บทที่2
หานซางจื่อนั้นปล่อยใจให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของนางไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยคิดว่าเมื่ออายุครบสิบเก้าหนาวหากนางยังไม่แต่งงานออกเรือนไปกับคุณชายสกุลใดก็จะสามารถออกไปทำการค้าเป็นของตนเองได้แล้วไม่จะเป็นต้องอาศัยและพึ่งพาบารมีของบิดาอีกแต่ใครจะคาดวันนั้นจะทำลายความฝันของนางไปจนสิ้นยากจะหวนคืนกลับมาได้อีกต่อไป
“หากเจ้ารับปากแต่งงานกับซู่จิ้งอ๋องเปิ่นกงรับรองว่าพี่ชายคนรองของเจ้าจะได้แยกจวนและมีตำแหน่งในกองทัพมั่นคงและไม่น้อยหน้าคุณชายใหญ่หานแน่นอน”
วันนั้นนางถูกซ่งฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็น‘เสด็จป้า’เรียกตัวมาเข้าเฝ้าตั้งแต่ท้องฟ้าของ‘มหานครจิ้งหยาง’ยังไม่กระจ่างแต่สาวน้อยไม่คิดเลยจริงๆ ว่าการเข้าเฝ้าในวันนั้นจะเป็นการบีบคั้นให้นางแต่งงานกับบุรุษที่มีสตรีอื่นในดวงใจอยู่แล้วจนได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือข้อแลกเปลี่ยนอันเย้ายวนใจที่ซ่งฮองเฮาเสนอให้ขณะนั้นต่างหากที่ทำให้หานซางจื่อนั้นหนักใจ เด็กสาวอยากจะเห็นแก่ตัว อยากจะปฏิเสธออกไปใจแทบขาด แต่ความลำบากใจของผู้เป็นพี่ชายและมารดานั้นมันก็รบกวนจิตใจของสาวน้อยอยู่มากโขทีเดียวการเป็นคุณรองที่เกิดจากฮูหยินรองของหานซางอวี่ไม่ได้ดีเด่นอันใด
“หลายปีมานี้ในสกุลหานของบิดาเจ้านั้นคาดว่าท่านแม่ของเจ้าด้วยฐานะฮูหยินรองต้องลำบากและอดทนเพียงใดเปิ่นกงคงไม่ต้องอธิบายอันใดเจ้าย่อมรู้แจ้งมิใช่หรือ ไหนจะพี่ชายของเจ้า คุณชายรอง หานซางอวี่ผู้นั้นก็อีก ต่อให้เก่งกาจฉลาดเฉลียวเพียงใดสุดท้ายก็ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคุณชายใหญ่ หานเจาจงมีใช่หรือ แต่หากเจ้ายอมรับข้อเสนอของเปิ่นกง แต่งงานไปเป็นพระชายาของซู่จิ้งอ๋องเท่านั้น จวนใหม่ ที่ดิน ทรัพย์สิน กับยศศักดิ์ในกองทัพของพี่ชายคนรองของเจ้านั้นเปิ่นกงล้วนจัดสรรให้ได้ทั้งหมดคิดดูให้ดีนะซางจื่อ”
ซ่งฮองเฮากล่าวออกมาอย่างใจกว้างแต่ความจริงก็คือ นางแค่หวังถึงผลงานใหญ่กำจัดเสี้ยนหนามให้กับบุตรชายของตนเองเช่นองค์ไท่จื่อจ้าวหลงเฉิน เท่านั้นยอมสูญเสียเพียงเท่านี้นางนับว่าเล็กน้อยอย่างยิ่งและการส่งหานซางจื่อไปอยู่ข้างกายของจ้าวเหลียงอี้เอาไว้นางจึงค่อยสบายใจได้อยู่บ้าง
“หม่อมฉัน…”
หานซางจื่ออัดอั้นตันใจอย่างยิ่งเพราะการตัดสินใจของนางมันสำคัญกับมารดาและพี่ชายไม่น้อย เพราะมันคือความสุขทั้งชีวิตของหานซางอวี่ บุรุษที่ไร้อำนาจก็เปรียบเสมือนงูที่ไม่มีพิษ พยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บ ช้างที่ไม่มีงา เปรียบเสมือนนกที่ถูกเด็ดปีกสิบหกหนาวในจวนสกุลหานเป็นเช่นไรนางย่อมรู้แจ้งจริงดังที่ซ่งฮองเฮากล่าวมาทั้งหมด
“ดื่มน้ำชานี่ก่อนสิซางจื่อ”
เหงื่อกาฬของเด็กสาววัยสิบหกพลันไหลซึมเต็มแผ่นหลังน้ำชาส่งกลิ่นหอมชวนกระหายแต่หานซางจื่อกลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้วมือยื่นออกไปรับถ้วยน้ำชาหรูหราใบนั้นราวอึดใจหนึ่งเลยทีเดียว กว่านางจะดึงสติแล้วควบคุมตัวเองจนสามารถฝืนใจยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำชามาดื่มลงท้องไปได้ในท้ายที่สุดด้วยมือที่ถูกบังคับให้มั่นคงและสงบนิ่ง
“ดีมาก หึ หึ หึ ดียิ่ง!”
แววตาของซ่งฮองเฮากระจ่างไปด้วยความอำมหิตจนหานซางจื่อรู้สึกหนาวสะท้าน แต่กลับยังซ้อนทุกกิริยาเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน แต่เพียงครู่สาวน้อยก็รับรู้ได้ช้าๆ ว่าน้ำชาถ้วยเมื่อครู่มีปัญหาเข้าแล้ว
“!!!?”
