บทที่ 6 โจรขโมยบุปผา

3493 Words
รถม้าสกุลจ้าวอยู่ระหว่างทางกลับจวน หลี่ถิงถิงนั่งร่างกายโอนเอน แววตางามประหนึ่งมุกแห่งราตรีการทว่าไร้ชีวิตชีวาเหม่อมองออกไปยังฟากฟ้าไกลด้วยใบหน้าเศร้าหมอง แสงของอาทิตย์คล้อยต่ำลงบ่งบอกเวลาใกล้ยามสาย ระหว่างนึกถึงคำพูดก่อนจากจ้าวเฉียนยี่มา เขาได้ทิ้งหนึ่งประโยคเป็นคำตอบแก่นางเอาไว้ ‘ข้าอาจยังไม่สามารถรักเจ้าได้ แต่ข้าเป็นสามีที่ดีให้เจ้าได้อย่างที่เจ้าต้องการ’ หลี่ถิงถิงถอนหายใจ วางศีรษะพาดหน้าต่างรถม้า หวังให้ลมหนาวช่วยบรรเทาจิตใจที่มัวหมอง การที่นางถูกปฎิเสธทั้งที่เป็นการเผยความรู้สึกผ่านคำพูดครั้งแรกอาจดูเหมือนว่าจ้าวเฉียนยี่ใจร้ายกับนาง แต่หลี่ถิงถิงเข้าใจดี เราไม่สามารถบังคับจิตใจผู้ใดได้ ทำได้เพียงมอบความหวังดีและพยายามต่อไปจนสุดทางเท่านั้น นางมีความอดทนเป็นที่หนึ่งนี่อาจเป็นข้อดีของนาง ถึงเขาจะบอกว่าจะเป็นสามีที่ดีให้ได้แต่นางอยากได้ความรักต่างหาก เอาเถอะ คราวนี้นางได้ประเดิมหมดหน้าตัก หากเขายังเฉยชาต่อนางจนสุดท้ายนางจะไม่ยื้อขอความรักจากเขาอีก “จื่อลั่วช่วงเย็นวันนี้ข้าไม่รับอาหาร แต่เจ้าเตรียมสูตรน้ำแกงปลาไว้ให้ข้าที ข้าจะเข้าครัวช่วงก่อนค่ำ” หลี่ถิงถิงหลับตาหนึ่งตื่น แววตากระจ่างใสดุจแก้วกลับมาดังเดิมทำให้จื่อลั่วที่กังวลเกี่ยวกับคุณหนูของนางพลันใจชื้นขึ้นมาด้วย เพราะก่อนหน้าเดินกลับมาจากเข้าพบเสนาบดีจ้าว คุณหนูก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยไม่พูดจาไม่คล้ายคุณหนูคนเดิมจนจื่อลั่วกังวล “...ทำไมถึงเป็นช่วงก่อนค่ำเจ้าคะ” “อืม เพราะกำลังมีคนจะหนีหน้าข้าหน่ะสิ หึ” หลี่ถิงถิงยิ้มอย่างรู้ทัน เวลานางเข้าหาหนึ่งก้าวเขามันจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากได้ยินคำสารภาพกะทันหันทั้งยังชัดเจนเต็มสองรูหู สิ่งที่เขารับมือไม่ไหวทำให้คิดหนีหน้านางอยู่เป็นแน่ เมื่อก่อนนางคงปล่อยให้เขามีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ไม่ไปยุ่งเกี่ยว แต่วันนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้ว หากไม่รีบทำบุตรชะตาด้ายแดงคงไม่พ้นคลาดจากตามที่เจ้าอาวาสกล่าวไว้แน่ ..กระทั่งแสงดับลับฟ้า ยามค่ำคืนอันเงียบสงบ เสียงกระทืบเกือกม้าเข้ามาจอดเทียบหน้าสกุลจ้าว ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์สะท้อนในความสลัวอวดความงามกับแสงจันทร์เคลื่อนกายลงมาจากรถม้า ใบหน้างดงามคมคายฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ทว่าสายตากลับเสาะหาใครบางคนที่ควรยืนรออยู่ตรงนี้ แต่กลับไร้เงาของนาง “คุณชายรอง ให้บ่าวจัดโต๊ะรับประทานอาหารหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมหยูเจียงและหยุนฉีบ่าวใช้ข้างกายจ้าวเฉียนยี่โน้มกายทำความเคารพ ทั้งสองได้รับหน้าที่ออกมาต้อนรับ เป็นเช่นนี้เพราะหน้าที่นี้ควรมีฮูหยินร่วมอยู่ด้วย ก่อนคุณหนูหลี่แต่งเข้าจวน นางแวะมาที่เรือนบ่อยครั้ง และทุกครั้งจะออกมาต้อนรับจ้าวเฉียนยี่ด้วยตัวเอง ไม่ว่ามีสิ่งใดฉุดรั้งนางก็จะอดทนรอจนคุณชายรองกลับมายังจวน ให้ได้พบหน้าคุณชายรองของพวกเขาเพียงสักหน่อย นางถึงพอใจและกลับจวนตัวเอง ทว่าวันนี้คนที่ต้องออกมารอรับให้ได้แม้ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวกลับปล่อยให้พวกเขาทั้งสองออกมาต้อนรับ ส่วนเจ้าตัวหลังกลับมาจากเข้าวังได้จัดการบัญชีก่อนถึงหายเข้าห้องครัวไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ และสั่งไม่ให้ตั้งโต๊ะก่อน ตอนแรกหยูเจียงแปลกใจ แต่ตอนนี้ไขข้อสงสัยแล้ว ไม่คาดคิดว่าจ้าวฮูหยินจะรู้เวลากลับจวนคุณชายรอง ถึงได้เตรียมเข้าควรจัดอาหารในข่วงหัวค่ำเพื่อไม่ให้อาหารเย็นชืด ครั้นเห็นจ้าวเฉียนยี่เงียบอยู่นาน ทั้งยังหันซ้ายหันขวาแล้วชะโงกคอเล็กน้อยเข้าไปในจวน หยูเจียงถึงรู้ได้ว่าคุณชายรองกำลังมองหาฮูหยินอยู่ จึงยิ้มออกมาก่อนจะตอบสิ่งที่จ้าวเฉียนยี่แคลงใจแต่ละเรื่องที่ฮูหยินเข้าครัวไว้เนื่องจากถูกนางขอร้องมาก่อนหน้านี้ “หากคุณชายกำลังมองหาฮูหยิน ฮูหยินอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ” จ้าวเฉียนยี่ไม่ทันรู้ตัวถึงกับย่นคอกลับกระแอมไอแก้เก้อ ระหว่างทางกลับจวนเขากังวลเกี่ยวกับสตรีตัวเล็กผู้นี้จนปวดหัว ด้วยรู้ว่านางจะต้องมายืนรอรับยิ้มหน้าระรื่นเช่นทุกที แต่วันนี้กลับไม่เห็นเงา ความกังวลใจที่มีมากอยู่แล้วกลับมีมากขึ้นไปอีก ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากหลอกลวงนาง.. จ้าวเฉียนยี่คิดเช่นนั้นก่อนจะนึกถึงคำพูดของผู้เป็นบิดา ‘อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’ ..หากเป็นจริงดั่งคำที่ท่านพ่อว่า ไฉนท่านพ่อถึงไม่เคยมอบความรักให้ท่านแม่ในตลอดยี่สิบปีเล่า.. ทำให้ท่านแม่โหยหาความรักเช่นคนเสียสติ จนไม่ใยดีลูกเช่นจ้าวเสวี่ยซินผู้เป็นพี่สาวเลี้ยงเขา สุดท้ายยังออกจากจวนไปทิ้งไว้เพียงจดหมายเท่านั้น และท่านพ่อเองไม่แม้แต่จะถามไถ่ เมื่อรู้ข่าวก็เพียงตอบรับด้วยคำสั้น ๆ จ้าวเฉียนยี่ไม่คิดทำเฉกเช่นท่านพ่อให้ซ้ำรอย การพูดไปตามตรงไม่ให้ความหวังแก่นางเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ในตอนนี้ ทว่ายามนี้เขากลับกังวลใจเสียเอง.. “คุณชายรอง ให้บ่าวไปเรียนฮูหยินว่าท่านกลับมาแล้วหรือไม่ขอรับ” หยุนฉีถามขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายกังวลจนคิ้วผู้เป็นนายขมวดเป็นปม สายตาสอดส่องคล้ายไม่สอดส่องไปทางเรือนด้านใน หยุนฉีไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้จากคุณชายนับตั้งแต่แม่นางหลานอี้หนานจากเมืองไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮูหยินมีน้ำหนักในใจคุณชายรองบ้างแล้ว แต่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมเดินผ่านหน้าหยุนฉีไปทำเอาความคิดเข้าข้างฮูหยินชะงักค้าง “ไม่ต้อง ปล่อยให้นางได้พักผ่อน” นางอาจกำลังเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อทบทวน ไม่คิดอยากมาเจอผู้ใดแม้กระทั่งตัวเขาเอง “...” หยุนฉีรีบโค้งคำนับลงนอบน้อบยามจ้าวเฉียนยี่เดินผ่าน ร่างสูงเดินผ่านไปแล้ว ใบหน้าหยุนฉีเงยขึ้นแล้วจึงขมวดด้วยความไม่เข้าใจ เห็นอยู่กับตาว่าคุณชายเป็นกังวล มากเสียด้วย แต่แล้วหยุนฉีกลับไม่เป็นกังวลอย่างที่ควรนัก เพราะในไม่ช้าคุณชายคงได้คุยกับฮูหยินให้คลายกังวล เมื่อฮูหยินเองก็รอคุณชายรองอยู่ในเรือนแล้ว.. แต่อีกคนกลับยังไม่รู้เรื่อง ยังคงคิดว่าแม่นมหยูเจียงได้จัดการเรื่องที่เขาสั่งเอาไว้ว่าให้จัดเรือนนอนให้แก่ฮูหยินอีกหลังหนึ่ง.. เสียงประตูเรือนเปิดขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นไม้จนเกิดเสียงเป็นจังหวะ หน้าประตูเรือนสว่างด้วยคบเพลิง แต่ด้านในกลับมืดสนิทไร้แสงเทียน มีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์คอยส่องนำทาง ปกติจะได้หยุนฉีเป็นคนจุดเทียนรอไว้ตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด น่าแปลกใจ คนที่มีความรับผิดชอบเช่นหยุนฉีจะทำพลาดได้ กระนั้นจ้าวเฉียนยี่คล้ายไม่ใส่ใจนัก เงาตะคุ่มสูงใหญ่เดินเข้ามาภายในห้องส่วนตัว ผ่านอ่างล้างหน้ามีผ้าสีขาวพาดอยู่และโต๊ะอาหารที่มีอาหารจัดวางจนเต็มโต๊ะไปยังฉากกั้น ด้วยคิดว่าเป็นแม่นมหยูเจียงสั่งให้บ่าวใช้ในเรื่อนเตรียมมาไว้ให้เขา แต่ก็น่าแปลกที่ไม่ยอมจุดเทียนให้ หรือคืนนี้ลมแรงจนพัดเทียนดับ.. จ้าวเฉียนยี่ครุ่นคิดระหว่างลงมือปลดผ้าออกทีละชิ้น ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันทั้งยังไม่คลายความกังวลเรื่องของหลี่ถิงถิง เขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาจุดเทียนทีละเล่ม อยากล้มตัวนอนลงเลยเสียมากกว่า เสียงผ้าถอดหล่นกองลงบนพื้นกับเงาดำขยุกขยิกอยู่หน้าฉากกั้นพาให้อีกคนภายในห้องเริ่มหายใจติดขัด ดวงตากลมใสในความมืดกระพริบปริบ ๆ ขยับมองตาม ถอดลงหนึ่งชิ้นตากลมถลึงเบิกกว้างหนึ่งที ..จะ..