เมืองสันต์ภพ
๑๑
เห็นคนเดินมาแต่ไกล ๆ หลายคนหนูดีก็รู้ได้ทันทีว่าชบาพาคนมาแน่นอน คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ผู้หญิงแบบชบาดูออกง่ายจนน่าตกใจ คงเรียกคนมารับศพเธอจากนั้นก็แสร้งแสดงละครว่าตัวเองเป็นแม่ที่แสนดีรักลูกเลี้ยงมากสินะ
ก่อนจะเป็นแบบนี้เธอต้องสะกิดต่อมสงสัยให้เชิดเสียหน่อย
หนูดีเดินเข้าห้องไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลที่ชบาใส่เงินจ้างฆ่าเธอมาวางไว้แถวชานกระท่อมเพื่อให้ดูเหมือนมีคนทำหล่นก่อนจะวิ่งเอาเงินห้าพันที่พึ่งได้มาซ่อนที่ใต้หีบไม้เผื่อมีคนมาค้นหีบเธอ หนูดีแบ่งปึกเงินให้บางลงเพื่อให้หีบทับอย่างแนบเนียน
“หนูดี หนูดีลูก! พ่อมาเยี่ยม” เห็นกระท่อมเงียบสงบไม่มีหนูดีอยู่ละแวกนั้นเชิดก็ตะโกนเรียกแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ เขารู้สึกใจคอไม่ดีแปลก ๆ ส่วนชบาและดาวเรืองมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าแล้วแสยะยิ้มเยือกเย็น
แววตาทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อยราวกับทุกอย่างถ่ายทอดออกมาทางพันธุกรรมกระทั่งจิตใจที่หยาบช้า หนูดีแอบมองผ่านรูผุพังของกระท่อมก็แทบอยากกระโดดออกไปตบทั้งคู่
ทางด้านสิบหมื่นที่มองอยู่เงียบ ๆ เขานึกก็สนุกขึ้นมาในใจรอลุ้นว่าเด็กร้ายกาจคนนั้นจะวางแผนทำอะไรต่อไป แม้ที่จริงแล้วเขาส่งเด่นมาเฝ้าจับตาดูตลอดเวลา
หลังจากหนูดีปล่อยตัวพรายไปเด่นก็วิ่งไปรายงานทันที จากนั้นเขาก็เดินออกมารอที่แถวหน้าเรือนผู้นำเชิดแสร้งทำเป็นเหมือนบังเอิญผ่านมา
“หนูดี หนูดี!” เมื่อเรียกแล้วลูกไม่ขานตอบเชิดรีบจึงวิ่งขึ้นไปบนกระท่อมด้วยความร้อนใจ กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูออกหนูดีก็เปิดออกมาพอดี
“พ่อ…” ดวงตากลมใสมองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าไร้เดียงสา เชิดเห็นลูกสาวถึงกับเสียภาพลักษณ์ที่เคยทำมาตลอดดึงหนูดีมากอดแนบอกด้วยความดีใจทำเอาหนูดีถึงกับขมวดคิ้วงง
“ทำไมไม่ขานพ่อเอ็งไม่ได้ยินที่พ่อเรียกหรือ?” เสียงเข้มเอ็ดใส่หนูดีทันทีก่อนจะผละลูกสาวออกจากอ้อมกอด ตลอดทางที่เดินมากระทั่งถึงกระท่อมเขาใจเต้นแรงตลอดเวลากลัวว่าหนูดีจะเป็นอะไรไป
“พ่อเป็นอะไรหรือ?” หนูดีถึงกับงงไปไม่เป็นเพราะปกติแล้วพ่อผู้นี้มักเย็นชาใส่เธอเสมอ แล้วเธอต้องมาเหนื่อยแสร้งทำหน้ารู้สึกผิดอีก แต่เมื่อทอดสายตาออกไปดูคนที่มาด้วยเห็นสิบหมื่นยืนทำหน้านิ่งเฉยหนูดีจึงเข้าใจว่าเชิดกำลังแสดงละครพ่อแสนดีต่อหน้าคู่หมั้นเธอสินะ
“อีหนูดี!!” ชบาหน้าใบหน้าเรียวเล็กโผล่ออกมาจากแผ่นหลังของเชิดก็หลุดคำพูดหยาบคายออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ ของที่ถืออยู่ในมือบางส่วนถึงกับล่วงลงไปจนเอี้ยงต้องตามเก็บให้ ใครจะไปคิดว่าเธอโดนไอ้พรายหลอกเข้าแล้ว!
