ก็ผู้ใดจะไปคิดว่าเพียงนางถูกฟาดศีรษะเจียนตายเสียสามวันสามคืนฟื้นกลับมาคราวนี้บุตรสาวทึ่มทื่อจะกลับกลายจอมปราชญ์หญิงไปเสียได้
“เช่นนั้นเจ้าคงคาดเดาได้แล้วกระมังว่าสมรสในอีกสามวันนี้ไม่ธรรมดาน่ะ?”
เป็นครั้งแรกที่จางเสียนอีเขารู้สึกดังกับกำลังคุยกับบุตรชายมากกว่าพูดคุยกับบุตรสาวนุ่มนิ่มไม่เอาไหนคนเดิมความรู้สึกนี้อธิบายยากนักรู้เพียงพูดคุยกับจางเยว่เซียงวันนี้เขาสบายใจอย่างยิ่ง จากในอดีตเขานั้นเศร้าใจนักที่สวรรค์คล้ายลงทัณฑ์เขาด้วยการพรากบุตรชายไปทั้งหมดถึงสามคนวันนี้พอพบว่าจางเยว่เซียงดูเติบโตดูเท่าทันผู้อื่นขึ้นมาบ้างก็เป็นดังสวรรค์กลับมามองเห็นความดีที่เขาเพียรทำอีกครั้งแล้ว
“คาดว่าสมรสนี้พี่สี่คงไปขัดแข้งขัดขากับคนใหญ่คนโตเข้าแล้วกระมัง”
คนในยุคโบราณเรื่องแต่งงานคานอำนาจกันมีให้เห็นทุกหัวระแหงแล้วคนระดับหนานเฉิงกั๋วกงมีหรือจะตบแต่งฮูหยินเอกที่เป็นเพียงบุตรสาวคนหนึ่งของนายอำเภอเล็กๆ หากไม่มีเบื้องหลัง นางจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าการวิวาห์นี้คงไม่ธรรมดาเข้าแล้วเพียงแต่ท่านย่ามหาภัยอาจจะคาดไม่ถึงหรือบางทีฐานะอันมั่งคั่งของหนานเฉิงกั๋วกงคงบดบังทุกเหตุผลไปจนสิ้นก็เป็นไปได้จึงไม่ดูเหนือดูใต้ไปขวางทาง’ คนใหญ่คนโต’ เข้าเป็นแน่จากที่คิดว่าจะง่ายจะสบายนั้นเลยยากเย็นเข็นใจขึ้นมาดังที่เห็น
“ถูกแล้วหนานเฉิงกั๋วกงนั้นเป็นหลานชายคนโปรดของไทเฮาสวีถึงเขาไม่ยอมรับฐานะทางการทหารหรือยอมรับตำแหน่งขุนนางใหญ่แต่เพียงทรัพย์สินเดิมของบรรพชนแซ่สวีกับทรัพย์สินที่เขาทำการค้าได้มาใหม่ในช่วงหลายปีมานี้คาดว่าอาจใกล้เคียงกับห้องเก็บสมบัติส่วนพระองค์ของฮ่องเต้แล้วก็เป็นไปได้แน่นอนว่ายั่วยวนน้ำลายพวกหิวอำนาจและเงินทองไม่น้อย”
...หือ? ...มีทรัพย์สินอาจใกล้เคียงกับฮ่องเต้เชียวหรือ??? ...
