...นอกแคว้นฉู่...
ห่างออกไปราวสามร้อยใกล้พลบค่ำแล้วแต่ขบวนรถม้าของสองย่าหลานสกุลจางกลับยังไปไม่ถึงที่พักม้าสักครา ทำเอาท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ฝู่มีนามว่าเผยบุรุษวัยสี่สิบเอ็ดหนาวรู้สึกร้อนใจไม่น้อย เพราะทางเส้นนี้โจรปล้นม้ามีไม่น้อยนั่นเองแต่ให้เร่งเช่นไรก็เหมือนจะยิ่งช้า
“ฝู่เผยเกิดอันใดขึ้น”
เหล่าฮูหยินจางเปิดผ้าม่านบังด้านหน้ารถม้าออกมาสอบถามเมื่อพบว่ารถม้านั้นชะลอความเร็วลงอีกเป็นรอบที่แปดนับจากออกเดินทางมาจากประตูเมืองแคว้นฉู่ ยิ่งพอนางมองเห็นบรรยากาศที่เริ่มเข้าสู่พลบค่ำก็ชักสีหน้าไม่พึงใจทันที
“สลักล้อรถม้าคันที่สามชำรุดขอรับ”
ฝู่เผยตอบแล้วเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้าไปพลาง ทำสีหน้าลำบากใจที่การเดินทางล่าช้าลงไปอีกแต่จะทำเช่นไรได้คงมีเพียงเร่งมือบ่าวประจำรถม้าคนที่ขนเสบียงไปช่วยกันซ่อมสลักเท่านั้น แต่ยิ่งเร่งก็เหมือนยิ่งช้า ที่สำคัญฟ้าฝนก็เริ่มตั้งเค้ามาเยือน ซึ่งต่อมาไม่ถึงสองเค่อเม็ดฝนก็เทลงมาอย่างหนักแม้แต่ม้ากับวัวลากรถม้ายังสะดุ้งด้วยความเจ็บที่ถูกเม็ดฝนสาดซัดโดยไร้ที่กำบัง
“ท่านย่าฝนตกหนักเช่นนี้เราจะทำเช่นไรกันดีเจ้าค่ะ”
จางเยว่ซินกุมมือผู้เป็นท่านย่าเอาไว้แน่นเพราะรอบกายนี้นอกจากป่าเขาก็มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่วกิริยาห้าวหาญจนถึงขนาดหยิบดุ้นฟืนขึ้นไปฟาดศีรษะน้องสาวฝาแฝดไม่พอยังช่วยกันกับท่านพ่อหนุ่มใหญ่เช่นฝู่เผยจับร่างไร้สติโยนลงไปในบึงบัวกลับไม่หลงเหลือมีเพียงกิริยาหวาดกลัวชวนสงสารให้เหล่าฮูหยินจางเอ็นดูเท่านั้น
“โจรปล้นม้าบุกแล้ว...หากรักชีวิตเร่งวางอาวุธให้หมด!”
พอสายฝนซาเม็ดภัยร้ายที่ท่านพ่อบ้านหนุ่มใหญ่กังวลก็มาเยือนเข้าจนได้ เสียงตะโกนโห่ร้อง ผสานไปกับเสียงกรีดร้องของสตรีต่างวัยสองย่าและหลานสาวรวมไปถึงสาวใช้อีกหกนางดังสะท้อนก้องไปทั้งหุบเขา
“พวกเจ้าต้องการทรัพย์สินเท่าใดก็จงเร่งเอาไป หากต้องการสตรีตอบสนองราคะสาวใช้พวกนางนั้นข้ายินดียกให้ขอเพียงพวกเจ้าละเว้นเราสองคนท่านย่าและหลานไปเท่านั้น”
คำกล่าวเห็นแก่ตนทำเอา’ โจรปล้นม้า’ จำเป็นถึงกับนึกชิงชังสตรีเฒ่าจิตใจอำมหิตอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อพวกเขามีคำสั่งเพียงปล้นทรัพย์สินกับทำลายโฉมของคุณหนูสี่สกุลจางและตัดมือเจ้าพ่อบ้านชั่วซึ่งบังอาจแตะต้องสตรีของ’ สวีฉีเฟิ่ง’ เพียงเท่านั้นส่วนข่มขืนสาวใช้ผู้ไม่เกี่ยวข้องซั่วเจามิได้รับ’ คำสั่ง’ เขาย่อมไม่แตะต้องเด็ดขาด
“ผู้ใดแซ่ฝู่นามว่าเผย”
พอพังรถม้าทั้งสามคันจนแน่ใจว่ามิอาจใช้การได้แล้วซั่วเจาในฐานะหัวหน้ากลุ่มโจรก็เดินตามหาเป้าหมายแรกทันที และแน่นอนคนในขบวนรถม้าไปต่างเมืองนี้เป็นคนของสกุล’ สวี’ถึงสามส่วน ย่อมหาคนที่ต้องการได้ไม่ยากเย็น
“เจ้านี่เองที่ไปแตะต้องคนซึ่งไม่สมควรเข้า”
มองไปที่ท่านพ่อบ้านหนุ่มใหญ่แล้วยิ้มเหี้ยมโหดออกมาหนึ่งสายไม่ทันกะพริบตาดาบยาวคมกริบก็ตวัดตัดฉับเอาข้อมือข้างขวาจนฝู่เผยกรีดร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุราย เขาเขี่ยมือในส่วนที่ขาดโยนให้ลูกน้องอีกคนเก็บใส่ถุงผ้ากลับไปเป็นหลักฐานว่า’ คำสั่ง’ ของ’ นายท่าน’ นั้นสำเร็จไปด้วยดีนั่นเอง
“กรี๊ด!...อย่านะ...อย่าทำอันใดข้านะ”
จางเยว่ซินถอยกายไปกอดผู้เป็นท่านย่าเอาไว้แน่นดวงใจใกล้จะหยุดเต้นเพราะความหวาดกลัว ราวกับร่างของหัวหน้าจอมโจรผู้นี้คือพญายมกำลังจะมาพรากเอาลมหายใจของนางไปก็มิปาน ซั่วเจามองสาวน้อยที่งดงามไร้รอยตำหนิ กึ่งสมเพช กึ่งสาแก่ใจ เพราะจางเยว่ซินผู้นี้งดงามก็จริง แต่กลับมีดวงใจอำมหิตยิ่งนัก เพียงคิดจะเอาชีวิตตนเองรอด แม้นแต่น้องสาวที่อาศัยครรภ์เดียวกันถึงสิบเดือนนางกลับสังหารได้ลงไม่มีลังเลแม้แต่น้อย
“กลัวหรือ?”
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วจึงส่งมือแกร่งไปบีบปลายคางเรียวแสยะรอยยิ้มโหดร้ายให้นางหนึ่งสาย แล้วจึงสั่งให้คนของตนจับเหล่าฮูหยินจางแยกออกไปกับเรียกอีกสองคนมาจับล็อกกายอรชรงดงามเอาไว้จนดิ้นรนหนีไม่ได้
“ในใจของเจ้ามันโสมมเกินไปใบหน้างดงามนี้ของเจ้าไม่สมควรเป็นของเจ้าอีก”
กล่าวจบเขาก็ตวัดเอามีดสั้นที่ตนเองพกเอาไว้ตรงเอวออกมาแล้วค่อยๆ จรดปลายมีดสั้นกรีดลงไปบนใบหน้าซีกขวาของจางเยว่ซิน หญิงสาวกรีดร้องจนเสียงแหบแห้ง ทว่าซั่วเจานั้นใจเย็นกรีดสลักที่แก้มเป็นคำว่า’ ทรยศ’ แล้วจึงย้ายไปกรีดสลักที่หน้าผากงดงามว่า’ แพศยา’ ซึ่งกว่าเขาจะสลักสำเร็จจางเยว่ซินที่ทานทนต่อความเจ็บและหวาดกลัวไม่ไหวปล่อยของเสียออกมาไม่พอสุดท้ายนางยังถึงกับหมดสติลงก่อนที่ซั่วเจาจะสลักตัวอักษรสุดท้ายเสร็จเสียอีก
คงมิต้องกล่าวถึงเหล่าฮูหยินจางที่ทานทนต่อภาพสยดสยองไม่ไหวเป็นลมหมดสติไปนับจากซั่วเจายังสลักคำตรงแก้มซีกขวายังไม่สำเร็จดีเมื่อแลเห็นผลงานลุล่วงไปด้วยดีทุกสิ่งซั่วเจาจึงสั่งถอนกำลังปล่อยให้คนของสกุลจางและสองท่านย่ากับหลานสาวนอนสลบอยู่กลางสายฝนมิใส่ใจสักนิด ซึ่งพอกลุ่มโจรจำเป็นจากไปได้ครึ่งชั่วยามคนของท่านนายอำเภอจางก็ตามมาจนพบสองคนสำคัญของจวนสกุลจาง
แต่ดูเหมือนจะช้ากว่าอีกกลุ่มไปเสียแล้วเมื่อสภาพขบวนไปถือศีลยังยอดเขาถังไถ่ซานจึงย่อยยับรวมไปถึงเหล่าฮูหยินจางและคุณหนูสี่สกุลจางที่ใบหน้างดงามถูกกรีดกลายเป็นสตรีอัปลักษณ์ลงเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น
“เร่งพาคุณหนูสี่กับเหล่าฮูหยินจางกลับจวนเร็วเข้า!”