จ้าวเฉียนยี่กำลังถอดชุดต่อหน้าข้า ! “...” เจ้าของดวงตาใสในความมืดหากได้แสงจันทร์กระทบส่องคงจะได้เห็นใบหน้างดงามแดงซ่านเพียงใด! ก่อนหน้านี้หลี่ถิงถิงนั่งรอจ้าวเฉียนยี่จนเผลอหลับไป สะดุ้งตื่นเพราะลมพัดใส่หน้าต่างปิดเสียงดังสนั่น แรงลมพัดเทียนในห้องให้ดับทั้งห้องจึงเหลือเพียงความมืดและแสงสลัวจากภายนอก หลี่ถิงถิงที่เด้งตัวลุกขึ้นมาเกือบหลุดร้องเสียงดัง ยังดีที่ใช้มือปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน กวาดสายตามองรอบห้องเห็นว่าเทียนดับจึงตั้งใจจะลุกเรียกจื่อลั่วให้นำไฟมาจุดให้ ก้าวลงจากเตียงได้ข้างนึงแล้วพลันต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ผ่านหน้านางไปยังฉากกั้นและกำลังถอดเสื้อผ้า หญิงสาวคอแห้งผากรู้สึกอยากจิบน้ำให้ใจชื้นขึ้นสักหน่อย เนื่องจากใจของนางกำลังเต้นระส่ำคล้ายหลุดออกจากอกเสียให้ได้ เมื่อยามนี้แผ่นหลังเปลือยเปล่ามีมวลมัดกล้ามเปิดเผยผ่านแสงสลัวอยู่เบื้องหน้านาง ส่วนปีกหลังทั้งสองข้างขนัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อบีบให้เกิดร่องกลางหลังสุดกร้าวใจ ไม่พอช่วงบ่าเองก็สง่างามผึ่งผ่ายช่วงเอวหนาเป็นสอบทำให้ดูหนักแน่น.. “ฮึก!” จู่ ๆ นางก็สะอึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น! ร่างสูงที่กำลังเตรียมถอดส่วนล่างชะงักฉับพลัน หลี่ถิงถิงตกใจรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง อยากตำหนิความกร้าวใจของสามีทำเอานางหายใจผิดจังหวะจนกลายเป็นสะอึก จ้าวเฉียนยี่ชะงักเมื่อสักครู่เหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงนิ่งเพื่อตั้งใจฟังให้ชัดเจนอีกครั้ง “....” ด้านหลี่ถิงถิงพยายามแล้วที่จะกลั้นใจไม่ยอมสะอึกอีกรอบแต่ทว่า “ฮึก!” เสียงสะอึดดังรอดผ่านฝ่ามือแล็ก จ้าวเฉียนยี่ที่ได้ยินชัดเจนในครั้งที่สองก้าวเท้ายาวเพียงหนึ่งก้าว คว้าดาบที่อยู่ใกล้มือที่สุดได้ก็ชักออกมาตรงปรี่ไปยังต้นทางของเสียงนั่นคือที่ตั่งด้านหลัง คว้าเอาร่างใครบางคนทุ่มลงบนเตียงพร้อมกับดาบพาดจ่อลำคอ “ใครส่งเจ้ามา!” เสียงทุ้มเยือกเย็นแผดลั่นด้วยตำแหน่งและหน้าที่คงไม่แปลกนักที่จะมีคนคิดเกลียดชัง ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งลมหายใจ หลี่ถิงถิงใจเต้นแรงทั้งเขินทั้งกลัวรีบเผยตัวตน “กรี๊ด! ขะ..ข้าเองเจ้าคะ! หลี่ถิงถิงเจ้าค่ะ!!” “ถิงถิง?” ครั้นได้ยินเป็นเสียงหวานคุ้นเคย ประกอบกับสายตาเริ่มชินในความสลัวจึงดวงหน้างามกำลังตื่นตระหนก ดาบที่กำลังจ่อคอนางอยู่จึงผ่อนลงและคลายออกรวดเร็ว จ้าวเฉียนยี่ทวนชื่อนางเสียงค่อยด้วยความตกใจ ที่ตกใจเป็นเพราะเวลาดึกเช่นนี้นางมาทำอะไรในห้องของเขา ไม่ใช่ว่าแม่นมหยูเจียงจัดเรือนไว้สำหรับนางแล้วหรือ “จะ..