‘ชักน่าสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้วสิ’ นางร้ายเงินล้านที่ไม่ยอมขายศักดิ์ศรีให้ใครเด็ดขาดหากคนผู้นั้นจ่ายได้ไม่หนักพอพลันหูของคนเค็มจนทะเลต้องยกให้’ ตะวันฉาย’ นั้นเป็นบรรพบุรุษถึงกับกระดิกแต่กิริยาที่แสดงให้บิดาของร่างนี้เห็นก็คือสงบเยือกเย็นแย้มยิ้มอ่อนแต้มเรียวปากเข้าไว้มิดชิด
“เช่นนั้นที่พี่สี่หายไปกับท่านพ่อบ้านใหญ่แซ่ฝู่ก็คงเป็นแผนของท่านย่ากับท่านพ่อ มิผิดไปกระมังเจ้าคะ”
ช่างอำมหิตเกินไปแล้ว นางมองหน้าบิดาอย่างอยากรู้ให้แน่ว่าเบื้องหลังเหล่านี้นอกจากท่านย่ามหาภัยแล้วบุรุษตรงหน้าของนางนี้จะไม่รู้เห็นเป็นใจต่อเหตุการณ์วันนั้นไปด้วยเชียวหรือคนบ้านเดียวกันนะนางวางใจไม่ลงจริงๆ
“อย่ามองท่านพ่อเช่นนั้น กว่าจะรู้ว่าท่านย่ากับพี่สาวของเจ้าก็ก่อเรื่องร้ายเสียแล้วไม่ว่าทำงามหน้าหรือทำร้ายเจ้า อาเซียง ท่านพ่อจะคิดร้ายกับลูกในไส้ลงคอเห็นจะไม่ใช่ข้า จางเสียนอีแล้วอาเซียงเอ๋ย”
จางเยว่เซียงจับจ้องทุกกิริยาของผู้เป็นบิดานิ่งพลันภาพในความทรงจำก็บอกแก่นางว่าบุรุษผู้นี้เขาพูดจริง จางเสียนอีคือบิดาที่ดีคนหนึ่ง เขาไม่เคยรักลูกลำเอียงและไร้คุณธรรมจนถึงขนาดจะขายบุตรสาวอีกคนให้บุตรสาวอีกคนอยู่รอดเป็นแน่ ดังนั้นแผนร้ายไม่รัดกุมเช่นนั้นคงมีเพียงสองคนท่านย่าและหลานสาวเช่นจางเยว่ซินกับพ่อบ้านเฒ่าเพียงเท่านั้นแผนมันจึงเลยเถิดเกินจะควบคุมจนจางเยว่เซียงสุดท้ายถึงแก่ความตายไปอย่างน่าอนาถ
“เช่นนั้นบัดนี้ท่านย่าคงออกจากจวนสกุลจางไปแล้วกระมังเจ้าค่ะ?”
เพราะฟางปี้เหลียนนั้นก็กระซิบบอกนางแล้วว่าเหล่าฮูหยินจางเร่งออกจากจวนสกุลจางไปอย่างร้อนรนเสียแล้ว นางจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายหนีหายตามไปกับหลานสาวสุดที่รักเสียแล้วเป็นแน่
“ถูกต้อง หลังจากพ่อบ้านใหญ่จวนรองของหนานเฉิงกั๋วกงจากไปท่านย่าก็ให้สาวใช้คนสนิทมาแจ้งทันทีว่านางจะไปถือศีลที่บนยอดเขากั๋วไถ่ซาน”
...นับว่าเลือกเวลาไปไหว้พระถือศีลได้ดีจริงๆ หญิงชราผู้นั้น ...
“ท่านพ่อคงส่งคนติดตามไปแล้วกระมัง”
หากเป็นนางก็จะทำเช่นนั้นสะกดรอยตามท่านย่ามหาอภัยไปเช่นไรก็ต้องเจอยายพี่สาวนิสัยทรามอย่างมิต้องสงสัยเพราะสวยและร้ายทว่าไร้สมองเช่นจางเยว่ซินย่อมไปไหนไม่ได้ไกลหากไม่มีคนส่งเสริมเช่นเหล่าฮูหยินจางอย่างแน่นอน ยิ่งพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่มานานเช่นไรมีหรือจะพาคุณหนูจวนนายอำเภอหนีไปโดบพละการหากไม่มีผู้เป็นนายใหญ่คอยหนุนหลังและคอยให้ความช่วยเหลือ
“เกรงว่าเรื่องจะไม่ง่ายเช่นนั้นอาเซียงถึงเรื่องจะถูกปิดแต่ยิ่งปิดคนยิ่งอยากเปิดเจ้าคงย่อมทราบความจริงข้อนี้ดีกระมัง”
บิดาช่างกล่าวไม่ผิดท่านย่ามหาภัยช่างสมกับเป็นขิงแก่ร้อนแรงโดยแท้จริงที่แสร้งปิดบัง ทว่ากลับส่งจางเยว่ซินให้หนีไปกับท่านพ่อบ้านใหญ่ฝู่เผย เรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์เช่นนี้ยิ่งปกปิดย่อมยิ่งถูกขุดคุ้ย แล้วป่านนี้ผ่านมาถึงสี่วันข่าวเสียหายเช่นไรก็ยากจะปิดบัง แล้วตามเจ้าสาวผู้มีรอยราคีคาวกลับมาต่อให้หนานเฉิงกั๋วกงไม่ล้มเลิกงานแต่งงานที่จะเกิดแต่จางเยว่ซินก็มิอาจตบแต่งไปเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินไปได้เสียแล้ว
“เกรงว่านี่อาจเป็นความตั้งใจของบุรุษผู้นั้นเป็นแน่ถูกต้องหรือไม่เจ้าค่ะ”
...หึ!...
ช่างอำมหิตไม่น้อยเลยทีเดียวหนานเฉิงกั๋วกง นางมั่นใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้เขาคิดเอาไว้ก่อนที่จะส่งแม่สื่อมาจวนสกุลจางแห่งนี้แล้ว สวีฉีเฟิ่งเขาวางแผนนี้มาตั้งแต่ต้นเพราะคงสืบรู้มาแล้วว่าท่านย่ามหาภัยของนางเป็นคนนิสัยเช่นไรและศัตรูของเขาเป็นคนเช่นไร
...ชักอยากพบหน้าคนรวยไม่พอยังมีสมองเช่นนี้เสียแล้ว...
“ครั้งแรกท่านพ่อก็ไม่มั่นใจเท่าใด ทว่าเมื่อครู่เขาส่งท่านพ่อบ้านใหญ่มาเจรจา จึงมั่นใจแล้วว่าทุกสิ่งสวีฉีเฟิ่งผู้นั้นเขาวางแผนลวงนี้เอาไว้แล้วจริงๆ จุดหมายของเขามิใช่อาซินแต่เป็น...เจ้า”
คิดทบทวนดูแล้วขนาดพี่สาวของนางเป็นสตรีเช่นไร ท่านย่ามหาภัยรักหลานลำเอียงเท่าใด บุรุษผู้นั้นยังรู้แจ้งแล้วเรื่องที่เจ้าของกายนี้เป็นสตรีโง่เง่าหัวอ่อนเพียงใดมีหรือหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นเขาจะมิแจ้งใจ
...ดี!...
อยากได้ภรรยาแสนโง่เขลาเอาไว้หลอกใช้เป็นหนังหน้าไฟท่านก็ต้องยอมจ่ายให้หนักสักหน่อยแล้วหนานเฉิงกั๋วกงหึ...หึ...หึ...
“เกรงว่าหากอยากได้ตัวของอาเซียงเขาก็ต้อง’ จ่าย’ ให้คุ้มกับการที่อาเซียงจะเอาลำคอของตนเองไปวางพาดบนแท่นประหารเสี่ยงดวงแทนสตรีทั้งใต้หล้าเสียก่อนเจ้าค่ะท่านพ่อ”
คิ้วเข้มของจางเสียนอีพันกันยุ่งเพราะไม่คิดว่าเด็กสาวที่ลุกขึ้นมา’ ถกเถียง’ กับเหล่าฮูหยินจางเมื่อช่วงเช้านี้จะยอมอ่อนข้อเดินไปข้างหน้าตบแต่งกับบุรุษที่อันตรายเช่นสวีฉีเฟิ่งไปได้
“ท่านพ่อคิดว่าเจ้าจะปฏิเสธทางจวนหนานเฉิงกั๋วกงเสียอีก”
...ปฏิเสธแท่นผลิตตั๋วเงิน!...
ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะคนเช่น’ ตะวันฉาย’ ไม่ได้โง่เขลาและขาดสติถึงเพียงนั้น “ท่านพ่อคิดว่าคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นจะ’ ยินยอม’ โดยง่ายหรือเจ้าค่ะ เขาตั้งใจตั้งแต่จัดงานแล้วส่งเทียบเชิญมาถึงท่านย่าเมื่อหลายเดือนก่อนคนเช่นนี้ท่านพ่อคิดว่าเราจะปฏิเสธได้อยู่หรือเจ้าค่ะ”
ฟังคำบุตรสาวคนรองแล้วจางเสียนอีก็เห็นจริงปกติจวนนายอำเภอขนาดเล็กเช่นนี้มีหรือจะได้เทียบเชิญโดยง่ายที่สำคัญเทียบนั้นมาถึงจวนโดยที่เขาและเสี่ยวฮูหยินไม่ทราบจนเมื่อเช้าอีกวันที่แม่สื่อเข่อมาถึงจวนเสียแล้ว ยังไม่ทันขยับปากเหล่าฮูหยินก็เร่งยอมรับสินสอด หากไม่ใช่สวีฉีเฟิ่งเดินหมากล้อมปิดทางเอาไว้ทุกมุมยังจะเรียกว่าอันใดไปได้อีก
“อืม...ที่เจ้าพูดมาก็จริง”
จางเสียนอีลูบหนวดไปมาอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วจึงลงความเห็นว่าบัดนี้เขาไม่มีโอกาสให้เลือกทางอื่นนอกจากตกลงให้อีกฝ่ายเปลี่ยนตัวเจ้าสาวไปได้
“ดังนั้นอาเซียงจึงคิดว่าเราสมควรคิดหาแนวทางตบแต่งไปเสี่ยงอันตรายเช่นไรมิให้ฝ่ายเราขาดทุนเจ้าค่ะท่านพ่อ”
แน่นอนว่าหากคิดจะค้าขายไม่ให้ขาดทุนนางจะต้องรู้ว่า’ ศัตรู’ หมายเลขหนึ่งคือผู้ใด ตนเองและสกุลจางต้องเสี่ยงอันตรายใดบ้างจึงค่อยคิดถึงการค้าที่ไม่ขาดทุน
“ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าผู้ใดคือศัตรูแท้จริงของสกุลจางในยามนี้”
นางคิดว่าบิดาถึงเป็นนายอำเภอเล็กๆ ทว่าคนในมือย่อมมี แต่จะมีมากหรือน้อย และมีคุณภาพหรือไม่นั่นค่อยว่ากันอีกที จากคำตอบต่อไปนี้
“เป็นฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยที่ออกตัวรุนแรงเรื่องจะยัดเยียดบุตรสาวของคนที่เป็นองค์หญิงนามจ้าวหรูหลัน ส่วนอีกนางก็คือฝ่ายเหยียนเต๋อเฟยซึ่งวางหมากเอาไว้เป็นบุตรสาวบุญธรรมนามเหยียนเหม่ยซินที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของนางเช่นกัน”
...นับว่าศึกนี้ไม่เบาเลยสินะ...
ดวงตากลมสวยหรี่แคบลงอย่างใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนเห็นทีนางต้องไปพบหน้ากับ’ คู่ค้า’ สักหน่อยจึงจะคิดได้ว่าเรียกเท่าใดฝ่ายนางและสกุลจางจะไม่ขาดทุน
“เช่นไรท่านพ่อก็อย่าลืมส่งคนไปคุ้มกันท่านย่ากับพี่สี่นะเจ้าค่ะ อย่าวางใจเพราะผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครสังหารตัดปัญหาไปสักสิบชีวิตคนพวกนั้นล้วนไม่ต้องคิดมาก”
เพื่อไม่ให้บิดาสงสัยในตัวตนและนิสัยใหม่จางเยว่เซียงจำต้องแสดงตนเป็น’ นางเอกแสนดี’ สักยกย่อมดีกว่า ซึ่งจางเสียนอีก็หลงกลจริงเสียด้วยเพราะอดีตจางเยว่เซียงจะถูกท่านย่าและพี่สาวรังแกเพียงใดเด็กสาวก็ยังห่วงใยทั้งสองจนดูเป็นพวกเจ็บไม่รู้จักจำเท่าใดนัก
“ท่านพ่อช่วยส่งคนไปยังจวนหนานเฉิงกั๋วกงแล้วแจ้งว่าอาเซียงต้องการพบปะพูดคุยปรึกษาเรื่องงานวิวาห์ในอีกสามวันสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
หากไม่พบหน้านางมิอาจหยั่งเชิงและเล่ห์กลของอีกฝ่ายไปได้เป็นแน่ถึงนางไม่ใช่คนฉลาดมากมายอันใดแต่เรื่องการมองสีหน้าคนย่อมมีความสามารถอยู่บ้าง
“เจ้าจะไปพบหนานเฉิงกั๋วกงด้วยตนเอง?!”
เด็กสาวขี้กลัวผู้หนึ่งเพียงถูกฟาดศีรษะไปหนึ่งครั้งไยจึงมีความกล้าเผชิญหน้ากับบุรุษร้ายกาจมากกลโกงเช่นสวีฉีเฟิ่งไปได้เช่นนี้เล่า?
