหนุ่มนั้นก็เอ่ยทักทายแขกผู้มาเยือน
“ สวัสดีครับ ผมบุญโทนนะครับ ใช่พี่วีที่มาจากกรุงเทพ ฯ ที่นัดคิวกับผมไว้ในเฟชบุ้คหรือเปล่า ”
ทั้งสี่คลี่ยิ้มออกพร้อมกันอย่างสบายใจ วี ผู้ตัวเล็กที่สุด ในกลุ่ม กระนั้นก็ยังมีความสูงราวร้อยเจ็ดสิบห้าเป็นผู้ตอบ
“ ใช่ครับ พี่นี่แหละ พี่วี คนที่ติดต่อให้นำเดินป่า แล้วนี่ก็เพื่อนพี่ สูง ๆ หล่อ ๆ หน้าเข้ม ๆ ตัวใหญ่ที่สุดนั่นชื่อ ตฤณ ถัดมาที่หล่อยังกับโอปป้านั่นชื่อ ภูรินทร์ แล้วไอ้คนที่ตัวลาย ๆ คล้ายไปนอนทับหนังสือพิมพ์มานี่ก็ ชื่อภาค ”
ภาค ผู้ถูกแนะนำก็ส่งเท้ามาเตะขาเพื่อนอย่างหมั่นไส้ ภาคก็เป็นหนึ่งหนุ่มหน้าตาดี สูงราวร้อยแปดสิบ เพียงชอบ สักลายเป็นชีวิตจิตใจสักทั้งในและนอกร่มผ้าจนเยอะไปหมด เลยดูคล้ายกับไปนอนทับหนังสือพิมพ์อย่างที่วีพูดไม่มีผิด
“ ไอ้ห่า ที่แนะนำคนอื่นล่ะโปรไฟล์ดีเชียว ทีกูละก็ให้นอนทับหนังสือพิมพ์
“ สวัสดีและยินดีต้อนรับพี่ ๆ ทุกคนนะครับ ”
“ แล้วเราจะกางเต็นท์นอนกันตรงจุดไหน ตรงนี้เลยเหรอ ” วีผู้กระตือรืนร้นรีบเอ่ยถาม บุญโทนยิ้ม
“ ยังหรอกครับ วันนี้ป่ายังไม่เปิด ต้องให้ปู่ทวดทำพิธีเปิดป่าพรุ่งนี้เสียก่อนพวกเราถึงจะเดินเข้าไปได้ วันนี้พวกพี่ ๆ ก็กินข้าวกินปลา นอนพักที่นี่เสียก่อน ฟังข้อควรทำและไม่ควรทำก่อนที่จะไปลุยจริง ๆ”
ทั้งสี่หนุ่มพยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้และเคารพในสิ่งที่บุญโทนบอก เขาทั้งสี่เคยไปเที่ยวเดินป่าเดินเขาด้วยกัน ถึงไม่บ่อยครั้งนักก็รู้ดีว่าการไปสู่ถิ่นแปลกที่แปลกทางนั้น ควรที่จะเคารพนับถือเจ้าถิ่น บอกอะไรก็ควรเชื่อ ให้ทำอะไรก็ควรทำ อำนาจแห่งเจ้าป่าเจ้าเขานั้นเต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์แรงกล้า
“ เดี๋ยวเชิญขึ้นบ้านไปกราบผีป่าผีเรือนเสียก่อนพร้อมทั้งปู่ทวดบุญของผม ค่อยลงมากินข้าว แม่กำลังเตรียมกับข้าวกับปลาไว้ให้ในครัวโน่น ”
เขาพูดพร้อมชี้ไปยังเรือนครัวหลังเล็ก ๆ ที่ทำแยกออกไปจากตัวเรือนแล้วเดินนำขึ้นไปบนเรือนหลังใหญ่ ทั้งหมดมองตาม พยายามเขม้นให้เห็นผู้เป็นแม่ของบุญโทน แต่ก็ไม่เห็นผู้ใดสักคนมีเพียงเรือนครัวว่างเปล่า
“ ไหนวะ แม่บุญโทน ” วีเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ แกคงจะเดินไปเก็บผักเก็บหญ้าล่ะมั้ง ไปเร็ว บุญโทนมันไปโน่นแล้ว ”
ภาคตัดบทเพื่อระงับความสงสัยของเพื่อน แล้วจึงรีบเดินตามบุญโทนขึ้นเรือนไป
เมื่อขึ้นไปสู่ชั้นสองแล้วก็พบว่าชั้นบนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาคิด ฝั่งหนึ่งเป็นนอกชานโล่งดังเช่นบ้านโบราณทั่วไป ส่วนด้านในกั้นห้องไว้สามห้อง เพียงมีจุดในมุมหนึ่งของบ้านที่ไม่ได้กั้น เป็นมุมที่มีข้าวของต่าง ๆ เรียงรายคล้ายหิ้งพระ แต่พอเขม้นมองจริง ๆ แล้วกลับไม่ใช่ รูปหล่อทั้งปั้นและแกะสลัก กลับเป็นรูปจำลองของเทวรูปต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาทั้งเคยเห็นและไม่เคยเห็น