เจ้าค่ะ” หลี่ถิงถิงพยักหน้ารัว มองตามดาบที่เกือบจิ้มคอของนางอย่างฉิวเฉียดเคลื่อนออกไปก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เผลอลูบคอตัวเองปอย ๆ จ้าวเฉียนยี่เก็บดาบ ใช้สายตาลอบมองลำคอขาวเพื่อดูให้แน่ใจว่านางไม่มีบาดแผลจากเมื่อครู่อยู่หลายครั้ง และเมื่อมั่นใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนจึงเบาใจแล้วหันกลับมายังคนตาใสที่จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน นางคิดว่าทำท่าทางใสซื่อเช่นนี้แล้วจะไร้ความผิดหรือ? “เหตุใดจึงอยู่ที่นี่ เรือนของเจ้าข้าให้แม่นมหยูเจียงจัดเตรียมเอาไว้ให้แล้วไม่ใช่หรือ หรือแม่นมหยูเจียงจะอายุมากเกินไป ไม่เข้าใจคำสั่งของข้าแล้ว” กล่าวเสียงเข้มแล้วกอดอก โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพล่อแหลมที่สามารถฆ่านางให้ตายได้ ให้ตายสิ! “ทะ..ท่านเสนาบดี เป็นข้าเองที่ดึงดันขอเข้ามาไม่ใช่ความผิดของนาง แม่นมหยูเจียงแจ้งแก่ข้าแล้ว แต่ข้าดื้อรั้นไม่ฟัง หากท่านยังบังคับให้ข้าแยกเรือนนอนกับท่านมันจะไม่ส่งผลเสียหรือ ท่านลองคิดดูสิหากคนอื่นรู้จะคิดเช่นไร ทั้งท่านและข้ารวมถึงสกุลจ้าวคงถูกเอาไปพูดถึงสนุกปาก ต่อให้ท่านกำชับบ่าวใช้ในจวนแล้วก็ตาม แต่ไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้” “..เจ้าเลยลอบเข้ามากระทั่งยามวิกาลเช่นนี้ ในห้องของบุรุษ และยังแอบดูเขาเปลี่ยนผ้าด้วย?” หลี่ถิงถิงเบือนสายตาจากกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวยกัดฟันจนแน่น ด้วยสถานการณ์เป็นใจให้นางกลายเป็นโจรขโมยบุปผา เทียนดับมืดสนิทแล้วยังลอบมองเขาถอดเสื้อผ้าจนเหลือเพียงช่วงล่างตัวเดียว มองยังไงนางก็ดูคล้ายคนคิดมิดีมิร้ายชัด ๆ ! ด้านจ้าวเฉียนยี่ น้ำเสียงไม่คล้ายตำหนิเช่นคำพูด ไม่รู้เพราะสีหน้าเลิ่กลั่กราวกับแมวจนตรอกของนางหรือไม่ มุมปากถึงกระตุกยิ้มอย่างนึกขัน สายตาอ่อนลงคล้ายเอ็นดูนางมากกว่าที่คิด เป็นสตรีใจกล้าแต่กลับเขินอายเสียเอง “ท่านถอดให้ข้ามอง ข้าก็ต้องมองเจ้าค่ะ !” กว่าหลี่ถิงถิงจะคลำหาเสียงตัวเองเจอต้องงมหาสักพักใหญ่ นางกระพริบตาปริบ ๆ เม้มปากจนเป็นเส้นตรงขณะเหลือบตามองคนด้านหลังเป็นระยะ และยิ่งเห็นว่าเขากำลังจ้องอยู่ก็พลันหยุดหายใจขึ้นมาดื้อ ๆ ! ด้วยเสียงหวานแหลมสูงกว่าปกติทำเอาจ้าวเฉียนยี่คิ้วกระตุก ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของนางเป็นครั้งแรก ดวงตาคมกล้าเป็นประกายคล้ายสนอกสนใจในท่าทีแปลกใหม่ของคนตัวเล็ก อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากแกล้งนางสักหน่อย “เช่นนั้นก็มอง” “!!” ไม่พูดเปล่ายังเคลื่อนกายมาหยุดตรงหน้านาง ย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระยะเดียวกับสายตาของหลี่ถิงถิง