บท 6

1655 Words
เมืองสันต์ภพ ๖ ร่างสูงโปร่งพร้อมผ้าปิดหน้าเหลือเพียงดวงตาคมเข้มลุ่มลึกดั่งก้นมหาสมุทร ใบหน้าถูกบดบังด้วยความมืดดำของช่วงเวลาค่ำคืนมีเพียงแสงจันทราสาดส่องให้เห็นเพียงรำไร ในมือถือตะเกียงไร้ซึ่งแสงไฟ สายตาทอดออกไปยังกระท่อมที่กำลังมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยมีชายสี่คนสู้กับหญิงสาวร่างผอมบางเพียงคนเดียว คนที่ลูกน้องเขาบอกว่าป่วย คนป่วยที่ทุบโจรจนสลบ? ฟากฝั่งของหนูดีกำลังหลับเพลิน ๆ ดันมีพวกสารเลวนี่มารบกวน เมื่อถามถึงสาเหตุการมาหาเรื่องเธอถึงกระท่อมปลายนาที่ห่างไกลผู้เช่นนี้กลับตอบยียวนกวนส้นเท้า เธอจึงสั่งสอนด้วยการแกล้งทำสากกะเบือหล่นใส่หัวเบา ๆ คนละสองสามทีจนสลบ เหลือเพียงตัวสุดท้ายคือคนที่มีท่าทางเหมือนหัวหน้ากลุ่ม “นี่มึง…” ชายคนนั้นถึงกับพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าหนูดีมันเป็นบ้าหรอกหรือ? “จะเข้ามาก็รีบเสียเวลาคนจะนอน” เมื่อได้ยินวาจาหยามศักดิ์ศรี ชายคนนั้นก็กัดฟันกรอดก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาร่างเล็กผอมแห้งดูไร้พิษสงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่สุดท้ายกลับโดนเธอหลบด้วยความว่องไวพร้อมออกเข่าใส่จุดสำคัญจนตัวเองต้องกุมเป้าคุกเข่าลงไปกองกับพื้นแค่นั้นยังไม่พอโดนเท้าขยุ้มหน้าแล้วถีบหงายไปอีกที “อึก!” แสงมืดมากหนูดีเลยไม่เห็นสีหน้าแต่เดาว่าคงหน้าเขียวไปแล้วเป็นแน่ กลัวว่ามันจะลุกขึ้นมาสู้ได้อีกจึงจัดการกระทืบซ้ำจุดสำคัญของร่างกายไปอีกหลายทีเล่นเอาเหนื่อยหอบ “หึ!” มือเล็กปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากแล้วเดินเข้าไปในกระท่อมหาเชือกที่น้องสาวต่างแม่หวังดียัดใส่หีบมาให้ ต้องขอบคุณจริง ๆ วันนี้ได้ใช้งานแล้ว หนูดีจัดการมัดไอ้ตัวหัวหน้าเสร็จก็หยิบตะเกียงน้ำมันเพื่อมาตัดเชือกแบ่งเชือกไปมัดลูกกระจ๊อกทั้งสามตัวนั้น หนูดีมัดเสร็จเดินกลับมาเผชิญหน้ากับตัวหัวหน้าที่นอนฟุบอยู่ที่พื้น ชายผู้นั้นถูกมัดมือทั้งสองไว้ด้านหลังรวมทั้งขาสองข้าง หนูดีเดินมาฉีกยิ้มให้จาง ๆ ก่อนจะขยุ้มผมดึงให้นั่งขึ้นด้วยท่าทีเยือกเย็น มีความจำเป็นอะไรจะต้องใจดีกับคนที่จะมาเอาชีวิตเธอ “มึงชื่ออะไร” ดวงตากลมโตที่เคยถูกจดจำว่าดูโง่เขลา วันนี้กลับสบตาคู่กรณีด้วยแววตาอาฆาตทำเอาชายอกสามศอกถึงกับกลืนน้ำลาย สายตาหวั่นกลัวของคนตรงหน้าคู่นั้นไม่อาจรอดสายตาหนูได้ไปได้นั่นยิ่งทำให้เธอได้ใจ เจ้าแม่การแสดงเข้าสิงทันที ต้องทำหน้าให้โรคจิตหน่อยหรือไม่นะ? “มึงจะตอบไม่ตอบ?” “กูไม่บอก! ปล่อยกู! ถ้าไม่ปล่อยกูสาบานเลยว่ากูจะฆ่ามึงให้ตาย” “เหรออออ อยู่ในมือกูแล้วมึงคิดว่ามึงจะรอดมาฆ่ากูได้ง่าย ๆ เหรอ” เสียงใสลากยาวเย้ยหยัน ริมฝีปากสวยกระตุกยิ้มมุมปากร้ายกาจไม่เหลือแม้แต่คราบคนบ้าที่เคยคุ้นตาชาวบ้าน มือเล็กผอมแห้งมัดเชือกส่วนที่เหลือให้เป็นบ่วงไปพลาง ๆ ไม่แม้แต่จะละจากการสบสายตาชายคนนั้น