11 สตรีผู้อาภัพ / 2

1433 Words
กลับจากตลาดถงหลานเฟยก็ขนข้าวของมีค่าของตนออกมาเรียงราย และให้ชุนเหยียนช่วยประเมินค่าให้ ว่ามีมูลค่าเท่าไร มากพอที่จะนำไปลงทุนทำธุรกิจหรือเปล่า "คุณหนูจะเอาออกมาทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้เจ้าคะ" หญิงชราเอ่ยถาม นานแล้วที่เธอไม่เห็นคุณหนูของตนขนข้าวของพวกนี้ออกมา เพราะบางชิ้นเป็นสมบัติที่ได้มาจากบิดาและมารดา ทำให้นางไม่อยากจะเห็นข้าวของที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เพราะมันทำให้หวนคิดถึงผู้มอบให้ ซึ่งก็คือบิดาและมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว "ข้าว่า...จะแบ่งไปขายบ้าง แต่ถ้าได้มูลค่าไม่มากพอจะนำไปลงทุน ก็อาจจะต้องขายให้หมดนี่เลย" เมื่อได้ยินผู้เป็นนายพูดแบบนั้น มือเหี่ยวที่ถือผ้าแพรงามก็อ่อนแรงทันที สมบัติพวกนี้บางชิ้นเป็นของเก่าแก่มีมูลค่ามาก หากนำไปขายเพียงชิ้นเดียวก็จะได้เงินก้อนใหญ่ แต่ที่ชุนเหยียนไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดเจ้านายของตนถึงได้นึกอยากจะขายสมบัติขึ้นมา เพราะชีวิตในเวลานี้ก็มิได้ถือว่าลำบากยากเย็นอะไร เพราะเรือนที่ตระกูลเจินจัดหาไว้ให้ก็ใหญ่โต ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีอาหารให้ทั้งสามมื้อ แรกที่ย้ายมาก็จัดหาบ่าวไว้ให้ แต่ถงหลานเฟยปฏิเสธไม่รับคนอื่นมาดูแลใกล้ชิด หากมีงานอะไรก็จะเรียกใช้ตามสมควร "คุณหนูทำไมถึงได้อยากจะขายข้าวของพวกนี้ละเจ้าคะ บางชิ้นหากขายไปแล้ว อาจจะหาไม่ได้อีกแล้วนะเจ้าคะ" หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนเสียดาย "ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว อยากจะหาเงินแยกออกไปซื้อที่ซื้อทางปลูกบ้านเป็นของตัวเอง แต่คิดว่าจะอาศัยที่นี่ไปก่อน ลงทุนทำธุรกิจให้รุ่งเรือง แล้วค่อยเอากำไรมาซื้อที่ปลูกบ้าน" ได้ยินความคิดนี้ชุนเหยียนก็หลั่งน้ำตาออกมา นางคิดโทษตัวเองที่ดันไปบอกเรื่องหนิงเซียงคนรักของแม่ทัพเจินกับผู้เป็นนาย จนอาจเก็บมาคิดมากถึงขั้นจะถอนหมั้น จะหนีออกจากการดูแลของคนตระกูลเจินเช่นนี้ "คุณหนูจะไปทำธุรกิจอะไรเจ้าคะ เศรษฐกิจยามนี้มิได้ดีนัก บ้านเมืองที่กำลังมีสงครามใครก็ไม่อยากลงทุนทำอะไร แม้ว่าแคว้นเราจะรบชนะแล้ว แต่ไฟสงครามที่เมืองชายแดนก็ยังมิได้ดับสิ้น แม่ทัพเจินยังต้องไปคอยสอดส่องดูแลอยู่เรื่อยๆ" "ข้าว่าจะทำร้านน้ำชา หรือไม่ก็ร้านอาหารเล็กๆ มีโต๊ะสักห้าหกโต๊ะ ถ้ากิจการไปได้ดีค่อยหาทางขยับขยาย" ถงหลานเฟยพูดไปตามความคิดที่อยู่ในหัวของเธอ หลังจากที่ได้ออกไปเดินสำรวจตลาด "คุณหนูเจ้าคะ แค่ท่านซื้ออาคารสักหลักก็ใช้เงินมากโขแล้ว ไหนจะค่าจ้างคนงานในร้าน ค่าวัตถุดิบอีก หากจะทำร้านอาหาร ท่านต้องมีทุนมากพอที่จะซื้อวัตถุดิบในแต่ละวัน นี่ยังไม่รวมค่าภาษีที่ต้องจ่ายให้พระคลังอีกนะเจ้าคะ" ถงหลานเฟยคิดตามสิ่งที่แม่นมชุนเหยียนกล่าว เท่าที่ฟังดูน่าจะใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว "ขายสมบัติทั้งหมดนี่ก็ไม่พอเหรอ วันนี้ข้าเจอสตรีผู้หนึ่ง นางบอกว่าแค่กำไลนี้อันเดียว ยังมีมูลค่าตั้งมากมาย ข้ามีกำไลแบบนี้ตั้งหลายอัน มันจะไม่พอลงทุนเชียวหรือ" หญิงสาวผู้เป็นนายว่าพลางชี้ที่กำไลข้อมือ แต่สิ่งที่สะดุดสายตาฝ้าฟางของชุนเหยียนกลับมิใช่กำไลทอง หากแต่เป็นแหวนหมั้นที่หายไปจากนิ้วของคุณหนูถง ทั้งที่เธอเป็นคนสวมให้ก่อนจะออกไปตลาดแท้ๆ "วะ...แหวนเหรอ ก่อนออกไป ข้าใส่แหวนไปด้วยเหรอ" คนทำผิดแกล้งเฉไฉ นางมิได้ลืมว่าตัวเองใส่แหวนไป หากแต่แกล้งทำเป็นลืม เพื่อปกปิดเรื่องที่เอาแหวนไปใช้หนี้แทนคนอื่นต่างหาก ซ้ำร้ายเจ้าตัวนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยว่าแหวนที่ให้เถ้าแก่เงินกู้ไปนั้น เป็นแหวนหมั้นของตระกูลเจิน "สวมสิเจ้าคะ ชุนเหยียนเป็นคนสวมให้ท่านเองกับมือ" "สงสัยจะโดนรูดทรัพย์ในตลาดแน่ๆ" หญิงสาวผู้เป็นนายกล่าวอย่างใจเย็น ผิดกับผู้เป็นบ่าวที่แทบจะเป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้น "ตายแน่เจ้าค่ะ หากแหวนนั่นหายไป ชุนเหยียนต้องสิ้นใจตายแน่เจ้าค่ะ" หญิงชราว่าพลางฟุบหน้าลงไปกับพื้น ถงหลานเฟยมองดูท่าทางของแม่เฒ่าชุนเหยียน แล้วก็สัมผัสได้ว่าแหวนนั่นต้องมีความสำคัญอะไรแน่ โดยที่ไม่ได้นึกเอะใจเลยสักนิดว่าตัวเองถอดมันออกมาจากนิ้วไหน "แหวนนั่นมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือชุนเหยียน ทำไมท่านถึงได้ทำท่าเหมือนว่าหากมันหายไป ข้าจะเดือดร้อนมากอย่างนั้นแหละ" "สำคัญมากสิเจ้าคะ ก็นั่นมันแหวนหมั้นที่แม่ทัพเจินมอบให้ท่าน ก่อนที่เราจะย้ายมาอยู่ในจวนแห่งนี้" ถึงจะอยากถอนหมั้นมากเพียงใด แต่ถงหลานเฟยก็ตระหนักได้ว่า การที่ตัวเองเอาแหวนหมั้นไปให้คนอื่นแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า ก็ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าแหวนที่เอาไปใช้หนี้แทนคนอื่น ดันเป็นแหวนหมั้นซะได้ ทั้งที่ในมือก็มีวงอื่นสวมอยู่ด้วย "แล้วแบบนี้จะมีผลกับการหมั้นของข้ากับแม่ทัพหรือเปล่า" "ก็อาจจะไม่กระทบหรอกเจ้าค่ะ แต่คนตระกูลเจินอาจจะขุ่นเคืองใจต่อคุณหนูเอาได้ เพราะท่านไม่รักษาของหมั้นที่ทางนั้นมอบให้ ลองหาดูก่อนดีไหมเจ้าคะ เพื่อว่าท่านทำหล่นในห้องนี้" ถงหลานเฟยไม่ได้ตอบรับอะไร และปล่อยให้ชุนเหยียนเดินหาแหวนวงนั้นเพียงคนเดียว เพราะเจ้าตัวคือคนที่รู้ดีที่สุดว่า แหวนหมั้นวงนั้นไม่ได้อยู่ในห้องนี้แน่นอน ถงหลานเฟยปล่อยให้ชุนเหยียนค้นหาแหวนหมั้นอยู่นาน จนเริ่มสังเกตได้ว่าหญิงชราคงเหนื่อยมากแล้ว จึงได้หาเรื่องชวนให้นางหยุดพัก "ชุนเหยียนเลิกหาเถอะ แหวนนั่นข้าคงจะถูกรูดทรัพย์ไปเสียแล้ว" ยิ่งคุณหนูถงย้ำว่าแหวนหมั้นนั่นถูกขโมยไปแล้ว ชุนเหยียนก็มีแต่จะเป็นลมไปอีกรอบ "มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอชุนเหยียน เป็นถึงแม่ทัพเอาของมาหมั้นแค่ชิ้นเดียวหรือไง" หญิงสาวไม่คิดว่าในยุคนี้ แหวนจะเป็นเครื่องหมายของการหมั้นอย่าเต็มตัว อย่างน้อยก็น่าจะมีทรัพย์สินอย่างอื่นมาร่วมด้วย หากเป็นอย่างนั้น การที่แหวนหายไปเพียงวงเดียว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ "ของหมั้นมีหลายอย่างเจ้าค่ะ แต่ในหีบนั้นมีแหวนแค่วงเดียว" ถงหลานเฟยนิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจำหน้าของเถ้าแก่เงินกู้คนนั้นได้ และก็จำได้ด้วยว่าร้านของเขาอยู่ตรงไหน หากพรุ่งนี้ย้อนกลับเอาเงินไปไถ่แหวนคืน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร "ถ้าเกิดว่ามีคนขโมยไป ก็คงจะเอาไปขายให้โรงจำนำ พรุ่งนี้เราไปตลาดกันอีกสักรอบ ไปหาดูตามโรงจำนำว่ามีคนเอามาขายหรือเปล่า แบบนี้ดีไหม" หญิงสาวเสนอขึ้น โดยหวังจะตัดปัญหา ฝ่ายชุนเหยียนนั้นก็ไม่มีหนทางอื่น เธอยังคงกังวลกับแหวนที่หายไปอย่างมาก เพราะเป็นของหมั้นที่ตระกูลเจินมอบให้กับคุณหนูของนาง แม้ว่าการหายไปของแหวนนั้นจะไม่ได้มีผลกับการหมั้น แต่นางก็กลัวว่าคนตระกูลเจิน โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ลี่หลัวจะตำหนิเอาได้ ที่ถงหลานเฟยไม่รักษาของ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD