เช้าวันรุ่งขึ้นถงหลานเฟยและแม่นมชุนเหยียนพากันออกจากเรือนแต่เช้า โดยมุ่งหน้าไปที่ตลาด ที่นี่มีโรงจำนำอยู่สองแห่ง ชุนเหยียนได้แต่ภาวนาว่าโจรที่ขโมยแหวนวงนั้นไปจะนำมาขายที่ไหนสักแห่งในสองแห่งนี้ โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว แหวนไม่ได้อยู่ที่โรงจำนำ หากแต่เป็นร้านปล่อยเงินกู้
ในทีแรกคุณหนูตัวแสบก็ทำทีเป็นเดินตามแม่นมชุนเหยียนไปติดๆ พอถึงทางแยกที่เจอสองแม่ลูกถูกเรียกเก็บเงินกู้ ก็ทำทีเป็นพลัดหลงจากชุนเหยียน แล้วแอบเดินไปทางร้านเงินกู้ที่เห็นเถ้าแก่คนเมื่อวานเดินกลับเข้าไป
ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัวในร้าน ทุกสายตาต่างจับจ้องมองมาที่ร่างระหงเป็นตาเดียว อาภรณ์เนื้อดีราคาแพงที่นางสวมใส่ กับเครื่องประดับบนกายที่บ่งบอกว่าเป็นสตรีชั้นสูง ทำให้ทุกคนต่างก็เกรงใจ โดยเฉพาะเถ้าแก่เจ้าของร้าน เขาเดินตรงเข้าไปหาถงหลานเฟยทันที และก็จำได้ว่าเธอคือเจ้าของแหวนทองเมื่อวานนี้
"นายหญิงเชิญท่านทางนี้เถิด" เถ้าแก่เงินกู้ว่าพลางผายมือเชิญสตรีผู้แต่งตัวดูมีฐานะให้เดินไปนั่งที่โต๊ะรับรองแขก เขารินน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วย ก่อนจะรินให้กับตัวเอง
"ท่านมาทำอะไรหรือ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเปล่า" เขาไม่คิดว่าถงหลานเฟยจะมีกู้เงิน เพราะดูแล้วนางคงไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนี้ และแอบกังวลว่า อีกฝ่ายจะมาทวงถามหาแหวนวงเมื่อวานคืน
"ข้าอยากไถ่แหวนที่ให้เถ้าแก่ไปเมื่อวานคืน ข้าเตรียมเงินมาแล้ว น่าจะมากพอที่จะทดแทนมูลค่าแหวนวงนั้นได้" เรื่องที่เขากังวลนั้น ดันเป็นจริงขึ้นมาเสียด้วย ชายผู้มีอายุพลันหน้าซีดเผือด เพราะเขาเพิ่งจะนำแหวนวงนั้นไปจ่ายดอกให้กับเจ้าหนี้เมื่อเช้านี้เอง
"นายหญิง เกรงว่าจะมิได้หรอก ข้าเพิ่งจะนำแหวนของท่านไปจ่ายดอกเบี้ยให้กับเถ้าแก่เงินกู้อีกราย เมื่อเช้านี้เอง ท่านมาช้าไปเสียก้าวหนึ่งแล้วล่ะ" เจ้าของแหวนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นางคิดว่าเรื่องมันจะง่าย แต่ดันวุ่นวายใหญ่โตไปเสียแล้ว
"ท่านเป็นถึงเถ้าแก่เงินกู้ ทำไมต้องไปกู้เงินคนอื่นอีกทอดด้วยเล่า"
"นายหญิง...เศรษฐกิจช่วงนี้ย่ำแย่ ลูกหนี้ของข้าไม่คืนทั้งต้นทั้งดอก บางรายขายสมบัติกินเสียจนหมด หลักค้ำประกันก็ไม่มีให้ยึด ข้าก็บริหารเงินไม่ทันเหมือนกันนะ" เถ้าแก่บอกตามความจริง ถงหลานเฟยเองก็เข้าใจสิ่งที่เขาพูดดี เพราะชุนเหยียนเคยพูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่งแล้ว
"แล้วข้าจะไปตามแหวนของข้าได้ที่ไหน" เถ้าแก่บอกที่ตั้งของร้านปล่อยเงินกู้อีกแห่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ถงหลานเฟยอยู่นัก ที่นี่ดูใหญ่โตกว่าอีกที่มาก การตกแต่งร้านดูภูมิฐานกว่า คนงานก็เยอะกว่าเป็นเท่าตัว
ไม่แปลกใจเลยที่เถ้าแก่ร้านปล่อยเงินกู้ร้านก่อน จะมากู้เงินที่นี่อีกทอด เพราะว่าร้านนี้ดูมีฐานะกว่ามาก แต่ก็หวังว่าจะพูดคุยตกลงเรื่องแหวนกันได้ง่ายๆ เพราะถงหลานเฟยเตรียมเงินมาจำนวนมากพอสมควร ไม่ใช่เพราะอยากได้แหวนคืนอะไรนักหนา แต่สงสารชุนเหยียนที่ดูจะเป็นทุกข์เป็นร้อนเหลือเกิน
"นายหญิง มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่เจ้าคะ" พนักงานต้อนรับเดินเข้ามาทักทายหญิงสาวที่ยืนเงอะงะอยู่กลางร้าน ถงหลานเฟยพยายามนึกชื่อของเจ้าของร้านนี้ เพราะเขาคือคนที่ได้แหวนวงนั้นไป
"ฉันมาหาเถ้าแก่ มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา"
"ถ้าไม่ได้นัดไว้ เกรงว่าจะไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องนัดก่อนแล้วเถ้าแก่จะเรียกให้มาพบอีกทีเจ้าค่ะ แต่หากต้องการจำนำสมบัติ ขายสมบัติ ที่ร้านมีเสมียนจัดการอยู่แล้วเจ้าค่ะ" ท่าทางแหวนวงนี้จะตามคืนยากเสียแล้ว ถ้าไม่ติดว่าชุนเหยียนอยากได้คืน นางจะไม่มีทางมาโผล่อยู่นี้เด็ดขาด
"ยุ่งยากชะมัด" หญิงสาวบ่นกับตัวเอง
"เว่ยหลี่ เชิญนายหญิงผู้นี้ขึ้นไปพบเถ้าแก่ด้านบนเถิด" บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับบอกแม่สาวพนักงาน ตามคำสั่งของนายตน ดวงตาคมลอบมองหญิงงามผู้มาเยือนจากบนชั้นที่สองของอาคาร ก่อนจะก้มมองดูแหวนในมือที่เพิ่งได้มาเมื่อเช้านี้ พลางแสยะยิ้มอย่างพอใจ
บนชั้นสองของอาคารไม้ ที่เปิดเป็นร้านปล่อยเงินกู้ เป็นห้องทำงานของหยางซ่งไห่ เถ้าแก่อายุน้อยที่มั่งคั่งที่สุดในตลาดเงินกู้ เขาใช้ห้องนี้เป็นทั้งห้องทำงาน และห้องสำหรับรับรองแขกพิเศษ แน่นอนว่าการถูกเชิญขึ้นมาพูดคุยบนห้องนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะถงหลานเฟย แต่ตัวดูดีมีฐานะ แขกพิเศษของหยางซ่งไห่ไม่ใช่เพียงแค่มีเงินแล้วจะเป็นได้
แต่เพราะเขารู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นเจ้าของแหวนวงที่เขาเพิ่งได้รับมาเมื่อเช้า และยังรู้อีกว่านางได้แหวนวงนี้มาได้อย่างไร
“เชิญนั่งเถิดนายหญิง” บุรุษผู้เป็นเจ้าของกิจการว่าพลางผายมือเชิญแขกของตน พร้อมกับส่งสัญญาณบอกคนงานให้ออกไป ถงหลานเฟยกวาดตามองดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ได้ดูน่ากลัว ทั้งยังดูหรูหราตามยุคสมัยนั้น แต่การเข้ามาอยู่กันสองต่อสองกับคนแปลกหน้า ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ปลอดภัยนัก
“ข้าขอไม่อ้อมค้อมเลยก็แล้วกัน เมื่อเช้าข้าไปที่ร้านปล่อยเงินกู้ของเถ้าแก่ผู้หนึ่ง เพื่อจะไถ่แหวนของข้าคืน” เพราะต้องรีบกลับไปหาชุนเหยียน ถงหลานเฟยจึงไม่อ้อมค้อมที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกมาตรงๆ
“พอดีว่าเมื่อวานนี้ข้านำแหวนวงนั้นชดใช้หนี้แทนสตรีผู้หนึ่งด้วยความสงสาร แต่เพิ่งจะนึกได้ว่าแหวนนั่นค่อนข้างสำคัญจึงได้เตรียมเงินมาไถ่คืน แต่เถ้าแก่ผู้นั้นบอกว่า ได้นำแหวนมาส่งดอกให้กับท่านเสียแล้ว ข้าจึง....”
“จะมาขอไถ่แหวนคืนจากข้างั้นสิ” คนฟังแทรกขึ้น หญิงงามในเครื่องแต่งกายหรูหราพยักหน้ารับ ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความ
“เกรงว่าเงินที่ท่านนำมาจะไม่พอน่ะสิ” เขาไม่ได้จะดูถูกว่าเจ้าของแหวนนั้นยากจนข้นแค้น แต่เพราะตอนนี้แหวนนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาไปเสียแล้ว หากใครอยากได้ ก็ต้องยอมจ่ายในราคาที่เขาเสนอ ซึ่งตอนนี้ก็ตีมูลค่าออกมาสูงแล้วเสียด้วย
“หมายความว่าอย่างไร?”
“แหวนวงนี้เป็นสมบัติประจำตระกูลเจิน ที่ตอนนี้คนในตระกูลเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ถือเป็นของหายากทั้งยังมีมูลค่าเสียด้วย หากนำไปปล่อยขายก็จะได้ราคาที่สูง อาจจะสูงกว่าเงินที่ท่านเตรียมมาก็เป็นได้” หญิงสาวทำมือแน่น พวกเถ้าแก่เงินกู้นี่หัวหมอเหมือนกันหมดทุกยุคเลยสินะ หากไม่ใช่เพราะชุนเหยียนจะลุกออกไปเสียเดี๋ยวนี้เลย
“ไหนท่านลองเสนอราคาที่ท่านอยากได้มาสิ เผื่อว่าข้าสู้ไหวก็จะได้ตกลงกัน แต่ถ้าไม่ข้าก็คงไม่เอาแล้วล่ะ” เพราะธุรกิจของที่บ้านต้องต่อรองราคาอยู่เป็นประจำ ทำให้ถงหลานเฟยคนใหม่ รู้จักการวางเชิงเพื่อต่อรองราคา หยางซ่งไห่หรี่ตามองดูสตรีตรงหน้า นางดูผิดไปจากที่เขาคาดการณ์ไว้พอสมควร ทีแรกคิดว่าจะยอมจ่ายง่ายๆ เพราะได้ยินข่าวมาว่านางฟื้นจากความตายแล้วเสียสติไป แต่เพราะข่าวที่ได้รับมานั้นถูกบิดเบือน ถงหลานเฟยไม่ได้เสียสติ นางเพียงแต่เสียความทรงจำเท่านั้น
“ให้ข้าเดา แหวนนี่คงเป็นสมบัติที่ตระกูลเจินนำไปหมั้นหมายกับท่าน จะปล่อยง่ายๆ แบบนี้ไม่กลัวจะผิดใจกันหรือ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะไม่เอาด้วย เถ้าแก่หัวหมอจึงได้ออกอุบายหว่านล้อม แต่ถงหลานเฟยได้เตรียมใจกับเรื่องนี้แล้ว เธอจึงแสยะยิ้มแล้วมองสบตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“สมบัติที่แม่ทัพเจินนำมาหมั้นหมายข้า มิได้มีเพียงแหวนวงนี้หรอก แต่ที่อยากได้คืนเพราะถอดแหวนผิดวงส่งให้เถ้าแก่คนเมื่อวาน มูลค่าของแหวนมันก็ต่างกันมาก เลยรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบจึงได้มาตามคืน เงินที่เตรียมมาก็เป็นเงินที่พอสมควรต่อมูลค่าของแหวน แต่หากตอนนี้ท่านตีค่ามันมากกว่านี้ไปเสียแล้ว ข้าก็คงต้องยอมปล่อยไป” ยิ่งเจรจาก็ยิ่งดูจะไม่ง่าย หยางซ่งไห่ประหลาดใจกับท่าทีของสตรีตรงหน้าอย่างมาก
เขาไม่คิดว่าลูกนายทหารที่เป็นที่เลื่องลือว่าลูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินจะมีทักษะการเจรจาต่อรองมากขนาดนี้
