ไป๋เฟยฉีหันกลับมาจ้องไปยังองค์ชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของจ้วงมามาพร้อมกับส่งสายตาพิฆาต ริมฝีปากเหยียดหยัน แววตาแข็งกร้าว อาฆาต
“เร่งจัดพิธีศพให้เหลียงกุ้ยเฟย แล้วอย่าให้ใครพูดถึงนางกับเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ให้ข้าได้ยินอีก” พูดจบโอรสสวรรค์ที่ไม่เคยรักผู้ใดมากไปกว่าบัลลังก์มังกรและชื่อเสียงเกียรติยศของตนก็เดินจากไป ไม่หันหลังกลับมามองร่างอรชรที่ทรงเคยโปรดปรานยิ่งนักอีกเลย
ไป๋เฟยหมิงเติบโตขึ้นมาด้วยพระเมตตาของฮองเฮา หลังจากที่สิ้นเหลียงกุ้ยเฟย พระนางก็ทรงรับไป๋เฟยหมิงเป็นพระโอรสบุญธรรม เหตุผลหนึ่งก็เพราะความสงสาร ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเป็นหน้าที่ เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อชื่อเสียงที่งดงามในฐานะพระมารดาของแผ่นดิน แต่กระนั้นไป๋เฟยหมิงก็ไม่เคยมีความสุข ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยปมด้อย คำเหยียดหยัน คำดูถูก คำสบประมาท เพราะมีรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ยิ่งอย่างที่แทบจะไม่เคยปรากฏในแผ่นดินไป๋กว๋อมาก่อน อีกทั้งผู้คนยังร่ำลือว่า ความอัปลักษณ์ของเขานั้นทำให้เหลียงกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาถึงกับหัวใจวายตายเมื่อเห็นหน้าเขาครั้งแรก สิ่งนี้เป็นปมและเป็นความอัปยศในใจของเขาเรื่อยมา
ไป๋เฟยหมิงค่อยๆยกมือที่แปดเปื้อนโลหิตที่แห้งกรังของตนลูบไล้ใบหน้า ใบหน้าที่ถูกผู้คนทั้งใต้หล้านี้เหยียดหยันว่าอัปลักษณ์ยิ่งนัก ความอัปลักษณ์นี้ทำให้ผู้คนต้องพากันเบือนหน้าหนี หากเป็นเด็กเล็กๆเห็นก็จะร้องไห้กระจองอแงและแสดงอาการหวาดผวาราวกับว่าเขาเป็นปีศาจร้าย อ๋องแปดผู้อาภัพจึงมักเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่สุงสิงกับผู้ใด และหากจำเป็นที่ต้องเสด็จออกจากตำหนักก็จะใช้ผ้าปิดหน้าเอาไว้ เขามักจะถูกพี่น้องร่วมพระบิดาที่เป็นองค์ชายด้วยกันพูดจาเหยียดหยันและหัวเราะเยาะเรื่องรูปลักษณ์ของเขา และมักจะถูกเหล่าบรรดาองค์หญิงทั้งหลายซุบซิบเรื่องของเขาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สนิทสนมกับพี่น้องคนใดเลย เขามักจะปลีกวิเวกและเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก นางกำนล ขันที และบ่าวรับใช้ในวังอ๋องก็ให้มีจำนวนน้อยที่สุด และที่สำคัญท่านอ๋องอัปลักษณ์ผู้นี้ได้สั่งให้รื้อกระจกทุกบานในตำหนักเอาไปทุบทิ้งให้หมด เขาไม่อยากเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้น เจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ที่ทำให้เขาต้องกำพร้ามารดาเสียตั้งแต่ยังแบเบาะ
วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงเรียกพระโอรสทั้งหลายทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วและทั้งที่ยังมีฐานะเป็นองค์ชายอยู่ให้ร่วมประชุมทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ตนนั้น
“วันนี้ช่างเป็นโอกาสที่ดีเสียจริงที่พวกเราเหล่าพี่น้องทั้งหลายได้มาพบหน้าพบตากัน จริงหรือไม่น้องรอง” ไป๋เฟยเทียน หรืออ๋องใหญ่ทำทีเป็นสนทนากับไป๋เฟยหย่าผู้มีฐานะเป็นท่านอ๋องสองพลางบุ้ยใบ้ให้อีกฝ่ายมองไปที่ไป๋เฟยหมิง
“เป็นเช่นนั้นพี่ใหญ่ พวกเรานานทีจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จริงหรือไม่น้องเก้า” ไป๋เฟยหย่าหันมาจ้องหน้าสบตากับไป๋เฟยหมิง และตั้งใจจ้องเขม็งไปที่ปากของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา จนไป๋เฟยหมิงต้องเบือนหน้าหลบด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ทั้งโกรธ ทั้งอับอาย ทั้งอดสูและน้อยเนื้อต่ำใจ
การที่ฮ่องเต้เรียกประชุมเหล่าองค์ชายทั้งหมดในวันนี้สาเหตุเพราะปัญหาทางชายแดนฝั่งตะวันตกซึ่งติดกับแคว้นเหนียง ตอนนี้แคว้นเหนียงซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็ผูกมิตรกันมาด้วยดี แต่บัดนี้ดูเหมือนจะเอาใจออกห่าง มีข้อกรณีพิพาทกันบ่อยครั้ง จนไป๋เฟยฉีเกรงว่าจะเกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าพระโอรสทั้งหลายมาประชุมเพื่อหารือแก้ปัญหา เผื่อจะมีใครที่คิดแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้
แคว้นเหนียงได้ชื่อว่าเป็นแคว้นใหญ่ที่มีทั้งอำนาจ กำลังทหารและความมั่งคั่ง ต่างจากแคว้นไป๋กว๋อที่เป็นเพียงแคว้นเล็กๆ กำลังทหารน้อยกว่า ทว่ากลับอุดมไปด้วยเหมืองแร่ และไป๋เฟยฉีย่อมรู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่แคว้นเหนียงจับจ้องมานานแล้ว
วันนี้การประชุมของเหล่าอ๋องและองค์ชายทั้งสามสิบคนของฮ่องเต้ไป๋เฟยฉีนั้นกลับไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ไม่มีผู้ใดที่เสนอวิธีแก้ปัญหาที่น่าจะเป็นทางออกได้ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามไป๋เฟยฉีจึงสั่งให้เลิกประชุมและให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารไว้ให้เหล่าโอรสของเขาได้เสวยร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ทุกคนต่างกินดื่มอย่างสำราญ ยกเว้นไป๋เฟยหมิงที่ขอแยกตัวกลับไปก่อน
ไป๋เฟยหมิงไม่อาจทนเห็นสายตาของเหล่าบรรดาพี่น้องที่จับจ้องเขาราวกับเขาเป็นตัวประหลาด อันที่จริงเขาก็ประหลาดจริงๆนั่นแหละ ท่านอ๋องหนุ่มรู้ว่าตนเองนั้นเป็นกาดำในฝูงหงส์ขาวที่สง่างาม บรรดาองค์ชายทั้งสามสิบคนนั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่อัปลักษณ์ ส่วนคนอื่นๆล้วนรูปงามและสง่าผ่าเผย ชายหนุ่มเอามือลูบริมฝีปากของเขาที่แหว่งขึ้นไปจนถึงรูจมูก เผยให้เห็นเหงือกสีชมพูและฟันสีขาวที่ปิดไม่มิด เวลากินอาหารเขาต้องนั่งอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มไม่อาจให้ผู้ใดเห็นความน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงเวลาที่เขากินอาหารแล้วมีเศษอาหารเล็กๆกระเด็นออกมาจากรูที่แหว่งและโหว่ได้ เขาไม่อาจทนกับสายตาที่รังเกียจและเย้ยหยันนั้นได้
“อ้าว! พี่เก้า นี่ท่านจะกลับแล้วหรือ ทำไมรีบกลับนักเล่า ไม่ดื่มกับบรรดาพี่ๆน้องๆก่อนรึ?” องค์ชายสิบสาม ไป๋เฟยหลง หรือองค์รัชทายาทเอ่ยทักท้วงเมื่อเห็นว่าไป๋เฟยหมิงกำลังจะลุกจากเก้าอี้ สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ปากที่แหว่งของพี่ชาย พลางส่งสายตาล้อเลียน
ไป๋เฟยหมิงเข้าใจเจตนาของบรรดาพี่ๆน้องๆดี คนพวกนี้ต้องการให้เขาอับอาย อันที่จริงก็ไม่มีใครต้องการให้เขาอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขานักหรอก ซึ่งก็รวมทั้งฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาด้วย
“กระหม่อมขอทูลลากลับก่อนพะย่ะค่ะเสด็จพ่อ พอดีเริ่มรู้สึกปวดหัว ตัวรุมๆ ขอกลับไปพักผ่อนก่อนพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาไม่ได้ทรงกล่าวสิ่งใด เขาทำแต่เพียงพยักหน้า พระองค์ปรายตามองพระโอรสอัปลักษณ์แวบหนึ่งก่อนจะเสหันไปทางอื่น
หลังจากทูลลาฮ่องเต้เสร็จไป๋เฟยหมิงก็รีบเดินไปที่รถม้าเพื่อเสด็จกลับตำหนักอ๋องที่อยู่นอกวังหลวง เขาต้องกำหมัดแน่นและกลั้นหายใจหลายครั้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ล้อเลียน จากบรรดาพี่น้องทั้งหลายเมื่อเขาเดินห่างออกมา