และแล้ววันวิวาห์ยิ่งใหญ่ระหว่างคุณหนูห้าของท่านนายอำเภอจางและหนานเฉิงกั๋วกงสวีฉีเฟิ่งก็บังเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าของต้นเดือนหกนั้นแสนจะแจ่มใจเป็นใจต่อฤกษ์มงคลนี้เสียเป็นยิ่งนัก ชาวบ้านเองต่างร่ำลือกันไปทั่วถึงการที่เจ้าสาวถูกเปลี่ยนไปแต่เพราะอำนาจและเงินทองของฝ่ายเจ้าบ่าวผู้ใดเล่าจะกล้าสงสัยความต้องการของเขา
ดังนั้นพิธีต่างๆ จึงเริ่มดำเนินไปตามธรรมเนียมของชาวต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ฝ่ายเจ้าสาวที่จะต้องไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวนั้น จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ติดตัวไปด้วย รวมทั้งสิ่งของที่ต้องใช้ในงานพิธี ร่วมไปกับสินเดิมซึ่งมีดังต่อไปนี้
หนึ่งนั่นก็คือเอี๊ยมแต่งงาน เป็นเอี๊ยมผ้าแพรสีแดง มีกระเป๋าเล็กๆ ตรงหน้าอกเสื้อ ปักคำว่า ‘แป๊ะนี้ไห่เล่า’ ซึ่งมีความหมายสื่อว่า อยู่กินกันจนแก่เฒ่าซึ่งจางเยว่เซียงนางก็เพิ่งได้ทดลองสวมดูว่าต้องแก้ไขหรือไม่ไปเมื่อวันก่อนนี้นี่เอง
ชิ้นที่สองคือเชือกแดงผูกเอี๊ยม ติดตัวหนังสือสีแดงซังฮี้ และมีแผ่นหัวใจสีแดงสำหรับติดเครื่องประดับเช่นไข่มุกหรือทองคำแท้ แล้วแต่ว่าฐานะของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะร่ำรวยเพียงใดซึ่งในกรณีของจางเยว่เซียงนับว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวคือคนมีฐานะจัดอยู่ในระดับสูงของแคว้นฉู่และต้าเหลียงจึงเป็นไข่มุกงดงามหาได้ยากในต้าเหลียงสีของไข่มุกนั้นเป็นสีชมพูสวยเห็นแล้วนางร้ายเงินล้านอยากแอบขโมยไปขายเสียนักเพราะคงแพงไม่น้อย
นอกจากนั้นก็ยังมีห่อเมล็ดพืชห้าชนิด พร้อมเสียบปิ่นทอง และต้นชุงเฉ้าสองต้น ใส่ไว้ในช่องกระเป๋าเอี๊ยมแต่งงาน ซึ่งเมล็ดพืชนี้สื่อถึงความเจริญงอกงามและมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองนั่นเองยังมีพัดสีแดง ไว้สำหรับให้เจ้าสาวนั้นได้ถือในยามส่งตัวนางไปยังจวนของฝ่ายเจ้าบ่าวที่ปักลวดลายงดงามแทนการใช้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเช่นที่จางเยว่เซียงเคยพบเห็นมา
กล้วยหอมหนึ่งเครือซึ่งใช้เป็นกล้วยดิบสีเขียวเครือใหญ่ ในหนึ่งเครือฟางปี้เหลียนบอกแก่นางว่าต้องมีจำนวนหวีเป็นเลขคู่เพื่อความเป็นมงคล ก้านเครือพันด้วยกระดาษสีแดง ส่วนผลกล้วยให้ติดตัวหนังสือสีแดงซังฮี้ไว้เช่นกัน หลังเสร็จงานพิธีแล้วยกให้ฝ่ายเจ้าบ่าวนำกลับจวนไปพร้อมกับตัวของเจ้าสาว ซึ่งพอแลเห็นแล้วจางเยว่เซียงให้สงสารคนต้องแบกหามเจ้ากล้วยหอมเครือยักษ์นั้นอย่างยิ่ง
ถัดไปก็คือถาดบรรจุส้มเช้งเขียวตามจำนวนที่เป็นเลขคู่ ติดตัวอักษรสีแดงซังฮี้ทุกลูก หลังเสร็จสิ้นพิธีก็ยกให้ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นต้องนำกลับจวนไปอีกเช่นกัน
บนโต๊ะกลางเรือนนั้นยังมีถาดบรรจุหมูสดหนึ่งชุด โดยฝ่ายเจ้าสาวนั้นจะเตรียมแค่เพียงถาดเดียวเพราะที่เหลือฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นผู้จัดเตรียมมาพร้อมกับตัวเจ้าบ่าวอีกสามชุด ซึ่งภายในถาดนั้นประกอบไปด้วย หัวใจทั้งยวงที่มีทั้งปอดและตับติดไปด้วย หลังเสร็จพิธีแต่งงาน ฝ่ายเจ้าสาวจะแบ่งหัวใจหมูครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าบ่าว เพื่อนำกลับไปทำอาหาร เพื่อสื่อถึงคู่บ่าวสาวมีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง
นอกจากนั้นในส่วนของหีบที่วางรวมกับสินเดิมก็ยังมีของใช้ส่วนตัว ที่จางเยว่เซียงนั้นต้องนำติดตัวไปด้วย ได้แก่ ถังน้ำสีแดงสองใบ กะละมังสีแดงสองใบ กระป๋องน้ำสีแดงสองใบ กระโถน ถาดสีแดง กรรไกร ด้าย เข็ม และกระจก อย่างละหนึ่งชิ้น
ชุดเครื่องนอน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นสีแดงเท่านั้นจึงนับว่าดี ซึ่งฟางปี้เหลียนและเสี่ยวฮูหยินจางนั้นได้ช่วยกันจัดเตรียมไว้ทั้งหมดตั้งแต่สามวันก่อนนั่นแล้วมีผ้าปูที่นอน หมอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และหมอนข้าง อย่างละหนึ่งชุด
หวีสี่เล่ม ซึ่งชาวต้าเหลียงต่างเชื่อกันว่าจะได้มีทรัพย์สินมากมายมหาศาล รวมไปถึงกาและถ้วยน้ำชา สำหรับทำพิธียกน้ำชา ในช่วงเช้าหลังราตรีเข้าหอผ่านพ้นไปเห็นข้าวของแล้วเจ้าสาวก็ถึงกับยกมือขึ้นมาซับเหงื่อเพราะดูมากมายเหลือเกินนั่นเอง
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้สำหรับนางร้ายเงินล้านที่เพิ่งข้ามภพหลงมิติมานั้นทำได้เพียงนั่งมองมารดาเลี้ยงกับสาวใช้เตรียมงานกันไปเท่านั้น มิได้เข้าไปลงมือช่วยแต่อย่างใดเพราะกลัวช่วยไปก็อาจจะช่วยให้วุ่นวายมากกว่าจะช่วยให้เสร็จเร็ว
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้วมาแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวที่งดงามทว่าทั้งหนาและหนักไม่พอยังสวมยากอย่างร้ายกาจที่ปักลวดลายนกยวนยางคู่สีทองตัดกับตัวผ้าไหมสีแดงสดใสแล้ว
และบนศีรษะของเจ้าสาวปักด้วยปิ่นเงินและปิ่นทองซึ่งมีใบทับทิมที่ท่านแม่เลี้ยงของนางนั้นเป็นผู้มอบให้แทนมารดาผู้ลาจากก็มาถึงพิธี’ ร่ำลาสกุลเดิม’ ของฝ่ายเจ้าสาว
โดยเริ่มจากนางผู้เป็นเจ้าสาวนั้นถูกท่านนายอำเภอจางนั้นพาไปกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษแล้วจึงค่อยไปร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวและญาติทางฝ่ายท่านนายอำเภอจาง โดยที่ผู้เป็นบิดาของเจ้าสาวเองจะคีบอาหารมงคลให้แก่จางเยว่เซียงด้วยตนเองเพื่อเป็นการอวยพรให้กับบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นางจะกลายเป็นคนของสกุลอื่น ซึ่งอาหารมงคลประกอบไปด้วย
หนึ่งเส้นหมี่เพื่อเป็นการอวยพรให้ลูกสาวและว่าที่บุตรเขยนั้นได้มีอายุยืนยาวและรักกันยาวนานเป็นหมื่นๆ ปี อย่างที่สองนั้นคือปลาเพื่อเป็นการขอให้ลูกสาวและลูกเขยได้มีกินมีใช้เหลือเฟือ อย่างที่สามนั้นคือไก่เพื่ออวยพรขอให้บุตรสาวและบุตรเขยนั้นได้มีความกล้าหาญและเที่ยงตรง สี่นั้นคือตับหมูเพื่ออวยพรให้บุตรสาวและบุตรเขยนั้นได้มีแต่ความเจริญก้าวหน้า
อย่างที่ห้านั้นคือหัวใจของหมูเพื่ออวยพรขอให้หัวใจของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนั้นรักใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไป อย่างที่หกก็คือไส้หมูและกระเพาะหมูเพื่อเป็นการสื่อความหมายว่าถ้าหากอนาคตต่อไปพวกเขาทั้งสองสามีภรรยาเกิดได้เจอการเปลี่ยนแปลง ก็ขอให้เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ส่วนปูนั้นเป็นการสื่อความหมายว่าขอให้ทั้งคู่มีแต่ความขยัน คล่องแคล่วว่องไว กับเห็ดหอมนั้นขอให้ชีวิตคู่หอมหวานเหมือนดั่งเห็ดหอม ส่วนผักกุ้ยช่ายขอให้ทั้งคู่ครองคู่กันยาวนานตราบชั่วนิจนิรันดร์ และสุดท้ายนั้นก็คือผักเกาฮะไช่มีความหมายว่าผู้เป็นบิดานั้นขอให้บุตรสาวและบุตรเขยนั้นจงเป็นคู่รักที่รักกันมากมายแล้วยาวนานตลอดไป
ซึ่งกว่าจะกินครบทุกจานจางเยว่เซียงนั้นก็แทบจะอาเจียนออกมาได้อยู่แล้ว นางไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพิธีการแต่งงานมันจะทรมานกระเพาะอาหารกับลำไส้นางถึงเพียงนี้แอบมองดูตรงหน้าท้อง แล้วรู้สึกขอบคุณชุดเจ้าสาวในยุคสมัยนี้อย่างยิ่งที่ไม่รัดแน่นตึงหาไม่นางคงอับอายที่’ พุง’ อาจยื่นนำหน้าสองเต้าทรวงของตนเองก็เป็นไปได้
พอถึงต้นยามเฉินขบวนมารับตัวเจ้าสาวที่นำมาโดยสวีฉีเฟิ่งในอาภรณ์สีแดงถูกเชิญเข้าสู่จวนสกุลจาง พร้อมกับแม่สื่อใหญ่และท่านพ่อบ้านซูด้วยรองพ่อบ้านฮัว ซึ่งมีท่านนายอำเภอจาง กับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว อีกหลายสิบคนรออยู่แล้วที่ห้องรับรองจวนสกุลจาง หนึ่งก็เพราะญาติเหล่านั้นอยากชมโฉมของหนานเฉิงกั๋วกงตัวจริงแท้ ส่วนสองก็เพื่อที่ว่าหากท่านนายอำเภอจางได้ดิบได้ดีจะไม่ลืมพวกตนนั่นเอง
โดยที่ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นนอกจากจะมาพร้อมสินสอดมากมายแล้วยังมีของมงคลอีกหลายอย่างดังเช่น ส้มเช้ง จำนวนแปดสิบแปดลูก ซึ่งผลส้มที่นำมานั้นทุกลูกมีตัวอักษร’ ซังฮี้’ สีแดงติดไว้ทุกผล โดยมีเป็นความเชื่อของชาวต้าเหลียงว่าจะมีความโชคดีเข้ามาในชีวิตของคู่แต่งงานนั่นเอง
ตามมาด้วยกล้วยหอมหนึ่งเครือที่เป็นกล้วยหอมดิบสีเขียวเครือใหญ่ไม่ต่างจากที่บ้านฝ่ายเจ้าสาวนั้นได้เตรียมเอาไว้เช่นกัน และย่อมแน่นอนว่าในหนึ่งเครือต้องมีจำนวนหวีที่เป็นเลขคู่เพื่อความมงคลมิแตกต่างกัน ก้านของเครือกล้วยหอมนั้นจะต้องพันด้วยกระดาษสีแดง ส่วนผลกล้วยให้ติดตัวหนังสือสีแดงซังฮี้ไว้เช่นเดียวกัน
แล้วยังคงมีต้นอ้อยหนึ่งคู่ ด้วยความที่น้ำอ้อยนั้นมีรสชาติที่หวานและหอม ดังนั้น ต้นอ้อยหนึ่งคู่นี้ จึงให้ความหมายที่แสดงถึงความรักของคู่บ่าวสาวที่หวานชื่นยืนยาวเช่นน้ำอ้อย และยังมีถาดใส่หมูสดซึ่งจะต้องจัดเตรียมชุดหมูเหล่านั้นเป็นสามถาดโดยชิ้นส่วนของหมูทุกชิ้นจะต้องติดตัวหนังสือซังฮี้สีแดง ถาดแรกประกอบไปด้วย หัวหมูหนึ่ง หัว เท้า สี่ ข้าง และหาง หนึ่ง หางถาดที่สองประกอบไปด้วย ขาหมูสี่ขา และถาดที่สามประกอบไปด้วย เนื้อหมูส่วนท้องของแม่หมู ที่เรียกว่า ‘โต้วเตี๊ยบะ’ เพื่ออวยพรให้ฝ่ายเจ้าสาวนั้นตั้งครรภ์แรกเป็นบุตรผู้ชายนั่นเอง
แล้วจึงตามมาด้วยชุดขนมหมั้นและขนมแต่งงาน (หรือก็คือขนมจันอับ) ที่ทางเจ้าบ่าวนั้นจัดเตรียมมายิ่งใหญ่จนสาวใช้และบ่าวชายต้องช่วยกันถือติดตามเข้ามาไม่น้อยกว่ายี่สิบแปดคู่ ซึ่งในพิธีแต่งงานของชาวต้าเหลียงนี้จะใช้ขนมทั้งหมดนั้นเป็นห้าสี หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า ‘โหงวเส็กทึ้ง’ ที่มีทั้งหมดได้แก่
หนึ่งขนมเปี๊ยะโรยงาเพื่อความสิริมงคล สองก็คือขนมถั่วตัดเพื่ออวยพรให้คู่บ่าวสาวมีชีวิตที่ดีเจริญงอกงาม สามก็คือขนมข้าวพองทุบ ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ และยังมีขนมเหนียวเคลือบเมล็ดงา ให้ความรักของคู่บ่าวสาวเหนียวแน่นตัดไม่ขาด และสุดท้ายคือขนมโก๋ ให้ความหมายสื่อถึง ความร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมามิขาดสาย
เมื่อทุกสิ่งพร้อมสรรพจางเสียนอีก็นำสวีฉีเฟิ่งไปกราบไหว้ป้ายบรรพชนของสกุลจางและกราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้เจ้าที่ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าตนเองและฝ่ายของเจ้าสาวนั้นได้เป็นครอบครัวเดียวกัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จากนั้นจึงพาเขาไปดื่มสุรามงคลกับแขกทั้งหลายจวบจนถึง เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีต้องส่งตัวเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวไปประกอบพิธีต่อที่จวนรองสกุลสวี
“เจ้าสาวมาแล้ว...”
เสียงญาติสูงวัยฝ่ายเจ้าสาวร้องบอกนำทางมาก่อน จากนั้นภาพของจางเยว่เซียงในอาภรณ์เจ้าสาวงดงามถือพัดด้ามงดงามก็เดินเนิบช้าออกมาโดยมีจางเยว่หนี่ว์ผู้เป็นน้องสาวและฟางปี้เหลียนเป็นผู้จับชายกระโปรงของเจ้าสาวอยู่ด้านหลัง สวีฉีเฟิ่งตะลึงต่อความงดงามนั้นจนเผลอลืมหายใจไปชั่วครู่จนได้ยินเสียงแม่สื่อกำกับบอกขั้นตอนต่อไปเขาจึงขยับเข้าไปรับมือข้างขวาของเจ้าสาวมากุมเอาไว้
แล้วจับจูงนางไปที่โต๊ะกลางเรือนจากนั้นเขาจึงเป็นผู้คีบขนมอี๊สีชมพูป้อนให้นางกินหนึ่งคำ และตัวของเขากินที่เหลือจนหมดเมื่อทานขนมเสร็จ ทั้งสองได้คารวะและกล่าวลาผู้เป็นบิดาของเจ้าสาวเช่นจางเสียนอี เพื่อเดินทางกลับจวนของเจ้าบ่าว ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ เจ้าสาวจะต้องนำสิ่งของที่เตรียมไว้นำไปด้วยพร้อมทั้งสาวใช้คนสนิทเช่นฟางปี้เหลียนที่นับต่อจากนี้นางก็จะกลายเป็นคนของสกุลสวีมิใช่สกุลจางอีกต่อไปเช่นผู้เป็นนายสาว
เมื่อทุกสิ่งเสร็จสิ้นจากจวนของสกุลจางแล้วจางเสียนอีจึงเป็นผู้เดินนำเจ้าสาวไปส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวที่ฝ่ายสกุลสวีจัดเตรียมมาพร้อมกับอวยพร ส่วนญาติทางฝั่งเจ้าสาวซึ่งก็คือจางเยว่หนี่ว์สาวน้อยวัยสามหนาวที่มิอาจถือตะเกียงไปส่งคนเป็นพี่สาวได้เพราะยังเด็กเกินไปหน้าที่นั้นจึงตกไปเป็นของฟางปี้เหลียนต่อไปเมื่อนางส่งจางเยว่เซียงขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปเรียบร้อยแล้ว
นางจึงนำพาตะเกียงนั้นไปนั่งยังรถม้าด้านหลังที่มีสินเดิมและข้าวของใช้ส่วนตัวของผู้เป็นคุณหนูของตนเองโดยมีสวีฉีเฟิ่งขี่อาชาสีดำตัวโตนำขบวนและย่อมแน่นอนว่าขบวนเจ้าสาววันนี้คุ้มกันแน่นหนาทั้งที่สายตาของจางเยว่เซียงมองเห็นได้และมองไม่เห็นทว่าก็รับรู้ได้ ทำเอานางอดจะคิดเสียมิได้ว่านี่ตกลงนางตบแต่งกับหนานเฉิงกั๋วกงที่เป็นหลานรักของฮ่องเต้และไทเฮาหรือที่แท้นางแต่งงานกับมาเฟียในยุคจีนโบราณกันแน่
...คุ้มกันแน่นหนากว่าคุ้มกันฮองเฮาเสียอีกกระมัง...
แต่ทุกสิ่งก็ราบรื่นจนมาถึงจวนรองสกุลสวี ทุกพิธีการดำเนินไปจนเสร็จสิ้น นางและฟางปี้เหลียนถูก’ ต้อน’ ไปส่งในห้องหอที่มีแต่สีแดงและแดงจนนางที่ปวดเท้าปวดหลังแทบตายอยากจะเอนกายลงไปนอนกลับไม่กล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น สุดท้ายนางก็มิอาจทานทนไหวต้องเอ่ยปากขออาบน้ำอุ่นให้สบายตัวก่อนส่วนที่เหลือจะโดน’ เชือด’ จนโลหิตแดงฉานดังสีของห้องหอหรือไม่นั่นจึงค่อยว่ากันเถิด...
“อย่าบอกว่ามีกฎข้อห้ามว่าคืนเข้าหอห้ามข้าอาบน้ำนะอาเหลียน”
ฟางปี้เหลียนหัวเราะขบขันคุณหนูของตนแต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามนางออกไปเรียกหาน้ำอุ่นมาให้ผู้เป็นนายได้นอนแช่ให้ผ่อนคลายโดยที่ตนเองอยู่คอยบีบนวดให้อย่างอดจะสงสารเจ้าสาวที่ต้องแบกอาภรณ์และเครื่องประดับทั้งวันเสียมิได้ จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม ท่านพ่อบ้านซูก็ให้สาวใช้อีกสองนางประคองถาดบรรจุอาภรณ์สีแดงแต่บางเบามาให้ผู้เป็นเจ้าสาวนั้นสวมใส่เอาไว้รอผู้เป็นเจ้าบ่าวบนเบาะนุ่มด้านหน้าเตียงซึ่งนุ่มมากจนนั่งได้ไม่ถึงสองเค่อจางเยว่เซียงก็หนีเจ้าบ่าวไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนเสียแล้ว...