มือปราบหวู่สั่งคนใต้บังคับบัญชาในคราแรกเขาคิดจะติดตามเหล่าคนร้ายไป ทว่าพอเห็นมือปราบรุ่นน้องไปจับกายคุณหนูสี่พลิกนอนหงายกลับเบือนหน้าหนีเขาจึงต้องเร่งเข้าไปดูด้วยตนเอง
แล้วสภาพใบหน้าสยดสยองข้อมือข้อเท้านั้นถูกตัดเส้นเอ็นจนหมดเส้นผมที่เคยนุ่มสวยเงางามยาวเลยสะโพกก็ถูกตัดกร่อนจนเว้าแหว่งแต่ที่มือปราบผู้อื่นเบือนหน้าหนีเห็นทีคงจะเป็นกลิ่นของเสียที่เจ้าของร่างถ่ายออกมานั่นเอง สุดท้ายเขาจำต้องตัดใจไม่ตามคนร้ายแต่หันมาจัดการกับบุตรของผู้เป็นนายจนสะอาดแล้วจึงแบกนางขึ้นม้าเร่งกลับเข้าเมืองฉู่ทันที
แล้วกลางดึกคืนนั้นจวนสกุลจางก็วุ่นวายเดือดพล่านไปหมดเมื่อบุตรสาวคนโตแต่เกิดเป็นลำดับที่สี่และเหล่าฮูหยินจางนั้นถูกโจรมาดักปล้นกลางทางระหว่างแคว้นฉู่และเทือกเขาถังไถ่ซานจนคนหนึ่งหมดสติไม่ยอมฟื้น ส่วนอีกคนก็บาดเจ็บสาหัสไปจนถึงเข้าขั้นเสียโฉมนั่นเอง
“ท่านหมอฟางใบหน้าของอาซินนี้? ...”
เมื่อทราบอาการของมารดาวัยเจ็ดสิบนางเพียงหมดสติเพราะกลัวเกินไปไม่มีอันใดเป็นอันตรายจางเสียนอีจึงเร่งมาดูบุตรสาวที่สภาพย่ำแย่เกินบรรยายดวงตาของนายอำเภอเฒ่าว้าวุ่นกลัดกลุ้มเกินจะบรรยาย
“เรื่องใบหน้าท่านนายอำเภออย่าเพิ่งวิตกจนเกินไปคนเราใบหน้าเสียโฉมนั้นยังใช้ชีวิตได้ปกติ ทว่าหากนางเดินเหินไม่ได้นั่นมิน่าวิตกกว่าหรอกหรือ?”
ท่านหมอฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้วี่แววหยอกเย้าอารมณ์ดีเช่นปกติ “ท่านหมอฟางหมายความว่าเช่นไรเจ้าค่ะ?” จางเยว่เซียงเองก็เร่งรุดออกมาดูสภาพของพี่สาวมหาภัยกับท่านย่าใจเหี้ยมของร่างกายนี้ด้วยเช่นกันจึงอดจะถามกับท่านหมออาวุโสเสียมิได้
“ขาทั้งสองข้างตรงข้อเท้าถูกตัดเส้นเอ็นไปหกส่วนเช่นนี้ต่อให้คุณหนูสี่หายแล้วก็เดินได้ไม่ปกติแล้วขอรับ”
จางเยว่เซียงเห็นสภาพของเจ้าพ่อบ้านตัวดีที่ช่วยกันลงมือสังหารเจ้าของกายนี้แล้วว่าสาหัสเพียงใด บัดนี้มาพบพี่สาวฝาแฝดกลับมีสภาพย่ำแย่กว่าบางสิ่งพลันสะกิดใจให้นางคิดว่าเหตุการณ์ปล้นนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้วเป็นแน่
“ท่านพ่อ”
หลังดูท่านหมอฟางพยายามต่อเส้นเอ็นแล้วคิดว่าพวกตนคงจะไปขัดขวางการทำงานของท่านหมอผู้เฒ่า จางเยว่เซียงจึงหันไปสะกิดบิดาให้ไปพูดคุยกันในห้องหนังสือเป็นส่วนตัวย่อมดีกว่า
“ข้ามองว่าการปล้นนี้ไม่ธรรมดา”
กายสูงสง่าของท่านนายอำเภอจางถอนหายใจเสียงหนักแล้วทรุดกายลงไปนั่งด้านหลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ทำให้จางเยว่เซียงเองก็ต้องทรุดนั่งลงไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม
“หากเป็นโจรปล้นม้าจริงสาวใช้หกนางคงไม่มีสภาพที่ดีกลับมาเช่นนี้พี่สาวของเจ้าก็ด้วยพวกโจรเหล่านั้นลงมือจริงสังหารสิ้นไม่เว้นแม้แต่ม้าแก่หนึ่งตัวแต่นี่เพียงทำร้ายร่างกายให้กลับมารักษาได้...นับว่าเขาลงมือสถานเบาแล้ว”
จางเยว่เซียงมิคาดว่าบิดาจะใจกว้างไม่โกรธบุรุษเช่นสวีฉีเฟิ่งที่ลงมือทำร้ายบุตรสาวในไส้ของตนจนมีสภาพเช่นนี้ นางจึงมองจ้องอีกฝ่ายอึ้งไปเป็นครู่ เห็นกิริยาบุตรคนกลางของตนมองด้วยสายตากังขา เขาจึงถอนหายใจอีกครั้งแล้วนั่งตัวตรงพร้อมอธิบายให้บุตรสาวได้เข้าใจความเป็นจริง
“เจ้าต้องเข้าใจนะอาเซียงต่อให้ตั้งแต่แรกเราสงสัยว่าสวีฉีเฟิ่งนั้นวางแผนเอาไว้แต่แรกเริ่มก็จริง”
จางเยว่เซียงนั่งฟังนิ่งแต่ก็คิดตามที่อีกฝ่ายอธิบายทุกคำทุกประโยค
“แต่ความจริงแท้ก็มีเพียงพวกเราคาดเดาเท่านั้น ทว่าความจริงที่พี่สาวของเจ้ากระทำการหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของบุรุษผู้องอาจคนหนึ่งด้วยการหนีพิธีแต่งงานไปกับพ่อบ้านสูงวัยเช่นฝู่เผยนั่นคือการหยามเกียรติอย่างถึงแก่นเพียงใด”
แล้วจางเสียอีก็เล่าไปเรื่อยๆ ทำให้นางค่อยๆ ดึงความทรงจำของร่างกายนี้ขึ้นมาได้ทีละน้อยว่าชาวต้าเหลียงนั้นหากเป็นบุรุษอื่นมาพาว่าที่เจ้าสาวของเขาผู้นั้นหนีไปแล้วครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวติดตามไปพบทั้งสองมีเพียงสังหารบุรุษสารเลวทิ้งเสียส่วนฝ่ายหญิงนั้นกฎเกณฑ์ของชาวต้าเหลียงนั้นเปิดโอกาสให้ตัวเจ้าบ่าวสามารถให้สตรีแพศยานางนั้นไปเป็นสตรีบำเรอในจวนมิอาจออกจากจวนได้หากฝ่ายเจ้าบ่าวไม่อนุญาต
ช่างเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้เป็นบุรุษนั้นคงออกมาเองอย่างแน่นอนนางแน่ใจหาไม่คงไม่ร้ายแรงกับสตรีเช่นนี้หรอกก็สังหารฝ่ายชายชู้ก็เพียงตายไปทุกสิ่งก็จบลงแล้ว ทว่าสตรีเหล่านั้นต้องทนทุกข์เป็นสตรีบำเรอที่หากมีแขกคนสำคัญมาในจวนบุรุษของนางเอ่ยปากยกให้ สตรีผู้นั้นก็ต้องอดทนเป็นของบุรุษอื่นไปจนกว่าบุรุษเจ้าชีวิตจะปลดปล่อย
“เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาจะไม่ตามมาเอาความกับพี่สี่แล้วใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”
เขาปล่อยจางเยว่ซินทิ้งไว้ให้คนของบิดานางไปเจอนั่นหมายความว่าเขาลงทัณฑ์นางจนสาสมใจแล้วกระมังหาไม่เขาย่อมพานางกลับจวนไปด้วยแล้วเป็นแน่ นี่นับว่าเขามีเมตตาแล้วเช่นนั้นหรือ?
...เมตตาได้อำมหิตเสียจริง!!!...
“ถึงสวีฉีเฟิ่งผู้นั้นขึ้นชื่อในทางเสื่อมเสีย อำมหิต ทำแต่การค้าและกิจการสีเทาไปจนถึงสีดำ แต่เขาก็นับเป็นบุรุษหนุ่มผ่าเผยผู้หนึ่ง”
ฟังแล้วเหมือนจะชมก็ไม่สุดจะด่าก็ไม่เต็มปาก จางเยว่เซียงก็ให้ตื้นตันใจอย่างยิ่งกับว่าที่สามีเหลือกำลัง ยิ่งคิดไปถึงสภาพของจางเยว่ซินกับฝู่เผยพ่อบ้านใหญ่ นางก็ให้ขนในกายลุกตั้งชันไปหมด นี่ยังไม่ได้ตบแต่งให้เขายังเจอความอำมหิตสุดจิตสุดใจของหนานเฉิงกั๋วกง หากแต่งเข้าจวนเขาแล้วนางจะไม่กินข้าวผสมโลหิตคนหรือไร? ...