ภายในเสี้ยวหนึ่งลมหายใจที่ใบหน้าคมคายเวลานี้ฉายแววขี้เล่นเป็นอันตรายต่อเหล่าสตรีโน้มเข้ามาใกล้ สตรีที่อวดเก่งคิดรวบหัวรวบหางเขาเช่นนางถึงกับลมจับ มือเล็กที่วางไว้บนตักกำลังกำผ้าของตัวเองจนยับยู่ยี่ สายตาสบประสานกันราวกับไม่มีผู้ใดยอมใคร แต่หารู้ไม่ว่าหลี่ถิงถิงสติขาดหายขาวโพลนไปก่อนหน้านี้แล้ว กว่าจะเรียกสติกลับคืนได้ก็เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากคนตรงหน้า “หึ” “!!” หึ งั้นหรือ... สายตาของจ้าวเฉียนยี่ประหนึ่งกำลังบอกว่านางเป็นผู้ตกหลุมพลาง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคมคายช่างดูแสนร้ายกาจและเจ้าเลห์คล้ายต้องการกลั่นแกล้งกับใจของนางให้แดดิ้นตาย! หลี่ถิงถิงตาพร่าเบลอ น้ำเสียงเปร่งออกมาตะกุกตะกักเสียจนมีพิรุธ “จ..จะว่าไปแล้ว ท่านกลับมาช้าคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ข้าเตรียมอาหารไว้ให้ มากินสักหน่อยเถอะ” “หืม..” คนตัวโตลากเสียงยาวในลำคอ ขณะมองร่างเล็กบนเตียงดีดตัวลุกขึ้นรวดเร็ววิ่งแจ้นหนีไปทางโต๊ะรับประทานอาหารกลางห้อง มือเล็กสั่น ๆ หยิบถ้วยขึ้นมาเตรียมตักข้าวขาวลงไป จ้าวเฉียนยี่ยังแอบเห็นนางหยิกพวงแก้มขึ้นสีกุหลาบตัวเองหนึ่งที ชายหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะ กระทั่งเพิ่งรู้สึกตัวว่าช่วงเวลานี้เขายิ้มได้และหัวเราะมากกว่าช่วงหลายปีมานับรวมกันเสียอีก เพราะนางงั้นหรือ.. ดวงตาคมกล้าถอดมองยังสตรีร่างเล็ก เพราะดวงหน้างดงามไร้ที่ติ? หรือเรียวคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นระหว่างตักข้าวเพิ่มให้จนพูนราวกับกลัวว่าหากเขากินน้อยไปแล้วจะไม่อิ่ม? หรือกลีบปากสีกุหลายอวบอิ่มที่บ่นพึมพำเมื่อเห็นว่าน้ำแกงที่เตรียมเอาไว้เริ่มเย็นชืดลง? “จ้าวเฉียนยี่ รีบมาทานก่อนมันหายร้อนเถอะ” หรือเป็นเพราะสีหน้ากังวลคล้ายร้องไห้ราวกับใต้หล้าจะดับสูญของนางที่ทำให้ตอนนี้มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นบางเบาอีกครั้ง จ้าวเฉียนยี่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขายิ้มและหัวเราะมากเพียงใดเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับนาง.. ขาเรียวยาวก้าวไปตามคำสั่งนางอย่างว่าง่าย รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็กระทบความเย็นจากไม้ของเก้าอี้เสียแล้ว และเหมือนภาพย้อนจากความทรงจำตั้งแต่ได้รู้จักกับหลี่ถิงถิง กับข้าวถูกนางตักให้เสียจนเต็มถ้วย และไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรตัวจ้าวเฉียนยี่เองก็ตักกินจนหมดไม่ขัดนางหรือบ่นสักคำ ชายหนุ่มคีบเนื้อปลาปรุงรสรสชาติแปลกลิ้นเข้าปาก ทบทวนรสชาติอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเห็นว่าคนตัวเล็กเท้าคางมองเขาตาใส ส่วนข้าวของนางไม่พล่องลงเลยแม้แต่น้อยจึงได้เอ่ยขึ้น “เจ้าเองก็ทานด้วยสิ” “เห็นท่านทานได้มากข้าก็อิ่มไปด้วย” “..เช่นนั้น หากข้าทานน้อย เจ้าจะยอมทานเผื่ออีกส่วนของข้าหรือไม่” จ้าวเฉียนยี่วางตะเกียบลง สำรวจนางถี่ถ้วน นางตัวเล็กบอบบางเสียเขากลัวเหลือเกินว่านางจะถูกลมแรงในฤดูฝนหาบหายไป ด้านหลี่ถิงถิงได้ฟังถ้อยคำบุรุษในดวงใจกล่าวประโยคชวนให้คิดไกล จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้า “อะไรกัน ที่แท้สามีเป็นห่วงข้า อยากให้ข้าเจริญอาหาร เช่นนั้นท่านก็ป้อนข้าสักหน่อยสิ ทุกคำที่ท่านป้อน ถิงถิงจะทานให้หมด” หญิงสาวยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เอียงคอชายตามองคนตัวโตข้างกาย คำพูดนางเพียงกล่าวไปเลื่อนลอยเช่นนั้นเอง ไม่เคยหวังเกินตัวให้เขากระทำเฉกเช่นสามีภรรยากันจริง ๆ ทว่าจู่ ๆ จ้าวเฉียนยี่กลับทำสิ่งตรงข้ามความคิดนางอย่างสิ้นเชิง “อ้าปากเจ้าสิ” น้ำเสียงทุ้มพูดขึ้น ใบหน้ายังคงเรียบเฉย แต่การกระทำกลับทำให้อีกคนใจเต้นระรัว “!” หลี่ถิงถิงอ้ำอึ้งตกตะลึงตั้งแต่รู้สึกถึงความร้อนของเม็ดข้าวและกลิ่นหอมเคลื่อนเทศจากเนื้อหมูผัดน้ำมันสัมผัสริมฝีปากล่าง นี่คือความฝันใช่หรือไม่..?! “ข้าป้อนเจ้าแล้ว ไฉนฮูหยินจึงไร้น้ำใจไม่ตอบรับไมตรีสามีเช่นข้า” ในน้ำเสียงคล้ายขบขันอยู่ในที พูดขึ้นด้วยเห็นว่าฮูหยินของเขาแข็งค้างอยู่หลายนาที แววตาฉายชัดถึงความเอ็นดูในตัวนาง “ทะ..ทาน ทานเจ้าค่ะ!” หลี่ถิงถิงไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อได้ยินเสียงจ้าวเฉียนยี่เรียกสติ ก็รีบปิดหูปิดตาอ้าปากรับข้าวคำนั้นเข้ามาเคี้ยวตุ้ย พยายามกลืนความหนืดลงคอแล้วจิบน้ำไปอึกใหญ่ ก่อนจะหันกลับมาและเห็นว่ามีข้าวอีกหนึ่งคำรอนางอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวกัดริมฝีปากเสียแน่น แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงทะลุออกมาจากอก สุดท้ายการรับประทานอาหารค่ำก็จบลงด้วยที่นางนั่งเจี๋ยมเจี้ยมคอยรับอาหารที่จ้าวเฉียนยี่ป้อนเข้าปาก นางถูกป้อนจนท้องแข็งท้องตึงไปหมด แต่เมื่อเห็นท่าทางตั้งใจป้อนของจ้าวเฉียนยี่นางจึงต้องจำใจรับอาหารเข้าปากจนหมด! หลี่ถิงถิงยามนี้มีอารมณ์หลากหลายเกินกว่าจะนับ ทั้งงุนงง สับสน ไม่พอใจยังเต้นระส่ำไม่หยุด.. ก่อนจะคิดในใจว่า หากสิ่งใดกำลังเข้าสิงจ้าวเฉียนยี่อยู่ นางก็ขอภวานาให้สิ่งนั้นอยู่นาน ๆ ไปเลยแล้วกัน ฮึ่ม!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD