ดังนั้นเมื่อสวีฉีเฟิ่งเห็นว่าได้เวลาสมควรแล้วเขาจึงขอตัวจากแขกที่คุ้นเคย เตรียมตัวไปหาเจ้าสาวในห้องหอจึงพบว่าเจ้าสาวคนงามของตนเองนอนหลับสนิทหมดสภาพไปเสียแล้ว
“นายท่าน/นายท่าน”
ติงฮ่าวและฟางปี้เหลียนเห็นผู้เป็น’ เจ้าบ่าว’ ถูกเพื่อนฝูงโดยแกนนำคือคุณชายตู้พากันมาส่งจนถึงหน้าประตูเรือนหอ ทว่าเจ้าสาวกลับยังนอนหลับได้ไม่ไหวติงเสียแล้วพวกเขาจึงทำได้เพียงโค้งกายให้แก่’ นายท่าน’ จนศีรษะแทบโขกพื้นเท่านั้นไม่มีใครกล้าไปปลุก’ เจ้าสาว’ ที่หลับประหนึ่ง’ ซ้อมตาย’ เลยสักคน
“ติงฮ่าวไปเตรียมน้ำ เจ้าปี้เหลียนสินะไปจัดเตรียมอาภรณ์ให้ข้า”
ทว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นมิได้เดือดร้อนในเมื่อนางอยากจะหลับก็ให้หลับไปเขาไม่รีบร้อนอยู่แล้ว กายกำยำปลดอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเนิบนาบโดยมีติงฮ่าวคอยช่วยเหลือผ่านไปครู่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่เพียงเท่านั้นไม่มีอาภรณ์ใดอยู่ภายในอีกเลย
“พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ติงฮ่าวเจ้าพาปี้เหลียนไปส่งที่ห้องพักของนางด้วยพรุ่งนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเร่งเข้ามาที่เรือนนี้อีก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
สองคนสนิทจัดการงานให้หน้าที่เสร็จแล้วรับคำสั่งจากนั้นก็เร่งจากไปไม่อยู่ขัดขวางคู่บ่าวสาวในราตรีเข้าหออีกต่อไป ซึ่งพอสวีฉีเฟิ่งเห็นประตูปิดสนิทเรียบร้อย ก็หันไปมองที่คนตัวเล็กนอนขดตัวกลมคล้ายนางอายอยู่บนเบาะนุ่มหน้าเตียงกว้าง
ที่เพียงเขาหันไปมองบนเตียงนอนของตนเองในอดีตแค่คนเดียว หากแต่นับจากคืนนี้จะมีเจ้าของร่วมก็คือ’ ตัวนิ่ม’ ที่นอนม้วนตัวอยู่ด้านล่างก็ชักจะเข้าใจว่าเหตุใด’ หนานเฉิงกั๋วกงฟูเหริน’ ของตนจึงลงมานอนบนกองเบาะนุ่มแทนเช่นนี้ คนตัวโตทรุดลงไปนั่งเบียดกับคนที่ยังคงหลับได้หลับดี หลับสนิทจนได้ยินเสียงหายใจดัง’ ฟี้’ แผ่วๆ แผ่วเบาออกมาจากริมปีฝากจิ้มลิ้มคู่นั้น
สวีฉีเฟิ่งจึงส่งนิ้วชี้เรียวยาวยื่นออกไปลูบไล้เรียวปากอวบอิ่มนั้นด้วยกิริยาเผลอไผลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับจากเริ่มเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ รู้จักรสรักรสสวาทจนป่านนี้เขาเข้าวัยยี่สิบหกหนาว แล้วกลับไม่เคยพบสตรีใดที่นอนหลับไม่รักษากิริยากลับน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้มาก่อนเลยสักนาง
“อือ...จุ๊บจั๊บ...”
พอเรียวปากถูกปลายนิ้วเรียวยาวก่อกวนจางเยว่เซียงกลับขยับริมฝีปากอ้าแล้วดูดปลายนิ้วชี้ของสวีฉีเฟิ่งดังกำลังดูดน้ำตาลปั้นก็มิปานริมฝีปากนุ่มลิ้นร้อนกำลังลูบไล้ดูดกลืนปลายเรียวยาวอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ปรานีเจ้าบ่าวเลยสักน้อย
“ฟูเหริน...ฟูเหรินตื่นเถิด...อา...ซี้ด...ตื่นมารับผิดชอบสามีด้วยฟูเหริน”
นางดูดกลืนไปเพียงปลายนิ้วหนึ่งข้อ ทว่าส่วนกลางร่างของบุรุษกับเสียววูบวาบจากท้องน้อยไปถึงส่วนปลายแข็งขึงจนรับรู้ได้ถึงความชุ่มฉ่ำที่ส่วนปลายบานหยักซึ่งกำลังดันเสื้อคลุมเพื่อจะออกมาทักทายสาวงามจอมขี้เซาตรงหน้า
ส่วนทางด้านคนหลับลึกนั้นนางไม่ทราบได้ว่าตนเองนั้นเผลอหลับไปนานเท่าใดกว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งจางเยว่เซียงนั้นก็คล้ายกับว่าตนเองกำลังจะหายใจไม่ออกทบทวนจนแน่ใจอาการเหล่านี้ในสมัยที่ยังเป็น’ ตะวันฉาย’ นั้นเรียกว่า’ ผีอำ’ แน่ไม่ผิดไป พอยิ่งนางคิดขยับแขนขาก็ไม่สำเร็จจึงยิ่งแน่ใจ
...ผีอำแน่แล้ว...
แต่ผีตนนี้มือช่างซุกซนลามกอย่างยิ่งเพราะขึ้นมาทับนางจนแทบขาดใจตายไม่พอมันยังถึงกับเริ่มลูบไล้ไปตามเรือนกายของนางแล้ว คนคิดว่าตนเองถูกผียุคโบราณ’ อำ’ ไม่พอนางยังกำลังถูก’ ผี’ ลวนลามเข้าให้แล้วดิ้นรนอึกอัก พอสติเริ่มมาอีกหน่อยจึงนึกได้ว่าหากถูกผีอำนางก็ต้องสวดมนต์ไล่’ ผี’ สิผีถึงจะไปแต่แล้วนางก็ดันติดปัญหาใหญ่
...เกิดมาไม่เคยสวดมนต์แล้วจะท่องมนตราบทไหนไล่พ่อผีลามกจึงจะไปกันเล่า...
“ท่านผีที่เคารพอย่ามาอำกันเลยอยากกินอะไรเดี๋ยวคนสวยจะเปย์ไปให้นะ”
คนด้านบนที่กำลังจับจูบลูบคลำถึงกับต้องยกศีรษะขึ้นมองผู้เป็นภรรยากันอย่างถูกต้องทุกทางยกเว้นเข้าหอเท่านั้นเมื่อได้ฟังถ้อยคำแปลกประหลาดเกิดมายี่สิบหกหนาวจะเต็มยี่สิบเจ็ดหนาวในอีกไม่กี่วันนี้ด้วยความสงสัยเกินบรรยายว่านางกำลังพูดกับเขาหรือนางละเมออยู่ในความฝันกันแน่
ส่วนจางเยว่เซียงที่หนักจนกระดูกจะแหลกเพราะบังเอิญสวีฉีเฟิ่งเขามัวแต่สงสัยที่ภรรยาคนงามนางพึมพำคำประหลาดออกมาเลยทิ้งน้ำหนักลงมามากกว่าปกติ ด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกันอย่างมากคนด้านล่างจึงรู้สึกจะขาดใจตาย เลยคิดว่าพูดไปผีลามกอาจไม่เข้าใจ
“ได้!...คุยกันดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม?!”
คนตัวเล็กใต้ร่างคำรามประหนึ่งแมวโกรธเป็นภาษาที่สวีฉีเฟิ่งฟังแล้วหัวคิ้วแทบจะผูกรวมกันเพราะไม่เข้าใจที่คนกำลังหลับลึกนางละเมอไปโดยสิ้นเชิงเรียวปากอวบอิ่มขยับอีกครั้งเป็นภาษาที่ฟังเช่นไรก็ฟังไม่เข้าใจดังขึ้นอีกครั้ง
“นะโมรีบไป...สังโฆก็จงรีบไป...พุธโธอีกครั้งหากไอ้คุณผียังไม่รีบไสหัวไปแม่จะถีบแล้วนะโว้ย!”
คนไม่เคยสวดมนต์แม้แต่อยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าแม่หอนำสวดมนต์ก่อนนอนนางยังเพียงแกล้งขยับปากเอาเท่านั้นท่องบ่นเท่าที่สมองน้อยนิดของตนเองจะนึกออกแต่คิดไปคิดมาหากนางถูกผีอำทำไมจึงท่องบทสวดมนต์ได้กันเล่า?
ดวงตาทรงเมล็ดผลซิ่งจึงค่อยๆ เผยอเปิดขึ้นทีละข้าง ซึ่งมันก็เปิดขึ้นได้ไม่เป็นเช่นในอดีตที่ตนเองเคยฝันร้ายว่าถูกผีอำเลยสักนิด แล้วภาพของใบหน้าหล่อเหลากับดวงตาทรงดอกท้อหวานเยิ้มราวกับไปเสพก***ามาสักพันไร่ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าจนแจ่มชัดเจนในที่สุด
“น้องเซียงละเมอสิ่งใดกันใยภาษานี้พี่เฟิ่งฟังไม่ออกสักประโยคเดียวกันเล่า? ...”
...โธ่...นางช้อยก็คิดว่าถูกผีอำต้อนรับน้องใหม่ที่ไหนได้...ผัวอำนี่เอง...
จางเยว่เซียงนั้นเรียวปากยิ้มเรี่ยราด ทว่าในใจก็บ่นไปพลางตำหนิตนเองไปพลางที่ดันมาเผลอหลับจนเกือบถูก’ ผัว’ อำลักหลับอดตื่นเต้นกับราตรีเข้าหอเสียแล้วหากหลับจนพลาดการใหญ่ไปนางคงจะเสียใจไปจนตายอีกรอบเป็นแน่
“ก็น้องเซียงละเมอนี่เจ้าค่ะจะเป็นประโยคเป็นรูปคำฟังออกได้อย่างไรกันเล่า”
หากเขาฟังออกนางนี่แหละจะขายหน้าไปอีกห้าร้อยชาติ แต่ก็นะ...ในอดีตตะวันฉายไม่ใช่สายขาวเป็นพวกนางร้ายสายสีเทาเช่นนางร้ายเงินล้านนั้นถึงจะทำบุญบ้างทำทานก็บ่อย ทว่าให้นางไปร้องเพลงในบาร์เหล้าหรือในผับยังจะเป็นไปได้กล่าวให้นางไปเข้าวัดสวดมนต์ข้ามวันข้ามปีเช่นนางเอกไหว้สวยคงจะยากยิ่งกว่ายากดังนั้นที่สวดมนต์ไล่ผีเอ๊ย...ผัวไปเมื่อครู่ยาวถึงเพียงนั้นก็นับว่าสวีฉีเฟิ่งผู้นี้มีแต้มบุญสูงเทียมฟ้าแล้ว...
“นั่นสินะ ก็เจ้าเพียงละเมอไปเท่านั้น”
กล่าวจบเขาก็ขยับลุกขึ้นนั่งแล้วฉุดดึงรั้งกายอรชรที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งทรมานจิตใจบุรุษผู้เป็นเจ้าบ่าวเช่นเขาอย่างยิ่งให้ลุกขึ้นมานั่งตามซึ่งเพียงนางนั่งไม่ระวังชุดที่สวมแล้วคาดว่าคืนนี้นางอาจไม่ได้นอน แหวกอวดโฉมขาเรียวยาวขาวผ่องสวีฉีเฟิ่งก็ถึงกับสำลักน้ำลายไอโขลกเลยทีเดียว
“พี่เฟิ่งน้ำเจ้าค่ะ”
คนไม่รู้ความกลับคิดว่าอีกฝ่ายคอแห้งจึงขยับไปเทน้ำใส่ถ้วยมาให้บุรุษที่ไอจนหน้าแดงหูแดง...แดงลงไปถึงลำคอได้ดื่ม แต่เพราะความไม่ระวังอีกจางเยว่เซียงนางขยับเอื้อมแรงไปรอยแหวกที่ด้านล่างเลยเปิดกว้างแต่ก็กว้างไม่พอให้ สวีฉีเฟิ่งมองเห็นไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งการมองจะเห็นก็ไม่ใช่จะไม่เห็นก็ไม่เชิงนี้กลับมีผลต่อร่างกายของบุรุษวัยฉกรรจ์มากกว่าเปิดเผยโฉ่งฉางดังนางคณิกาในหอโคมเขียวที่เขาดูแลเสียอีก
“น้ำเจ้าค่ะพี่เฟิ่ง...พี่เฟิ่ง!”
ต้องเรียกซ้ำย้ำด้วยเสียงที่ดังไม่ธรรมดาสวีฉีเฟิ่งจึงได้สติกลับมาสายตาที่มองต่ำจึงขยับขึ้นสูงไปอีกหน่อยซึ่ง...มันช่างร้ายกาจไม่แตกต่าง เพราะชุดนอนที่พ่อบ้านซูนั้นหามาส่งให้หนานเฉิงกั๋งกงฟูเหรินของเขาสวมช่างเล็กจิ๋วจนสองเต้างามขาวผ่องต้องเบียดกันอยู่ภายใต้เนื้อผ้าคับแน่นสีแดงเลือดนกขับเน้นให้ความอวบอัดและขาวผ่องนั้นช่างน่าสงสารจนเขาอยากตรงเข้าไปช่วยฉีกกระชากเจ้าเสื้อสวมนอนสมควรตายชิ้นนั้นให้แหลกยับคากำมือเสียนัก!
“พี่เฟิ่งร้อนหรือเจ้าค่ะ?”
เห็นคนตรงหน้านั้นดื่มน้ำไปก็หน้าแดงไปจางเยว่เซียงจึงคิดไปว่าอากาศภายในห้องหอที่มีแต่สีแดงอาจทำให้อีกฝ่ายร้อนก็เป็นไปได้ นางชะโงกเข้าไปจนใกล้หวังจะดูให้ชัดเจนว่าที่แท้สวีฉีเฟิ่งนั้นร้อนจริงใช่หรือไม่ ซึ่งการชะโงกเข้าไปหาบุรุษที่เขาร่างกายสูงกว่า คนที่อยู่มุมสูงจึงยิ่งมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างได้แจ่มชัด จนเขาต้องสูดลมหายใจเข้าไปเก็บในท้องเสียงดังฟืดฟาด เหงื่อกาฬที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเริ่มเกาะแพรวพราวนั่นจึงยิ่งตอกย่ำว่า สวีฉีเฟิ่งเขาต้องร้อนมากจริงๆ
“เช่นนั้นประเดี๋ยวน้องเซียงไปเปิดหน้าต่างบานนั้นให้ลมพัดเข้ามาคงดีแน่”
กล่าวแล้วกายอรชรที่สวมเพียงอาภรณ์บางเบาสีแดงหนึ่งชิ้นนางก็เร่งลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างไม่ได้ฟังคำทักท้วงของคนที่นั่งบื้อใบ้กินไปชั่วครู่เพราะถูกเจ้าสาวมือใหม่นางยั่วยวนเขาโดยที่นางเองก็คงไม่ทราบและไม่ตั้งใจเป็นแน่ ซึ่งมันจะไม่ย่ำแย่ลงกว่าเดิมไปอีกหลายส่วนหากว่าในห้องหอนี้ไม่มีแสงเทียนสว่างไสวพอจางเยว่เซียงนั้นเดินกลับมาแสงเงาวับแวมสะท้อนให้เห็นไปถึงรูปร่างภายใต้อาภรณ์ที่นางสวม
จนแลเห็นรางเลือนแต่ยิ่งรางเลือนมันกลับยิ่งยั่วยวนจนสวีฉีเฟิ่งถึงกับต้องนั่งตัวตรงเพราะ’ บางส่วน’ ของบุรุษมันดันไม่รักษาหน้าผู้เป็นเจ้าของไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด’ ตื่นเตลิด’ ลุกขึ้นมาอวดโฉมตั้งตรงเป็นลำยิ่งใหญ่ชวนขายหน้ายากจะบรรยายว่าวายร้ายเช่นเขาต้องมาเสียกิริยาเพราะสตรีเอวองอรชรราวกับมดไปเสียได้
“พี่เฟิ่งอยากได้ผ้ามาเช็ดหน้าสักหน่อยหรือไม่เจ้าค่ะ”
คนหวังดีก็ยังหวังดีไม่เลิก ในยามนี้สวีฉีเฟิ่งไม่รู้จะสงสารตนเองเช่นไรแล้ว ยิ่งสตรีตรงหน้านางมีใบหน้าใสซื่อเขาก็ยิ่งละอายที่ตนเองเอาแต่คิดไม่ซื่อกับนาง ภายในหัวของเขาบัดนี้มีสารพัดวิธีร่วมรักกับนางไปหมดแต่ดูนางเสียก่อน...
...ใสซื่อราวซือไท่!...
“นรกมันเถิด!!!”
เขาจึงกัดฟันสบถออกมาสามคำ แต่จางเยว่เซียงนางฟังไม่ถนัดจึงขยับเข้ามาใกล้พลางถามด้วยความห่วงใยหนักหนาว่า... “พี่เฟิ่งว่าอันใดนะเจ้าค่ะ? ...อันใดรกหรือเจ้าค่ะ? หรือว่า???”
นางหันไปบนเตียงที่มีของมงคลมากมายก็เริ่มเข้าใจไปอีกทางเลยยิ้มแย้มแล้วหันกลับมาหวังจะขออนุญาตหนานเฉิงกั๋วกงถึงการจัดเตียงใหม่โดยการ’ กราด’ เอาของมงคลเหล่านั้นไปไว้ด้านข้างใดข้างหนึ่งเพราะทราบดีว่าชาวต้าเหลียงค่อนข้างเคร่งครัดธรรมเนียมคงไม่ดีแน่หากนางจะ’ กราด’ เอาของเหล่านั้นทิ้งไปเลย ทว่า...
“ละ...เลือด...พี่เฟิ่งเลือดออก!!!...กรี๊ด!...เลือด...เด็กๆ ....ใครก็ได้ตามท่านหมอเร็ว...หนานเฉิงกั๋วกงเลือดออก!”
...อวสานแล้วราตรีของข้า...
สวีฉีเฟิ่งรำพึงรำพันในใจด้วยความทดท้อก็ไม่ทราบได้ว่าเขาสมควรลงทัณฑ์ท่านพ่อบ้านซูที่จัดหาชุดสวมนอนแต่เขาไม่อยากชวนจางเยว่เซียงเพียงนอนหลับไปเฉยๆ ด้วยกันเท่านั้นหรือ จะลงโทษคนที่ยั่วยวนเขาด้วยกิริยาใสซื่อจนเขาที่เกิดมาในชีวิตไม่เคยเลือดกำเดาแตก ต้องมาเสียเลือดให้แก่นางเป็นคนแรกดี
...แต่โทษนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ!...