“ทำไมเรียกลูกเช่นนั้น!!” เชิดหันไปตำหนิชบาแทบจะทันที ดาวเรืองมองหน้าผู้เป็นแม่พร้อมกับของในมือเธอก็เข้าใจสถานการณ์
ที่แท้แม่สั่งคนมาจัดการหนูดีแล้วทำงานพลาดสินะ
“เอ่อ…ฉันแค่ตกใจน่ะพี่เชิด”
“น้าชบาตกใจอะไรหรือหนูดีหาใช่ผีเสียหน่อย” หนูดีเอียงคอถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสาเธอแสร้งมองไปรอบ ๆ กระท่อมเพื่อหาบางสิ่ง
“เอ่อ…”
“หรือว่าน้าเห็นแม่หนูแดง?” คำถามนั้นชบาถึงกับขนลุกซู่รีบขยับไปเกาะแขนดาวเรืองที่อยู่ด้านข้างทันที
“เปล่านะ!!” ชบารีบปฏิเสธใบหน้าที่เคยชูคอสง่าผ่าเผยกลัวหดคอลงแววตาคู่นั้นหลบสายตาหนูดีด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เธอรู้สึกว่าหนูดีมีดวงตาคล้ายหนูแดงขึ้นทุกวัน ดูใจเย็น ฉลาด มีไหวพริบเหมือนหนูแดงไม่มีผิด ส่วนหนูดีเห็นเช่นนั้นก็แอบเบ้ปากใส่ในใจ
“พ่อ…เมื่อคืนมีคนมาทำร้ายหนูดีด้วย” เพียงคำคำเดียวชบาถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น เกรงว่าตนจะโดนจับได้ แต่เชิดที่ได้ยินเสียงลูกสาวพูดเช่นนั้นก็กำมือแน่นกัดฟันกรอด
“มันเป็นใครลูกรู้หรือไม่?”
“ได้ยินมันเรียกชื่อกันว่าพราย”
“ไอ้พราย!” เชิดย่อมรู้จักคนนี้เป็นอย่างดี ทั้งขโมยควาย ลักของวัด ชื่อเสียงด้านความเลวไม่เข็ดหลาบก็มีเพียงมันคนเดียวลูกน้องคนสำคัญของไอ้มั่นหมู่บ้านท่าวัว
“ยังมีอีกสามคนหนูดีไม่รู้ชื่อ” หนูดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดูใสซื่อจนคนเป็นพ่อเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แววตาของเชิดฉายแววเยือกเย็นแม้กระทั่งชบาที่ยืนอยู่ไกลออกไปยังรู้สึกได้ว่าเชิดกำลังโกรธ
“คนเดียวไม่พอพวกมันมาถึงสี่พวกมันหวังให้หนูดีตายเลยหรือ” เชิดขบกรามแน่นก่อนจะหันไปถามผู้เป็นลูกสาว “แล้วลูกสู้มันได้อย่างไร?” หนูดีชี้ตรงไปยังห้องครัว
“สากกะเบือในครัว”
“เป็นพวกอันธพาลหื่นกามใช่หรือไม่หนูดี?” ได้โอกาสชบาก็เริ่มกุเรื่องให้พ้นตัวเพื่อจะให้เชิดไม่พุ่งเป้าไปที่เรื่องพยายามฆ่าและเปลี่ยนเป็นเรื่องข่มขืนแทน ในเมื่อจัดการหนูดีไม่ได้ก็ป้ายมลทินเสียเพื่อให้สิบหมื่นรังเกียจก็ยังดี
“ไม่…หนูดีไม่รู้”
“พวกมันได้แต่เนื้อต้องตัวหนูดีไหม?” ชบาเค้นถามอีกครั้ง เธอค่อย ๆ ก้าวเดินขึ้นมาบนชานกระท่อมเพื่อกดดันหนูดี
“ไม่หนูดีตีมันสลบ” ริมฝีปากเล็กแอบยิ้มเย้ยหยันดวงตากลมโตไร้เดียงสาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที แม่เลี้ยงคนนี้มีโอกาสเมื่อไหร่หาทางให้เธอแปดเปื้อนจนได้สินะ
