“ฉันไม่ได้รับจ้างกอด” เธอออกตัว นึกถึงข่าวโทรทัศน์วันก่อนที่มีสตรีชาวต่างชาตินางหนึ่งเปิดเว็บไซต์ขาย กอด เพื่อบำบัดโรคขาดความอบอุ่น เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นและไม่มีทางเป็นด้วย
“ผมก็ไม่ได้จะซื้อนี่ ผมเป็นเจ้าหนี้คุณนะ ผมแค่ทวงดอกเบี้ยของวันนี้ต่างหาก”
แมคโลริคเปรยในสิ่งที่พิชฎาพยายามลืม เธอถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ฟัง ไม่รู้ว่าเป็นลูกหนี้หรือทาสกันแน่ มันไม่มีครั้งไหนที่เธอจะปฏิเสธเขาได้เลย ให้ตายสิ
“แล้วแต่เจ้าหนี้ก็แล้วกัน ปล่อยมือสิจะไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้ ถ้าจะให้ดีย้ายร่างคิงคองของคุณเข้าห้องนอนด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องปลุกไปนอนถ้าคุณไข้ขึ้น”
“คร้าบ...” คนป่วยขานรับเสียงยานคาง ก่อนจะย้ายร่างเข้าห้องนอนในขณะที่พิชฎาลุกเดินไปที่ครัว แลหากะละมังใบเล็กแล้วตามเขาเข้าห้องไป
พิชฎาได้ผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าเขา เธอนำกะละมังไปใส่น้ำแล้วกลับมานั่งข้างเตียง ตอนนี้คนป่วยถอดเสื้อผ้ารอท่าแล้ว
ไอร้อนที่ไม่รู้ที่มาพวยพุ่งมาออที่พวงแก้มของเธอ เดาว่าเขาคงเปลือยอยู่ใต้ผ้านวมที่คลุมท่อนล่างอยู่
“อ่า...คือ...ความจริง...ฉันว่าฉันไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ นี่ก็ได้ ฉันไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย” บ่นแต่ก็ยกแขนเขามาถูแรงๆ ด้วยผ้าขนหนูหมาดๆ
ชายหนุ่มถึงกับหน้ายู่เพราะแรงช้างของหล่อน
“นี่คุณ แขนผมไม่ใช่ต้นโพธิ์นะจะได้ถูขอหวย ผมเจ็บนะเนี่ย โอย...ซี๊ด...”
เขาส่งเสียงระบายความเจ็บปวดเกินจริงไปมากโข ทว่าหญิงสาวรู้ทัน เธอถูแขนเขาแรงขึ้นอีกจนเนื้อขาวๆ เริ่มขึ้นปื้นแดงจึงได้เพลามือ
“ก็ฉันไม่ใช่พยาบาลนี่นา แล้วฉันก็เป็นพวกมือหนักซะด้วย ช่วยไม่ได้ละนะ ก็คุณต้องการเอง” ว่าแล้วหัวเราะคิกคักเพราะถูกใจที่ได้แกล้ง
คนป่วยอมยิ้ม ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการกระทำของพิชฎาเลย กลับกันเขาสุขใจอย่างประหลาดที่ได้ยินเสียงหัวเราะของหล่อน เขาจ้องวงหน้างามเนิ่นนาน นานจนกระทั่งคนถูกจ้องเริ่มรู้ตัว
หญิงสาวรีบหันหน้าหนีเพราะเขินอายต่อดวงตาสีเงินยวง ทว่าแมคโลริคมีหรือจะยอม เขาพาวงแขนอุ่นร้อนมากอดรัดร่างบางจากด้านหลัง
“ผมหนาวจังเลย สงสัยไข้จะขึ้นอีกแล้ว”
คนป่วยออดอ้อน วางคางคมบนหัวไหล่มนของหล่อน แตะริมฝีปากลงบนหัวไหล่ทั้งที่ยังมีเสื้อเชิ้ตกั้นกลาง มันสร้างความปั่นป่วนแก่พิชฎาจนขนลุกซู่
“ไข้...อ่า...ไข้ขึ้นก็ไปกินยาเพิ่มสิ ฉันไม่ใช่ยาวิเศษนะ มาจับมาจูบมันจะได้หาย” บอกเขาตะกุกตะกัก ดิ้นขลุกขลักในวงแขนอุ่นร้อน ดิ้นไปดิ้นมาผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างคนป่วยก็เริ่มหลุดจากร่าง
พิชฎาสัมผัสได้ถึงผิวเนื้ออุ่นจัดของคนที่นั่งซ้อนหลังเธออยู่ มันน่ากลัวชะมัดเพราะความภาคภูมิใจแห่งบุรุษกำลังบดเบียดบั้นท้ายของเธอ
“โอ...ที่รัก รู้สึกว่าแมคน้อยจะตื่นละ แต่ให้ตายเถอะ! ผมไม่มีแรงจะปล้ำคุณ...เฮ้อ...” คนป่วยถอนหายใจแล้วปล่อยร่างให้ล้มหงายบนเตียง พิชฎารีบหาชายผ้านวมไปคลุมท่อนล่างเขาไว้ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ลืมตามามองอะไรบางอย่างที่กำลังชี้โด่เด่อยู่กลางร่างเขา
“ฉะ...ฉัน ฉันว่านั่นเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ ฉันกลับแล้วนะ” บอกแต่ไม่หันไปมองคนป่วย ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง
“แต่คุณยังเช็ดตัวให้ผมไม่เสร็จนะ ผมไม่สบาย แขนผมไม่มีแรงเนี่ย”
เขาโวย ยกแขนสองข้างขึ้นก่อนจะทิ้งลงบนเตียงราวกับคนเป็นง่อยสิ้นเรี่ยวแรง
“ถ้าไม่มีแรงคุณจะแกล้งฉันได้ยังไง อย่ามาโม้น่า” คนสวยหันกลับมาเถียง
แมคโลริคเลื่อนกายลงใต้ผ้านวมเพราะเริ่มหนาว แอร์ในห้องยังไม่ได้ลดอุณหภูมิลง เขาขี้ร้อนเกินกว่าจะทำเช่นนั้นแม้ว่าตัวเองจะไม่สบายก็เถอะ
“ผมไม่แกล้งคุณแล้วก็ได้ สัญญาเลย...น่านะ ผมป่วย...ผมอยากมีคนดูแล ขอร้อง...”
น้ำเสียงในประโยคท้ายๆ เอ่ยด้วยใจจริงจนคนฟังรู้สึกได้ พิชฎาเดินกลับมา แล้วเริ่มลงมือเช็ดตัวให้เขาอีกครั้ง
แมคโลริคยึดมั่นคำสัญญา เขาไม่ได้รังแกพิชฎาแม้แต่น้อย และเมื่อนักเขียนสาวเช็ดตัวเสร็จ คนป่วยก็เข้าสู่นิทราไปเรียบร้อย
“เสร็จซะที” หญิงสาวกวาดตามองร่างที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านวม แก้มแดงขึ้นมาอีกเมื่อดวงตาเลื่อนผ่านในส่วนที่ไม่ได้ลงมือเช็ด เธอละไว้เพราะเกรงใจแมคน้อยของเขา
น้าสาวของรัญตาเตร่อยู่ที่ห้องของแมคโลริคกระทั่งบ่ายคล้อย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ทำไม แต่รู้ตัวดีว่าหากกลับบ้านไปก็คงไม่แคล้วเป็นห่วงเขาแน่ๆ
ผ่านไปหลายชั่วโมง หญิงสาวสำรวจห้องกว้างจนเหนื่อย เธอกลับไปดูคนป่วยอีกครั้ง ช่วยเปลี่ยนผ้าที่แปะอยู่บนหน้าผากให้เขา ก่อนจะมานั่งรับประทานมื้อเที่ยงที่เชนเอามาส่งให้เมื่อตอนบ่ายโมง ละเลียดอาหารต่างชาติจานโตที่ชื่อสปาเกตตีจนท้องตึงเต็มที่ ก่อนจะหาที่ทางหลับกลางวันสักงีบเพราะเมื่อคืนปั่นนิยายจนดึกดื่น
หกโมงเย็น แสงตะวันนอกหน้าต่างเริ่มโรยแรง เป็นสัญญาณว่าอีกไม่ช้าท้องฟ้าจะเข้าสู่ราตรีกาล แมคโลริคยันกายขึ้นจากเตียงช้าๆ รู้สึกโล่งศีรษะมากโข เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ผุดอยู่ทั่วร่าง เขาไม่แคร์ว่าตัวเองกำลังเจ็บไข้ ลุกจากเตียงได้ก็ก้าวเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายทันที