เมืองสันต์ภพ
๔
“เราจะทำอย่างไรดีแม่ มันจะมาทวงสมบัติของแม่มันคืนหรือเปล่า” ตั้งสติได้ดาวเรืองก็เขย่าแขนผู้เป็นแม่ด้วยความร้อนใจ
“เดี๋ยวแม่จะจัดการเอง” ชบาหรี่ตาลงฉายแววเยือกเย็น ในเมื่อกำจัดแม่มันได้นับประสาอะไรกับลูก หากใครขวางทางเธอและดาวเรือง ไม่ว่าหน้าไหนก็จะจัดการให้สิ้น
“แม่จะทำยังไง?”
“แม่มีวิธีก็แล้วกัน ลูกไม่ต้องรู้หรอกไปแต่งตัวสวย ๆ หาผัวรวย ๆ ก็พอ”
“ลูกไม่อยากได้ใครอื่น ลูกชอบพี่สิบหมื่น” ดาวเรืองเอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ แม้จะอายุห่างกันมาก หากแต่คนคนนั้นเธอชอบมาตั้งแต่เด็ก ในวัยเด็กสิบหมื่นสายตาอ่อนโยนอบอุ่นเฉพาะกับหนูดีแม้จะดุแต่ก็ใจดี เห็นทีไรดาวเรืองก็อดอิจฉาไม่ได้ เธอชอบมาจนกระทั่งทุกวันนี้
“สิบหมื่นจัดการไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ” ชบามองหน้าลูกสาวด้วยสีหน้ากังวลเมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของลูกสาว หากเป็นชายอื่นก็ไม่แน่ แต่สิบหมื่นที่ไม่เคยชายตามองหญิงใดมาตลอดสามสิบสี่ปีมีแต่จะทำให้ดาวเรืองเสียใจเปล่า อีกอย่างสิบหมื่นก็ดูจะไม่ชอบพวกเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกครั้งที่เจอมักจะพูดจากถากถางอ้อม ๆ ให้เธอขายหน้าอยู่เป็นนิจ
ร่างผอมบางของหนูดีเดินผิวปากย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม มือเล็กโยนถุงเงินในมือเล่นด้วยความอารมณ์ดี เสียงกระทบกันของเหรียญบ่งบอกว่าวันนี้เธอไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป ส่วนเรื่องแก้แค้นยังมีเวลาอีกมากมายให้เธอจัดการ
หลังจากที่เห็นภาพความทรงจำของร่างเดิม ด้วยความสงสารเธอก็ปฏิญาณตนว่าจะจัดการล้างแค้นสองแม่ลูกและคนอื่น ๆ ที่ทำไม่ดีกับร่างเดิมให้สิ้น
หนูดีเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านขนมบัวทอดข้างร้านน้ำ แม่ค้าหญิงชราผู้หนึ่งนั่งทอดขนมด้วยเตาฟืน ดวงตากลมใสมองปริบ ๆ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ เธอยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้าพอได้กลิ่นหอมจากขนมจึงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ
“ขนมบัว…”
“หนึ่งเหรียญได้สิบแผ่น” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ แม่ค้าชราคนนั้นก็เอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับหนูดีคนบ้าทั้งนั้น ไม่ว่าไปแห่งใดผู้คนก็ไม่ค่อยต้อนรับแต่หนูดีหาได้ใส่ใจ
คิ้วสวยเลิกขึ้นก่อนจะแกะถุงแดงออก เหรียญเงินขนาดต่างกันอยู่ในถุงเธอจึงหยิบขึ้นมาดูทีละเหรียญ บนเหรียญสลักคำว่า ‘เมืองสันต์ภพ’ ตรงกลางมีเลขไทยแสดงถึงจำนวน
“ยายที่นี่คือที่ไหนเหรอ?” หนูดีเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม่ค้าชรามองหน้าเธอเสี้ยววินาทีก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ ทีหนึ่ง
“ข้าบอกไปเดี๋ยวเอ็งก็ลืม คนบ้าแบบเอ็งจะอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันอยากรู้ บอกหน่อยเถอะ”
“หมู่บ้านท่าควาย!”
“แล้วเมืองสันต์ภพล่ะ?” หนูดีพยายามตื๊อถามอีกรอบ ยายแม่ค้าตวัดหางตามองก่อนจะส่ายหน้าเอือมระอาก่อนเทแป้งขนมลงกระทะ
“หมู่บ้านท่าควาย เมืองสันต์ภพ ห้ามมาถามข้าอีก!”
“เมืองสันต์ภพหมู่บ้านท่าควายเหรอ?” หนูดีพึงพำเบา ๆ กับตัวเอง การเรียกแบบนี้ไม่ใช่ที่โลกแน่ ผู้ใหญ่บ้านก็เรียกว่าผู้นำ แม้แต่เหรียญเงินก็ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน...
หนูดีสะบัดความคิดออกจากหัว ช่างมันเถิดหากมันจะเป็นโลกไหนก็ตามแต่ ตอนนี้เธอมีโอกาสมีชีวิตอีกครั้งก็จะใช้มันให้ดีและไม่ประมาท มือเล็กวางเงินหนึ่งเหรียญเงินให้กับยายแม่ค้าก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว…
“เอาแค่ห้าแผ่น”
“ข้าขายหนึ่งเหรียญสิบแผ่น”
“ฉันจะเอาแค่ห้าแผ่น” หนูดียืนยันน้ำเสียงหนักแน่น หญิงแม่ค้าขมวดคิ้วปรายตามองด้วยความข้องใจ คนบ้าก็คือคนบ้าอยู่วันยังค่ำ
“เอ็งอย่ามาว่าข้าโกงล่ะ” พูดจบก็หยิบขนมบัวทอดใส่ห่อใบตองแล้วยื่นให้ หนูดีเพียงยิ้มแล้วยื่นมือไปรับมาก่อนจะหยิบใส่ปากกัดชิมดูหนึ่งแผ่น
“หืมมมม อร่อย!” มือเล็กชูนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วยกให้ด้วยความจริงใจ เป็นขนมบัวที่กรอบและนุ่มอร่อยมาก แต่เธอก็ไม่อยากกินถึงสิบแผ่น ในโลกใบเดิมเธอเกลียดของทอดของมันมากที่สุดเพราะกลัวอ้วน
ซื้อเสร็จก็เดินมาร้านน้ำหยุดมองป้ายเมนูและราคาด้วยความครุ่นคิด เหมือนว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ต่างจากโลกปัจจุบันเท่าไหร่นัก ของกินของขายเหมือนย้อนอดีตไปสักหลายสิบปีของโลกปัจจุบันเหมือนชนบทสมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
“หนูดีลื้อมายืนอ้ำอึ้งอะไรหน้าร้านอั๊วะ”
“ฉันจะซื้อน้ำ”
“หากลื้อหิว อั๊วะให้กินโอเลี้ยงแก้วหนึ่งไม่คิดเงินก็ได้เอาไหม?” อาแป๊ะเจ้าของร้านคุ้นเคยกับหนูดีเป็นอย่างดี อยู่ ๆ ก็นึกครึ้มใจอยากแกล้งเด็กน้อยเสียหน่อย
“อื้ม” หนูดีถึงกับตาเป็นประกายพยักหน้ารับทันที ของฟรีใครไม่ชอบ?
“แต่ต้องตอบคำถามอั๊วะให้ได้ก่อน สนใจหรือไม่?”
“สนใจ”
“แต่ถ้าลื้อตอบไม่ได้ต้องจ่ายอั๊วะสองเท่าของราคาโอเลี้ยง”
“ตกลง แต่ถ้าฉันตอบได้อาแป๊ะต้องให้น้ำกินฟรีทุกวันวันละแก้ว” หนูดีพยักหน้าหนักแน่นพร้อมกับยื่นข้อเสนอของตนบ้างก่อนจะลอบแสยะยิ้มมุมปากไม่ให้ใครเห็น ส่วนอาแป๊ะปกติก็ใจบุญให้หนูดีกินฟรีทุกวันอยู่แล้วเลยไม่ได้กังวลอะไร เขาเพียงอยากหาอะไรเล่นแก้เซ็งก็เท่านั้น
“เหอะ! ได้ อั๊วะจะถามง่าย ๆ แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ารังแกคนบ้าแบบลื้อ” อาแป๊ะยกนิ้วมาแตะที่คางนึกคำถาม
“ถ้าน้ำหนึ่งแก้วขายสามเหรียญ มีต้นทุนหนึ่งเหรียญ ขายแล้วไปสิบแปดแก้ว ได้กำไรเท่าไหร่?” คำถามนี้ดูง่ายสำหรับคนทั่วไปแต่สำหรับหนูดีคนบ้าที่หยุดไปเรียนตั้งแต่หกขวบถือว่ายากมาก
เพียงแต่...
“สามสิบหก” หนูดีตอบทันทีแบบไม่แม้แต่จะต้องคิด อาแป๊ะถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะนับเหรียญในกระปุกที่เก็บไว้หลังจากหักต้นทุนออก ปรากฏว่าวันนี้เขาเพิ่งได้กำไรสามสิบหกเหรียญจริง ๆ
“นี่ลื้อ…ลื้อรู้หนังสือด้วยหรือ?”
“…” ดวงตากลมโตชะงักไปชั่วขณะก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นบ้าจึงแค่เก้อด้วยการกะพริบตาปริบ ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วรีบแก้ตัว
“ข้าเดา! วันนี้ฉันไม่หิวแล้วไว้วันหลัง” พูดจบก็เดินหยิบขนมบัวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแก้มป่อง หนูดีเคี้ยวขนมไปเดินไปด้วยความอารมณ์ดี เธอไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่ามีใครมองเธออยู่ในร้านตั้งแต่ต้นจนจบ
“ถ้าแบบนี้คือบ้าแล้วแบบพวกเราคืออะไร” ชายหนุ่มผมยาวใบหน้าหล่อเข้มหันไปถามเพื่อนสนิท
“เอ็งเอาเวลาไปสนใจว่าที่เมียเอ็งเถอะ” สิบหมื่นเองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร สายตาลุ่มลึกจับจ้องแผ่นหลังเล็กด้วยความสนใจ ริมฝีปากหนาเม้มแน่นพลางครุ่นคิด เขาสอนเลขให้หนูดีตั้งแต่สามขวบเริ่มตั้งแต่ฝึกท่องยันบวก ลบ คูณ หาร
หรือว่า...
“ข้ากลับเรือนก่อน มีธุระ” พูดจบร่างสูงโปร่งของสิบหมื่นก็เดินออกไป เฉยที่นั่งอยู่จะคว้ามือไว้ก็ไม่ทัน
สิบหมื่นตรงมาร้านขายขนมตาลก่อนจะควักเงินซื้อมาสามห่อ จากนั้นก็มองหาเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นแถวนั้นแล้วโบกมือเรียกทันที เด็กละแวกนั้นรู้จักสิบหมื่นอยู่แล้วจึงรีบมาด้วยความดีใจเพราะเรียกทีไรได้เงินกินขนมทุกที
“เอ็งเอาขนมนี่ไปให้หนูดีที ไม่ต้องบอกว่าข้าให้เอามาให้นะ” สิบหมื่นสั่งจบก็ยื่นเงินเหรียญให้เด็กน้อยหัวจุกเป็นค่าจ้าง
เด็กน้อยเด็กรับเงินมาก็วิ่งตามแผ่นหลังหนูดีไปด้วยความรวดเร็วเมื่อเดินไปใกล้ก็เอานิ้วสะกิดเป็นการเรียก หนูดีเพียงหยุดแล้วปรายตามองก่อนจะเลิกคิ้วสงสัยเมื่อเด็กน้อยยื่นขนมตาลให้
“ให้” เด็กน้อยยัดห่อขนมตาลใส่มือหนูดีเสร็จก็วิ่งหนีทันที เธอยืนงงอยู่อย่างนั้นเพราะค้นหาความทรงจำของร่างเดิมก็พบว่าไม่ใช่ญาติมิตร หนูดีได้แต่ตะโกนขอบคุณไล่หลัง
“ไอ้หนู ขอบคุณนะ” ขอบคุณทำไมไม่รู้แต่หากมีคนอื่นให้ของเธอก็ควรต้องขอบคุณไว้ก่อน
เพียงได้ยินหนูดีเอ่ยคำนั้นสิบหมื่นที่ยืนมองสถานการณ์อยู่ตลอดก็กระตุกยิ้มด้วยตาเป็นประกายทันที “กลับมาแล้วสินะ”