“หนูดีไม่ต้องกลัวนะลูก เล่าให้แม่ฟังตามความจริงเถิด” ชบาวางถุงของที่ซื้อมาบางส่วนไว้ด้านข้างก่อนจะเดินเข้าไปกุมมือหนูดี ดวงตาเชิดขึ้นคู่นั้นมองหนูดีด้วยท่าทางน่าสงสารเต็มประดาราวกับหนูดีพึ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาอย่างไรอย่างนั้น
“พวกมันไม่ได้ทำอะไร หนูดีตีมันก่อน”
“ไม่ต้องเขินอายหรอกพี่หนูดี บอกความจริงมาเถอะพ่อเป็นถึงผู้นำหมู่บ้านจะได้ไปจัดการพวกเลวทรามนั้นให้” ดาวเรืองที่เพิ่งเดินขึ้นมาพูดเสียงดังหวังให้สิบหมื่นได้ยิน เชิดถึงกับขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกที่หว่างคิ้ว เค้นถามหนูดีเช่นนี้หวังให้หนูดีตอบว่าตัวเองแปดเปื้อนงั้นหรือ?
“เหตุใดถึงต้องคาดคั้นขนาดนั้น หนูดีบอกไม่ก็ไม่สิ!” เชิดเอ่ยเสียงเข้มแววตาดุดันตวัดมองทั้งสองคน สองแม่ลูกถึงกับชะงักแต่ก็ไม่ยอมแพ้…
“พ่อพวกเราหวังดีต่อพี่สาวนะ หากพี่สาวโดนพวกมันเอาเปรียบเราจะได้ไปทวงคืนความยุติธรรมให้” ดาวเรืองยกเหตุผลมาอ้างเสียงดังพร้อมอธิบายยาวเหยียด เธอหวังให้สิบหมื่นรังเกียจจนยกเลิกงานแต่งไปเสีย
“หนูดีไม่แปดเปื้อนหรอกเพราะข้าอยู่ช่วยด้วยตนเอง” สิบหมื่นที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยค่อย ๆ เดินขึ้นกระท่อมมา ดวงตาสีนิลมองสองแม่ลูกด้วยสายตาไม่พอใจ ทำเอาชบาและดาวเรืองเงียบกริบพูดไม่ออก
ชบาเม้มปากแน่นด้วยความกังวล หากว่าสิบหมื่นอยู่ช่วยเป็นไปได้หรือไม่ที่สิบหมื่นจะเค้นถามพวกนั้นจนรู้ว่าเธอเป็นคนจ้าง แต่คงไม่หรอกหากรู้ก็คงไปแจ้งทางการให้มาจับเธอแล้วสิ
“นั่นอะไรหรือ?” สิบหมื่นที่เพิ่งเดินขึ้นมาถึงชานกระท่อม ก้มหยิบซองเอกสารที่เด็กเจ้าเล่ห์บางคนแสร้งทำตกไว้ก่อนจะสบเข้าดวงตากลมโตคู่นั้น หนูดีแอบถลึงตาใส่ไปทีหนึ่งเกรงว่าสิบหมื่นจะพูดมากจนความแตก แต่เขากลับทำหน้านิ่งเฉยทำทีเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว
“นี่มันซองเอกสาร…” สิบหมื่นแสร้งทำเป็นไม่อยากอ่านแล้วยื่นให้เชิดเพื่อให้เขาได้ดูด้วยตัวเอง ชบาเห็นซองสีน้ำตาลคุ้นตาซองนั้นก็เริ่มใจสั่น เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนหน้าผากด้วยความกังวล
“อะไรหรือ?” เชิดหยิบซองขึ้นมาเห็นเป็นที่อยู่ของบ้านตนเขาก็ขมวดคิ้วทันทีก่อนจะมองหน้าชบา ดาวเรืองและหนูดีรายตัวรวมไปถึงเอี้ยงที่ยืนถือของอยู่ด้านล่างเพราะมีไม่กี่คนที่จะเอาซองเอกสารที่บ้านออกมาข้างนอกได้