แววตาเยือกเย็น รอยยิ้มเหมือนคนวิกลจริต… “มึงไม่ได้บ้าหรอกเรอะ!” ชายคนนั้นมองสิ่งที่หนูดีกำลังทำ หัวใจเต้นแรงทั้งสั่นกลัว ขาทั้งสองค่อย ๆ ดันถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณแต่กลับโดนผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าให้ความปรานีด้วยการเอาบ่วงเชือกคล้องคอแล้วดึงไว้ราวกับล่ามสัตว์เลี้ยงก็ไม่ปาน “ฮ่า ๆ บ้าสิ ใครก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่ากูบ้า ฮ่า ๆ ๆ” หนูดีแสร้งหัวเราะเหมือนคนคลุ้มคลั่งตามละครที่เคยเห็นก่อนจะแสยะยิ้มให้ดูโรคจิตทำเอาชายตรงหน้าถึงกับดวงตาสั่นระริก ความเงียบสงัดของเวลากลางคืนสะท้อนเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกเพิ่มความหวั่นใจให้คนกำลังตกเป็นเหยื่อ แต่นั่นยังน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลานี้… หนูดีก้มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มึงรอดูได้เลยว่ายั่วโมโหคนบ้าแบบกูจะตายยังไง” เอ่ยจบก็กัดเข้าใบหูชายตรงหน้าแรง ๆ เพื่อปั่นประสาท ร่างสูงหนาตัวสั่นไปทั้งร่างเริ่มพูดจาติดขัด “มะ...มึง มึงอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!!” “ชู่ววว~ ไม่ต้องกลัว กูเพียงจะเอาเชือกนี้แขวนไว้ตรงนั้น เท่านั้นเอง” เสียงเย็นเอ่ยเนิบช้า นิ้วเรียวกระตุกเชือกที่คล้องคอชายคนนั้นเบา ๆ แล้วชี้ไปที่ขื่อของกระท่อม เห็นชายตรงหน้าเม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผากด้วยอาการหวาดกลัวหนูดียิ่งได้ใจ แอบภูมิใจไม่น้อยที่ตัวเองตีบทแตก รางวัลนักแสดงดาวรุ่งต้องเข้าแล้วไหม? “ยะ..อย่า! อย่าทำกูเลย” สองมือรีบพนมอ้อนวอนในขณะที่เห็นแววตาเหมือนพวกวิกลจริตของหญิงสาวตรงหน้า “กูถามว่ามึงชื่ออะไร” “ชะ ชะ..ชื่อพราย” “ใครเป็นคนจ้างมึงมา” “ฮึก! บะ..บอกไม่ได้” ถึงแม้จะหวาดกลัวแต่เขารับเงินจากคนที่จ้างวานมาแล้วครึ่งนึง หากบอกไปเขาก็จะไม่ได้อีกครึ่งจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธพันวัน “ไอ้คุณพราย มึงรู้หรือไม่ว่ากูขาดอะไรมากที่สุดในชีวิตนี้” หนูดีเริ่มนึกสนุกอย่าแกล้งชายตรงหน้า ต้องขอบคุณชื่อของมันที่ช่วยให้เธอปิ๊งไอเดียแจ่ม ๆ “...” “เหอะ ๆ เดาหน่อยไหม...” มือเล็กถือตะเกียงน้ำมันขึ้นมาเพื่อส่องดูใบหน้าของผู้หมายเอาชีวิตเธอให้ชัด ขณะที่สายตาจับจ้องชายตรงหน้าราวกับเจอเหยื่อถูกใจ ขอบคุณโลกที่เธอจากมาที่มีละครหลากหลายให้ได้เลียนแบบท่าทาง “มะ…ไม่รู้” พรายเห็นดังนั้นปากสั่น ตัวสั่นด้วยความกลัว เขาอยากจะถอยหลังหนีก็หนีไม่ได้เพราะโดนเชือกมัดคอเอาไว้ หนูดีเคลื่อนตะเกียงน้ำมันที่ไฟกำลังลุกโชนไปใกล้ ๆ คางของเขาก่อนจะเลียริมฝีปากล่างราวกับคนหิวกระหาย มือเล็กกระตุกเชือกที่รัดคอชายคนนั้นไว้แน่นไม่ให้หนีพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น… “กูขาดความรัก แล้วก็...” “อ้ะ!” ความร้อนทำให้พรายต้องรีบเบือนหน้าหลบ “อาหาร…” พอได้ยินจินตนาการของพรายก็เข้าใจทันทีว่าหนูดีหมายความว่าอย่างไร ความรักคงหมายถึงต้องการน้ำมันพรายจากการลนคางของเขาส่วนอาหารคงหมายถึงร่างกายส่วนที่เหลือ นี่มันโหดร้ายเกินมนุษย์! ช่วงนี้ได้ข่าวว่ามีปอบออกหากินไก่ชาวบ้านหรือแท้จริงแล้วจะเป็นหนูดีคนบ้าที่เป็นปอบ! คนบ้ากินได้กระทั่งคนเชียวหรือ คิดแล้วขนลุกซู่ยิ่งสบเข้ากับดวงตาโรคจิตของหญิงสาวผอมบางตรงหน้ายิ่งกลัวจนต้องหลับตาลง ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่รับจ้างทำงานสกปรกมานับไม่ถ้วนฉี่ราดออกมาเปียกกางเกงโดยไม่รู้ตัว ชั่วครู่หนูดีเบือนหน้าหนีทำท่าจะอ้วกแต่ก็ตั้งสติหันกลับไปสบตาแสดงเป็นคนโรคจิตดังเดิม “ยอมแล้ว ๆ หากข้าบอกเอ็ง สัญญาได้หรือไม่ว่าจะไว้ชีวิตข้า” “แน่นอนอยู่แล้วข้ามีอาหารตั้งสามตัวคงอิ่มได้หลายมื้อ” หนูดีส่งสายตาไปยังชายสามคนที่นอนสลบอยู่ด้านหลังทำเอาพรายถึงกับเย็นสันหลังวาบ แต่อย่างไรก็ตามเขายังมีลูกเมียที่ต้องดูแลฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเห็นแก่ตัวเพื่อเอาตัวรอด “ชบา!” “แล้ว?” “ชบาสั่งมาให้เก็บเอ็งแล้วไปเอาค่าจ้างอีกครึ่งหลังจบงานนอกจากนั้นข้าก็ไม่ทราบแล้ว!!” พรายหลับตาปี๋รีบตอบพรวดออกไปในคราวเดียว หนูดีได้ฟังก็ไม่เกินความคาดหมายของเธอเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ยังต้องแสร้งหัวเราะลั่นเหมือนคนวิกลจริตต่อ “หึ ๆ ดีจริง ๆ เลยนะคุณแม่เลี้ยง” เพียงไปทวงโฉนดตอนเช้าถึงกับร้อนใจสั่งคนมาเก็บเธอทันที แบบนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย… “ปล่อยข้าไปเถิด เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยว ข้าสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับเอ็งอีก” “ไม่เกี่ยว!? เอ็งกล้ารับงานฆ่าคนทั้งที่ไม่มีความแค้นกันมาก่อน เรียกว่าไม่เกี่ยวรึ!” ได้ยินคำพูดไร้ความรับผิดชอบจากไอ้คนชาติชั่วตรงหน้าหนูดีลุกพรวดพราดด้วยท่าทางขึงขัง “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” “ได้ ให้อภัย” พูดจบก็เตะเสยปลายคางจนชายตรงหน้าสลบไป ให้อภัยในนรกเถอะ! “หากตอนนี้คือหนูดีคนบ้าที่ไม่ใช่กูที่เคยเรียนมวยไทยมาเพื่อป้องกันตัว หนูดีคนนั้นคงตายอย่างน่าสังเวชไปแล้ว” เสียงใสเอ่ยลอดไรฟันเบา ๆ ด้วยความแค้นใจ คนที่เห็นชีวิตเป็นผักปลาให้ราคาเพียงเงินไม่กี่เหรียญมันควรให้อภัยแล้วหรือ? แต่จะว่าไปเป็นคนโรคจิตแทนคนบ้าก็ดีเหมือนกัน แสดงง่ายกว่าเยอะ เธอเดินไปค้นตัวพรายเจอห่อเงินใส่ซองสีน้ำตาลจำนวนหนึ่งปึก มีที่คาดเหมือนพึ่งเบิกออกมาจากธนาคารใหม่ ๆ บนซองสีน้ำตาลเป็นเหมือนซองเอกสารราชการที่ส่งถึงบ้านผู้นำเชิดเพราะมีที่อยู่ระบุชัดเจน “หึ! พอดีเลย กำลังจน” หนูหัวเราะในลำคอก่อนจะดึงเงินออกมา ลาภลอยของแท้ตั้งห้าพันเหรียญคงซื้อของได้เยอะพอสมควร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD