“แอล!”
เสียงเรียกชื่อดังแว่วมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียก แต่กลับมุดตัวซุกกับผ้านวมผืนใหญ่เพื่อไม่ฟังเสียงที่ดังตะโกน
“แอล ตื่นได้แล้วแปดโมงกว่าแล้วนะ!”
ฉันถึงกับต้องลุกขึ้นนั่งมองไปยังประตูห้องที่ถูกเคาะอยู่หลายทีก็เงียบไป ยกมือยีศีรษะของตัวเองไปมาพลางลุกขึ้นจากเตียงและตรงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเรียน
“กว่าจะเสด็จมาได้” ยกมือปิดปากที่หาวออกมาก่อนจะมองค้อนร่างสูงที่กำลังจัดเตรียมอาหารเช้าแสนอร่อยไว้ให้ พลันทุบมือลงที่ท่อนแขนแกร่งอย่างแรงจนคนตัวสูงสะดุ้งตกใจ “เจ็บนะ!”
“พี่เอ็มตะโกนแหกปากลั่นบ้านทำไมอะ?”
“ไม่ตะโกนแกจะตื่นไหมล่ะ” พี่เอ็มพี่ชายของฉันที่อายุห่างกันเกือบเจ็ดปี เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของฉัน ซึ่งตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสามคณะอักษรศาสตร์ ตอนนี้อายุยี่สิบสองปีพอดิบพอดี
“เมื่อคืนแอลกลับบ้านดึกนะ”
“แล้วใครใช้ให้แกไปทำงาน” พอพูดถึงเรื่องนี้พี่เอ็มก็เท้าเอวมองฉันที่ตักข้าวต้มหมูเข้าปาก ไม่สบตากับคนตัวสูงที่บอกฉันเสมอว่าไม่อยากให้ไปทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระ
“ก็ที่นั่นได้เงินดี”
“ดีแค่ไหนแต่พี่ก็ไม่โอเค”
แม้พี่เอ็มจะบ่นเรื่องที่ฉันไปทำงานที่บาร์กึ่งเปิด แต่ก็ไม่สามารถทำให้ฉันหยุดทำงานที่นั่นได้เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก แค่ได้เงินดีและมันก็ดีมากๆ ด้วย บางวันฉันได้ทิปเป็นเงินเกือบ 2-3 พัน ที่ฉันต้องทำงานก็เพราะใครกันล่ะ เพื่อให้เราสองคนพี่น้องได้หนุนและเกื้อกูลกันต่างหาก ฉันแค่คิดว่าไม่อยากเห็นพี่เอ็มต้องหาเงินเพียงคนเดียวฉันเองก็โตพอที่จะหาเงินได้เช่นกัน พี่เอ็มดูแลฉันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็ยังดูแลเป็นทั้งพ่อ พี่และเพื่อนในเวลาเดียวกัน ฉันมีพี่เอ็มเป็นญาติเพียงคนเดียวเพราะฉะนั้นต่อให้งานมันจะหนักแค่ไหนฉันก็จะทำ
“มองอะไร?” พี่เอ็มถามฉันที่อมยิ้มก่อนจะก้มหน้ากินอาหารเช้า “บ้าหรือไง”
“ยิ้มแค่นี้ก็หาว่าบ้าแล้วเหรอพี่เอ็ม”
“ก็ถ้าแกยิ้มอย่างเดียวไม่ว่า แต่มองพี่แล้วยิ้มมัน... น่ากลัวว่ะ” ทำหน้าบูดใส่คนตรงข้ามที่เปิดโน้ตบุ๊คดูอะไรสักอย่าง ให้เดาก็คงจะเป็นการตรวจทานต้นฉบับของตัวเอง ไม่ก็ของคนอื่นที่บก.มอบหมายหน้าที่ให้พี่เอ็ม
“ไม่ได้ค้างที่สำนักพิมพ์อ่อ”
“มะรืนถึงไป เอาจริงพี่ไม่อยากทิ้งแกให้อยู่บ้านคนเดียว” ความเป็นห่วงเป็นใยของพี่เอ็มทำให้ฉันลุกขึ้นไปกอดลำคอแกร่งจนเขาหันมามองฉัน จึงจิ้มนิ้วลงบนแว่นตาจนหน้าหงาย “อะไรของแกวะแอล”
“รักพี่เอ็มนะ” ไม่ว่าเปล่าฉันก็จูบลงบนแก้มสาก ก่อนจะผละกอดออกมามองพี่เอ็มที่ส่ายหน้าและเอามือลูบแก้มตัวเอง “ทำยังกับว่าแอลไม่เคยจุ๊บแก้มพี่เอ็มอะ”
“ไปเรียนได้แล้วไป” โบกมือไล่ฉันจึงยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกจากครัวไปสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวเข้ากับกระโปรงพีชยาวเลยเข่ามานิดหน่อย
“กับไอ้ราม... เมื่อไหร่จะถอยห่างจากมัน” ชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู คำพูดของพี่เอ็มทำให้ฉันฉุกคิดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่เอ็มบอกให้ฉันเลิกกับราม แต่มันหลายครั้งและฉันก็ไม่มีคำตอบให้กับพี่ชาย “พี่ไม่อยากเห็นแกเจ็บ”
“แอลรู้ แอลรักราม”
“แล้วมันรักแกบ้างหรือเปล่า?” กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันไปสบตากับพี่เอ็มที่ยินพิงขอบประตูครัว ส่วนมือก็ถือแก้วกาแฟยกขึ้นจิบเพื่อรอฟังคำตอบของฉัน
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ตอนนี้แอลกับรามเราเป็นแฟนกันแล้ว”
“เออ” กระแทกเสียงพลางชี้หน้าฉันพร้อมถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือขวา “พี่เตือนแกเสมอนะแอล”
“...”
“พี่มีแกเป็นน้องสาวคนเดียว และพี่ก็ไม่อยากเห็นแกเจ็บ”
ฉันไม่ฟังคำสั่งสอนของพี่เอ็มในเรื่องของราม โดยไม่ให้เหตุผลแค่บอกว่าไม่ชอบหน้าเนือยๆ ของราม แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะถอยหลังจากเขาเลยแม้ว่าพี่เอ็มจะย้ำเตือนฉันอยู่เสมอ
มาถึงคอนโดของเขาในเวลาต่อมา เป็นทุกครั้งที่ฉันจะต้องมาปลุกเขาเพื่อให้ไปเรียนมหาลัยและมันก็เป็นความเคยชินตลอดระยะห้าเดือนที่คบหากัน ฉันมีคีย์การ์ดห้องของรามเมื่อเปิดประตูเข้าก็เห็นรองเท้าผ้าใบที่ถอดไว้ไม่เป็นระเบียบจึงหยิบขึ้นไปไว้ในตู้เก็บรองเท้าที่มีเกือบยี่สิบคู่ ซ้ายมือเป็นห้องของเขาปกติฉันไม่เคยเคาะประตูห้องรามอยู่แล้วจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นร่างสูงนอนอยู่บนเตียงที่ติดกับหน้าต่างที่ถูกปิดอยู่
ฉันปิดประตูลงและมองไปยังประตูฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องอีกห้องที่รามไม่ค่อยได้ไปนอนสักเท่าไหร่ ฉันเดินตัดผ่านห้องโถงใหญ่ที่ติดกับระเบียงกระจกยังถูกผ้าม่านสีม่วงเข้มปิดอยู่ไม่รับแสงแดด พอมาถึงประตูหน้าห้องนี้ฉันก็เปิดไปก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักมากมายนอนคว่ำอยู่ รอยยิ้มผุดขึ้นก่อนจะเดินไปดึงผ้าห่มสีน้ำเงินออกจึงได้เห็นว่ารามเปลือยเปล่าอยู่ จะไม่สนใจมากนะถ้าหากมันคือนิสัยของเขาแต่สิ่งที่อยู่ข้างกายของเขาต่างหากที่ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูกจึงได้หยิบมันขึ้นมาดูด้วยท่าทางรังเกียจ
“ราม!” ตะโกนเรียกคนตัวโตที่ยังคงนอนอยู่ไม่รู้สึกตัว สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นซองสีเงินคุ้นตาตกอยู่ข้างเตียงประมาณสองซองได้ กลืนน้ำลายลงคอเขย่าร่างของเขาซึ่งค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงยกมือเสยผมที่ยาวปะบ่าของตัวเองขึ้นไป
“อะไร” น้ำเสียงแหบพร่าถามเอ่ยด้วยความหงุดหงิด
“ราม นี่มันอะไร ตอบมาดิ!” ฉันชูชั้นในสีแดงสดบวกกับมองสบตากับคนร่างสูงที่นั่งเปลือยอยู่บนเตียง สีหน้าเบื่อหน่ายของเขาทำให้ฉันกัดฟันแน่นด้วยความโกรธต่อจากนี้
“น่ารำคาญ”
“ฉันเป็นแฟนนายนะ ทำไมถึงทำแบบนี้อะ”
“เงียบ” ยกมือเสยผมตัวเองขึ้นก่อนจะมองฉันด้วยสีไม่สบอารมณ์ “แค่แฟนไม่ใช่แม่... อย่าพูดเยอะ”
คำตอบของรามทำให้ฉันอึ้งไปพักหนึ่ง เขาก็ไม่สนใจทิ้งตัวลงนอนต่อมือที่ถือชั้นในสีแดงอยู่กำเข้าหากันและฟาดมันลงถังขยะที่มีถุงยางอนามัยใช้แล้วสองอันและใช่... มันมีน้ำเชื้อของเขาอยู่ด้วย
ฉันโกรธและโมโหอยากจะตบ อยากจะกระทืบเขา แต่สิ่งที่ทำได้คือการเดินจากมาโดยที่เหมือนกับคนไร้วิญญาณ
รู้แล้วใช่ไหม... เหตุผลที่พี่เอ็มอยากให้ฉันถอยห่างจากรามก็เพราะแบบนี้