บทที่4 รับเลี้ยง
ถ้าเรื่องราวจบง่ายๆ นี่ก็คงเป็นนิยายที่มีแค่สองตอน แต่หนานชิงรู้ดีจากต้นฉบับที่เคยอ่าน ว่านิยายเรื่องนี้ยาว…นานกว่านั้นมาก และการปรากฎตัวของมู่ฮวาก็ยืนยันความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี
‘อ่า คิดถูกจริงๆ’
“ฉันไม่แต่ง!” มู่ฮวาปรากฎตัวขึ้นจากห้องนอนเล็กของเหมยลี่ คนเป็นน้องสาวเห็นอย่างนั้นก็ตกใจรีบเข้าไปกระซิบถาม
“พี่สาวมู่ฮวาเป็นอะไรไปคะ แม่ยอมรับแล้วทำไมบอกว่าไม่แต่งอีก”
มู่ฮวากัดฟันแน่น ความจริงที่คุณป้าพูดเธอก็ยินดี แต่เธอแต่งออกมาแบบนี้ไม่ได้
หลังจากนี้ก็คงโดนคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งบ้านสามี กล่าวหาว่าที่ตกน้ำเป็นแผนการร้ายเพื่อจับสามี ถึงจะรักกันยังไงถ้ามีเรื่องอะไรมากัดเซาะนานวันเข้าเมื่อความรักจางความเกลียดชังจากเรื่องในอดีตก็คงชัดเจนขึ้นมา เหมือนดั่งน้ำลดตอผุด
อีกทั้งยังมีน้องๆ ที่ต้องดูแลถึงสามคน มู่ฮวายังไม่พร้อมแต่งงานตอนนี้ เธอเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้วางรากฐานและทำอะไรเพื่อน้องๆ เลย จะให้แต่งงานเอาตัวรอดออกมาแค่คนเดียวได้ยังไง
“อามู่ มีอะไรก็ค่อยพูดกันเถอะ ตอนนี้…เข้าบ้านกันก่อน” หมิงเทียนเองก็กังวลว่าจะไม่ได้แต่งงานจนหน้าซีดเผือด เดินเข้าไปหาคนรักเพื่อหวังจะพากันเข้าไปคุยในบ้านดีดี
“หมิงเทียน ปล่อยมู่ฮวาเถอะ” หนานชิงมองทุกคนที่รอดูความสนุก ตอนนี้คงคุยกันในครอบครัวไม่ได้แล้ว ไม่งั้นชาวบ้านก็จะเข้าใจผิดแล้วเอาไปพูดจนเรื่องผิดเพี้ยนไปหมด กลายเป็นเรื่องสนุกในวงน้ำชาแน่ๆ
“มู่ฮวา ฉันขอถามได้มั้ย เพราะอะไรทำไมถึงปฏิเสธที่จะแต่งงานกับลูกชายของฉัน ทั้งๆ ที่พวกเธอก็เข้ากันได้ดี”
คำพูดของหนานชิงทำให้มู่ฮวาที่มาจากอนาคตชะงักไป รู้สึกเหมือนว่าที่แม่สามีดูจะต่างจากคำเล่าลือที่เคยได้ยินมา
ไหนว่าร้ายกาจ ไร้ความรู้ เป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ดิ้นรนมาด้วยตัวเอง หากไม่ใช่เพราะหน้าตาสวยเลยได้สามีดี โชคดีไม่มีครอบครัวสามีรังแก ก็คงเป็นแค่หญิงสาวปากร้ายที่ทะเลาะกับแม่สามีทุกวัน ทำบ้านไฟไหม้ทุกวันแน่นอน
แต่นี่ไม่เห็นเหมือนในข่าวลือสักนิด ยังมีการคิดก่อนพูดอย่างดี ใช้คำที่ป้องกันไม่ให้ทั้งลูกตัวเองและผู้หญิงเสียหาย แทนที่จะบอกว่า ‘เป็นคนรักหรือคบหากัน’ กลับพูดแค่ ‘เข้ากันได้ดี’
เมื่อคิดได้แบบนั้นมู่ฮวาก็ตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักครั้ง คุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว
“คุณป้า หนูสาบานด้วยศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษตระกูลอิง ที่หนูตกน้ำวันนี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เพราะทำงานเหนื่อยแล้วมาเห็นภาพบาดตา…เข้าใจผิดว่าถิงถิงและหมิงเทียน…ตามที่ได้ชี้แจงกันไปแล้ว แต่หนูแต่งงานออกมาแบบนี้ไม่ได้จริงๆ” ว่าแล้วก็เริ่มเล่นละคร บีบน้ำตาอย่างยากลำบาก ใครใช้ให้มู่ฮวาเป็นผู้หญิงแกร่งกันล่ะ!