“ไม่คิดว่าลูกสาวนายกองอย่างท่าน จะมีความสามารถในการต่อรองเจรจาถึงเพียงนี้” คนถูกกล่าวชมเชยยิ้มรับ ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นได้ ‘ถ้าเราจะทำธุรกิจจริงๆ ขอกู้เงินจากที่นี่น่าจะมากพอเอาไปลงทุนได้’
“ดูแล้วท่านน่าจะทราบข่าวการจากไปของพ่อข้า ตอนนี้ตัวข้ามิได้เหลือความเป็นลูกขุนนางอีกแล้ว ก็เลยกำลังมองหาลู่ทางทำธุรกิจอยู่ การเจรจาต่อรองถือเป็นทักษะหนึ่งที่ต้องมีหากจะทำธุรกิจ ท่านเห็นด้วยหรือไม่” คนฟังพยักหน้ารับ แต่ติดใจในคำพูดของคนตรงหน้าอยู่นิดหน่อย เรื่องที่ว่าจะทำธุรกิจ ในแผ่นดินนี้ใครก็รู้ว่าแม่ทัพเจิน คู่หมั้นของนางนั้นมั่งคั่งขนาดไหน
แล้วเหตุใดถงหลานเฟยผู้นี้ ถึงต้องลำบากลำบนทำงานกันเล่า
“หากท่านถูกใจแหวานวงนี้ ข้าขอไถ่คืนมาในราคาที่เหมาะสม แล้วนำมาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจากท่าน อย่างนั้นดีหรือไม่” หญิงสาวเสนอขึ้น
“ข้าดูจะไม่ได้อะไรจากข้อเสนอนี้เลยนะ”
“ข้าต้องการกู้เงินในจำนวนที่มาก เพื่อนำมาลงทุนทำธุรกิจ ท่านเองน่าจะรู้ดีว่าเศรษฐกิจตอนนี้เป็นอย่างไร โอกาสที่ข้าจะทำแล้วได้กำไรไม่ใช่จะมาก นั่นก็เท่ากับว่าท่านมีโอกาสยึดแหวนวงนี้ไป แถมยังได้เงินที่ข้ากู้มาพร้อมกับดอกเบี้ยอีก แบบนี้จะบอกว่าท่านไม่ได้อะไรจากข้อเสนอนี้ถูกต้องแล้วหรือ?” ยิ่งได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกว่าถงหลานเฟยผู้นี้น่าสนใจ หยางซ่งไห่นั่งคิดไตร่ตรองข้อเสนอของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับข้อเสนอ
“เช่นนั้นก็กล่าวได้ว่า ท่านต้องจ่ายเงินไถ่ถอนแหวนวงนี้กลับไปก่อน จากนั้นจึงจะมาทำสัญญากู้เงินกับข้าโดยจำนำแหวนวงนี้มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน ถูกหรือไม่?” หญิงสาวพยักหน้ารับ
“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าหากท่านได้รับแหวนคืนไปแล้ว จะไม่ผิดคำพูดกับข้า”
“เชิญท่านเก็บแหวนเอาไว้ก่อน หลังทำสัญญากันเรียบร้อยแล้วท่านค่อยคืนแหวนให้ข้า เช่นนี้ท่านว่าอย่างไร” ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเถ้าแก่หยางลุกประกาย เขามั่นใจเหลือเกินว่าแม้ถงหลานเฟยจะช่างเจรจาต่อรอง แต่การทำธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ยิ่งเป็นสตรีชั้นสูงที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน โอกาสเจ๊งสูงมาก สัญญาที่นางเป็นคนเสนอขึ้นมาเองนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้ผลประโยชน์ทั้งหมด ก็อาจจะเป็นเขาอย่างที่นางได้ว่าจริงๆ