“ท่านพ่อเข้าใจผิดแล้ว อาเซียงหมายความว่าให้ท่านพ่อส่งคนไปนัดเขาแน่แท้ว่าต้องให้ท่านพ่อออกหน้าไปด้วยสิเจ้าค่ะ”
จางเยว่เซียงเร่งพลิกลิ้นเนื่องจากกลัวว่าคนฉลาดเช่นจางเสียนอีนั้นจะสงสัยเอาได้เพราะคนโง่นุ่มนิ่มผู้หนึ่งต่อให้สมองไม่ปกติจากสาเหตุศีรษะถูกฟาด แต่จะกล้าแกร่งไปพบบุรุษเพียงลำพังหากเป็นนางก็ย่อมมีข้อสงสัยเป็นแน่
“อ้อ...เช่นนั้นหรอกหรือ ได้สิประเดี๋ยวท่านพ่อส่งคนไปเชิญหนานเฉิงกั๋วกงมาพูดคุยที่จวนของเราย่อมสมควรกว่าเช่นไรฝ่ายเราก็เป็นสตรีที่สำคัญเจ้าเองก็เพิ่งฟื้นคืนสติเช่นไรเขาย่อมปฏิเสธมิได้เป็นแน่”
ฟังคำของท่านนายอำเภอจางเสียนอี นางจึงเริ่มรู้สึกตัวว่าสถานที่แห่งนี้คือยุคโบราณ ตนเองจะเดินไปขอเจรจากับบุรุษโดยตรงมิได้ ยิ่งนางกับอีกฝ่ายใกล้จะตบแต่งให้แก่กันยิ่งพบกันเพียงสองต่อสองมิได้เด็ดขาด
“เช่นนี้อาเซียงขอตัวไปเตรียมของว่างเอาไว้รับรองแขกก่อนนะเจ้าค่ะท่านพ่อ”
จางเยว่เซียงกำลังเรียงลำดับภาพในศีรษะว่าอดีตของกายนี้นางถนัดทำของว่างชนิดใดบ้างก็ได้ความว่าบิดานั้นชอบกินกุ้ยช่ายไส้หน่อไม้อย่างยิ่งเลยตกลงใจว่าวันนี้นางจะทำของโปรดของบิดาแทนที่จะทำของที่’ แขก’ นั้นชมชอบ มิใช่อันใด เป็นเพราะนางเองนั้นก็ไม่ทราบว่าคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงชอบกินสิ่งใดนั้นเอง
“อืม...ไปเถิด”
ท่านนายอำเภอจางมองตามกายอรชรของบุตรสาวคนรองซึ่งยังมีชีวิตอยู่จนนางลับหายไปจากบานประตู ความสงสัยมีเต็มเปี่ยม แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าให้จางเยว่เซียงเฉลียวฉลาดเช่นนี้ย่อมดีกว่าจางเยว่เซียงผู้อ่อนแอและซื่อบื้อเช่นเดิมในอดีต ถึงสิบส่วน
เพราะเขาเองย่อมรู้ ปฏิเสธไปย่อมไม่ได้หากบุตรสาวเป็นคนอ่อนแอไม่เท่าทันสามี เกรงว่าตบแต่งออกไปเขาคงถึงกับนอนตายตาไม่หลับเสียเป็นแน่ ก็คนเช่นสวีฉีเฟิ่งนั้นเขาคือ’ พ่อค้า’ อย่างแท้จริงการค้าใดเขาจะขาดทุนบุรุษหนุ่มมากเล่ห์ผู้นั้นล้วนไม่เคยวางใจลงทุนเด็ดขาด
ที่สำคัญข่าวมีมานานต่อความอำมหิตไร้ดวงใจของหนานเฉิงกั๋วกงผู้นั้นถึงการสังหารคนทิ้งหากมาขวางเส้นทางของเขา ต่อให้สวีฉีเฟิ่งนั้นเขาไม่ใช่ขุนนางบุ๋นและบู๊ ทว่าทั้งกำลังคนและอำนาจบุรุษวัยคราวลูกผู้นั้นมีก็มิใช่จะธรรมดา หาไม่ฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยและเหยียนเต๋อเฟยจะอยากดึงเขาไปอยู่ฝ่ายตนเองไปไย
ในเมื่อสวีฉีเฟิ่งมีทั้งอำนาจ กำลังคน ไปจนถึงกำลังทรัพย์สิน ต่อให้เป็นฝ่ายสกุลเยี่ยของฝ่ายเยี่ยฮองเฮาหากคิดแข็งข้อยังทำได้ยากเลย เช่นนี้เขาจึงเนื้อกายหอมฟุ้งทั้งที่ขึ้นชื่อด้านความใจดำอำมหิตขนาดพี่ชายร่วมบิดาของเขาเองยังสังหารเพื่อยื้อแย่งผู้นำสกุลสวีเพียงคนเดียวได้อย่างไร
“ข้าก็คาดหวังเพียงเจ้าจะมากปัญญาเช่นนี้ตลอดไปนะอาเซียง”
ชายสูงวัยที่ผ่านทั้งร้อนและหนาวมาไม่น้อยที่กังวลที่สุดก็มีเพียงกลัวว่าบุตรสาวคนกลางของตนเองอาจจะเพลี่ยงพล้ำให้กับความมากเล่ห์ล้านแผนการของหนานเฉิงกั๋วกงเท่านั้น ก็ชื่อเสียงของอีกฝ่ายมีมากพอๆ กับทรัพย์สินและความอำมหิตนั่นเลยทีเดียวเขายากจะวางใจหากจางเยว่เซียงโง่เง่าและอ่อนแอเช่นในอดีต