“...” ชาวบ้านอึ้ง
“...” ตระกูลหวังอึ้ง
“...” หมิงเทียนอึ้ง
“เป็นอย่างนั้น” หนานชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อมองลูกสาวจากหางตาก็พบว่าทำท่าเดียวกันกับตัวเองเปี๊ยบ ได้แต่คิดว่าเหมยลี่คนนี้คล้ายตัวเองเกินไปแล้ว!
“เอ่อ และ…” มู่ฮวาไปไม่เป็นพักหนึ่งเพราะการตอบรับอย่างเข้าอกเข้าใจของคุณป้าตรงหน้า
“แล้วทำไมล่ะ?” หนานชิงเอ่ยถามย้ำ ทำให้ทุกคนกลับมาคืนสติ
“ตอนนี้บ้านสกุลอิงมีแค่หนูที่เป็นพี่สาวคนโต น้องชายคนรองก็เพิ่งสิบสอง ถึงจะลงทุ่งก็ได้คะแนนไม่เท่าไหร่ ไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงดูน้องๆ อีกสองคนแน่นอน! ดังนั้น คุณป้า…”
“พอๆๆ เข้าใจแล้ว” หนานชิงถอนหายใจ
“นังหนูมู่ฮวา คิดดูใหม่ก็ได้นะ คิดให้ดี เห็นเล่นกับหมิงเทียนมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ได้แต่งงานกันแล้ว จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตเชียวนะ”
“แต่งออกมาแล้วก็เป็นคนของตระกูลหยาง เรื่องตระกูลอิงก็ปล่อยให้น้องชายจัดการเถอะ” มีชาวบ้านหลายคนที่อยากจะเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี
“แต่งเข้าไปก็มีแต่จะลำบากกว่าเดิม แม่สามียังร้ายยิ่งกว่าเสือ จะเอาปันส่วนที่ไหนไปแบ่งน้องๆ ได้ ดีแล้วแหละที่ไม่คิดแต่ง”
“ตัวเองยังลำบากจะเอาเรื่องลำบากไปให้ตระกูลอื่นไม่ได้ คิดดีแล้วนังหนู” ยังมีหลายคนที่สนับสนุนการตัดสินใจของเธอ
หนานชิงเห็นว่าชาวบ้านเริ่มพูดคุยกันไปหลากหลายเสียง ถกเถียงราวกับเป็นเรื่องของตัวเองมากพอแล้วก็เอ่ยปากขึ้น
“เรื่องเด็กๆ ก็ไม่ต้องกังวล เมื่อหลายวันก่อนฉันได้รับจดหมายจากพี่น้องของเหล่าหยางพ่อหมิงเทียน ในเมืองมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ต้องรอปันส่วนอย่างเดียว บ้านหยางไม่ขาดแคลนเงินทอง เด็กสามสี่คนฉันเลี้ยงได้!”
คำพูดของหนานชิงทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ ว่ามันจะออกมาจากปากคนขี้เหนียวที่สุดในหมู่บ้าน แม้จะอยู่ดีกินดีแต่ก็ใจดำเกินกว่าจะช่วยคนอื่น หรือเพราะอะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี คนเลยเปลี่ยนไปด้วยงั้นหรือ?
“จริงเหรอหนานชิง เรื่องนี้จะพูดเล่นไม่ได้นะ”
“ฉันก็เหมือนจะได้ยินว่าเริ่มมีการเปิดอะไรเสรีๆ แล้วนะ” ชาวบ้านเริ่มฮือฮากันเรื่องอื่น ทำให้ทุกคนเบี่ยงความสนใจออกไป จนลืมข่าวใหญ่เรื่องที่หนานชิงจะรับเลี้ยงเด็กๆ ในสกุลอิงอีกสามคนไป
แต่ไม่ใช่กับ ‘ผิงชวนหลี’ เธอได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของ ‘หยางฮุยเค่อ’ สามีของหนานชิง หล่อนก็คือ ‘ป้าสะใภ้ใหญ่’ ที่เหมยลี่เคยพูดถึงนั้นเอง
และเมื่อได้ยินคำพูดที่หนานชิงบอกจะรับเลี้ยงลูกคนอื่น ในใจพลันเกิดประกายไฟปะทุขึ้นมา เพราะเป็นแม่หม้ายด้วยกัน แต่ความเป็นอยู่แตกต่างราวฟ้ากับเหว ทำให้เธอมักจะอิจฉาน้องสะใภ้อยู่ตลอด
คราวนี้ยังได้ยินว่าอีกฝ่ายจะช่วยเหลือเด็กนอกสายเลือด ทั้งๆ ที่ลูกๆ ของนางก็สกุลหยาง ครั้งก่อนมาขอความช่วยเหลือจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดกลับไม่คิดแล ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้น!
“ถึงกับกล้าเลี้ยงเด็กๆ ที่ไร้ประโยชน์ น้องสะใภ้หนานคงร่ำรวยจากการตายของสามีไม่น้อยทีเดียว!” ผิงชวนหลีพูดเช่นนี้ ชาวบ้านก็รีบหลบหลีกเปิดทางให้สองสะใภ้สกุลหยางได้มองเห็นกัน
หนานชิงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยวูบหนึ่งเพราะจำไม่ได้ แต่พอขุดความทรงจำดูก็พบว่าคุ้นๆ อยู่ ‘ป้าสะใภ้ใหญ่’ ที่ลูกสาวมักพูดถึงว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ
“ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้พี่สะใภ้ลำบากด้วยอยู่แล้ว จะเลี้ยงเด็กแซ่ว่าน แซ่อิง ก็คงไม่ต้องถามความเห็นพี่สะใภ้หรอกมั้ง”
“หนานชิง!” ป้าสะใภ้หน้าแดงหน้าดำราวกับตับเป็ด เรื่องนี้ทำให้นางเจ็บใจที่สุด เพราะเป็นหม้ายจึงต้องขายลูกให้กับคนแซ่ว่าน แต่สุดท้ายพวกเขากลับกินคนไม่เหลือซาก ลูกๆ ของเธอตาย คนแซ่ว่านกลับลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมไม่สามารถเอาผิดได้
“อีกอย่าง สามีฉันตาย สามีพี่สะใภ้ก็ตายเหมือนกัน ไม่เห็นพี่สะใภ้จะได้เงินจากการตาย แล้วคิดว่าฉันจะได้เงินจากการตายของสามีเหรอ แล้วถึงได้มาคิดว่าฉันจะกล้าใช้อย่างสบายใจรึเปล่า ก็ต้องเก็บไว้ให้ลูกๆ สกุลหยางอยู่แล้ว”
“หึ! แล้วเมื่อกี้ใครบอกจะรับเลี้ยงเด็กสามสี่คนของตระกูลอิงนะ! ใช่มั้ยพวกเรา หนานชิงคิดจะเอาเงินคนสกุลหยางไปเลี้ยงเด็กสกุลอิง แบบนี้ฉันที่เป็นสะใภ้ตระกูลหยางเหมือนกันจะยอมได้ซะที่ไหน”
“ใช่ๆ หนานชิง ฉันรู้ว่าเธอใจดี แต่นี่มันออกจะเกินไปหน่อย ทุกคนก็ลำบากด้วยกันทั้งนั้น” ชาวบ้านได้ยินอย่างนั้นก็เข้าข้างผิงชวนหลีทันที เพราะพวกเขายังเชื่อในเรื่องของสายเลือดและตระกูลเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ทุกคนอาจเข้าใจผิด แต่ฉันไม่ได้คิดที่จะใช้เงินตระกูลหยางเลี้ยงเด็กตระกูลอิงอะไรนั่น และถึงจะทำแบบนั้นแล้วจะทำไม! ฉันเลี้ยงลูกเพิ่มสามสี่คน ก็เท่ากับว่าในตอนแก่ไป ฉันก็จะมีลูกมาดูแลเพิ่มเป็นคนที่ห้า หก เจ็ด ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะทำหรือไม่ทำ!”
“หนานชิงคิดให้ดีเถอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตัวเธอก็เป็นแม่หม้ายมีลูกติดสามคนแล้ว ตอนนี้ถ้ารับเลี้ยงเด็กอีกเกรงว่าจะพากันไปลำบากซะเปล่าๆ” หัวหน้าหมู่บ้านเองก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย อีกทั้งเขายังเป็นคนสกุลหยางแม้จะเป็นญาติห่างๆ แต่ก็อดสงสารวิญญาณสามีที่ตายไปแล้วของหญิงสาวไม่ได้
“ทุกคนอาจเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่การถามความเห็น แต่เป็นการแจ้งให้ทราบ หลังจากนี้ฉันจะรับเลี้ยงเด็กๆ สกุลอิงทั้งสามคน ให้ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค และส่งพวกเขาเรียนจนจบ!”
เห็นหนานชิงดื้อด้านหัวหน้าหมู่บ้านก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ชาวบ้านเองก็รู้ถึงความร้ายกาจของหญิงสาวไม่กล้าเข้าไปยุ่งมากนัก
“คุณป้า…” มู่ฮวาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ หญิงสาวยังคิดว่าอาจจะประนีประนอมเป็นการเลื่อนงานแต่งงานออกไปอีก เพราะตอนนี้เปิดการค้าเสรีแล้ว เธอขอเวลาวางรากฐานไว้ให้น้องๆ สองปีก็น่าจะเพียงพอ
“ไม่เป็นไรมู่ฮวา หลังจากนี้เราคือครอบครัวเดียวกัน พวกเธอขาดญาติ ฉันขาดญาติ วันนี้ฉันจุนเจือพวกเธอ วันหน้าค่อยกตัญญูต่อฉันเป็นการตอบแทนก็ได้”
เห็นทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดผิงชวนหลีก็ตะโกนออกมาอย่างเหลืออด
“คิดว่าเด็กพวกนั้นจะกตัญญูต่อเธองั้นเหรอ ฝันไปเถอะ! ขนาดลูกในไส้ยังอกตัญญูได้ นับประสาอะไรกับคนนอก”
“พี่สะใภ้ ที่ฉันยังพูดกับพี่ก็เพราะให้เกียรติ แต่ถ้าพี่อยากให้ฉันไม่พูดกับพี่แล้วล่ะก็ เชิญพี่ประกาศร้องปาวๆ สิ่งไม่ดีในหัวออกมาให้หมดได้เลย ฉันและชาวบ้านจะนั่งชม” หนานชิงเอ่ยเย้า แต่ทำให้คนถูกพูดล้อเต้นเร่าๆ
“หนานชิง!”
“พี่สะใภ้ ฉันไม่เคยคิดเป็นศัตรู แต่พี่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันตลอด ฉันประกาศไว้ตรงนี้ว่าถ้าใครเห็นฉันได้ดีแล้วคิดอิจฉา ก็อิจฉาให้อกแตกตายไปเลย ฉันมีสามีที่ดีแม้ตายไปแล้วก็ยังได้กินเบี้ยความดีที่เขาทำไว้”
“ฉันมีลูกชายที่ดี เขาเจริญรอยตามพ่อ อายุยังน้อยก็ได้ตำแหน่งสูงจนไม่ต้องลำบากให้แม่ต้องลงไปทำงานในทุ่ง”
“นี่แสดงว่าฉันเลี้ยงเด็กแล้วเด็กๆ ล้วนเจริญรุ่งเรือง ต่อไปไม่ว่าสกุลอิงจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้ใครมาสนใจด้วย เพราะฉันจะรับผิดชอบเด็กๆ เอง!” ความกล้าหาญและโวหารน่าฟังของหนานชิง ทำให้ไม่มีใครคัดค้านอีกต่อไป พวกเขารับรู้แล้วว่าหลังจากนี้ เด็กๆ บ้านสกุลอิง จะอยู่ภายใต้ความดูแลของ ว่าที่แม่สามีใจร้ายที่ลูกสะใภ้ยุคใหม่อยากหลีกหนี
แต่ดูเหมือนตอนนี้จะกลายเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง เพราะถึงขนาดดูแลครอบครัวลูกสะใภ้ไปด้วยอย่างนี้ จะยังเรียกว่าแม่สามีผู้ชั่วร้ายได้ยังไง
“...” มู่ฮวาที่ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี ซาบซึ้ง? ทึ่ง? ไม่อยากจะเชื่อ!
“...” หมิงเทียนที่ตามไม่ทัน
“...” เหมยลี่ที่กำลังนั่งคิดว่าจะบอกแม่ยังไงดี… ‘บ้านเราข้าวหมดเกลี้ยงแล้วค่ะคุณแม่’
...talk...
แม่ปรึกษากับเหมยลี่ก๊อนนน ข้าวหมดบ้านแล้วขุ่นแม๊