“ก็แค่… ‘น้ำค้างเหมันต์’ เท่านั้น ซางเอ๋อร์ หากเจ้าเป็นเด็กดียอมแต่งงานกับซู่จิ้งอ๋อง เพียงสามฤดูหนาวเปิ่นกงสัญญาว่าจะถอนพิษให้เจ้า และตลอดเวลาระยะสามหนาวก่อนที่เจ้าจะหย่าขาดหรือกำจัดซู่จิ้งอ๋องไปได้เปิ่นกงกล้ารับประกันว่าจะให้ยาบรรเทาอาการหนาวเข้ากระดูกแก่เจ้าไม่ขาดแน่นอน ส่วนเรื่องพี่ชายกับมารดาของเจ้านั้นแน่นอนว่าทุกสิ่งย่อมเป็นไปดังที่เปิ่นกงกล่าวไปตั้งแต่แรกเริ่มทุกประการขอเพียงเข้า ‘ยินยอม’เท่านั้น”
เป็นเช่นนี้นางจะยังมีทางเลือกใดได้อยู่อีกหากไม่ตกลง ‘น้ำค้างเหมันต์’นี้เป็นยาพิษที่ร้ายกาจเพียงใดมีหรือหานซางจื่อจะไม่กระจ่างและยิ่งกว่ากระจ่างก็คือฤทธิ์ของมันที่แสนจะโหดร้ายหากผู้ถูกพิษร้ายได้ตายลงในทันทียังนับว่าปรานีกันอยู่แต่น้ำค้างเหมันต์นี้กลับเป็นยาพิษที่เหี้ยมโหดกว่านั้นยิ่งนักเนื่องจาก ‘น้ำค้างเหมันต์’นั้นจะสำแดงฤทธิ์เดชทุกสิบห้าวันด้วยอาการหนาวเหน็บกัดกินลึกไปถึงกระดูกหากไร้ยาบรรเทาพิษที่จะมีเพียงผู้วางยาเท่านั้นที่มีถึงนางไม่กลัวตายก็จริงแต่ความเจ็บปวดนั้นผู้ใดต้องการสัมผัสกันเล่า?
“ตกลงเพคะ!”
นั่นย่อมเป็นคำตอบที่ซ่งฮองเฮาแสนจะพึงใจอย่างยิ่ง ทว่าหานซางจื่อนั้นกลับกล้ำกลืนฝืนทนเหลือแสนก็ผู้ใดเล่าจะอยากตกไปอยู่ตรงกลางระหว่างหมากช่วงชิงอำนาจของพวกราชวงศ์สตรีอีกหลายคนอาจมีบ้างที่พึงใจที่จะได้เป็นสตรีของซู่จิ้งอ๋องแต่นางผู้หนึ่งกลับไม่เคยคิดต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหากแต่สุดท้ายต่อให้ในใจของเด็กสาวไม่ต้องการแต่กลับไร้อำนาจจะไปต่อกรกับสตรีอันดับหนึ่งแห่งเทียนสุ่ยไปได้
ดังนั้นแล้วในวันนี้นางจึงต้องมาอยู่ในฐานะยากลำบากดังที่เห็นเป็นพระชายาที่สวามียิ่งกว่าชิงชังคงไม่ต้องกล่าวถึงมารดาของสวามีเช่นเฝิงกุ้ยเฟย วันนี้สำหรับสตรีอื่นคงเป็นวันชื่นคืนสุขแต่สำหรับหานซางจื่อกลับเป็นก้าวแรกที่เดินลงสู่ขุมนรกอันลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึงความลึกลับกับภัยต่างๆ ที่รอคอยอยู่ตรงหน้า
นางตกมาอยู่แทรกกลางระหว่างความขัดแย้งและแย่งชิงของฝ่ายของเฝิงกุ้ยเฟยกับซ่งฮองเฮานางพญาหงส์ทั้งสองจิกตีต่อสู้กันที่ย่อยยับเกรงว่าจะเป็นนางแต่เพียงผู้เดียวแล้ว แต่เมื่อเลือกไม่ได้นางก็มีเพียงเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยสติที่มั่นคงจึงยังพอจะเห็นหนทางรอดอยู่ไกลโพ้นอยู่บ้าง
ยังดีที่หลังจากนางยอมรับปากและฮ่องเต้พระราชทานสมรสเป็นที่แน่นอนแล้วก่อนนางถูกซ่งฮองเฮารับตัวเข้าวังไปเรียนรู้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติของชาวราชวงศ์ สตรีอันดับหนึ่งแห่งเทียนสุ่ยก็ยังรักษาสัญญามอบตำแหน่งให้หานซางอวี่ผู้เป็นคุณชายรองและเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนางพร้อมทั้งจวนกับที่ดินอีกห้าร้อยหมู่มารดาของนางจึงไม่ต้องทนอยู่ในจวนสกุลหานของบิดาอีกต่อไป
เพียงเท่านี้หานซ่างจื่อก็นับว่าสบายใจแล้วถึงพี่ชายกับมารดาจะต้องไปอยู่ไกลถึงแคว้นหย่งโจวแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคุณชายใหญ่และฮูหยินใหญ่ในจวนหนานไค่กั๋วกงยิ่งสองหนาวที่ผ่านมาบิดาของพวกนางร่างกายอ่อนแอสามวันดีอีกสี่วันกลับป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อด้วยแล้วฐานะของพวกนางทั้งสามชีวิตก็ยิ่งลำบากราวกับตกขุมนรกก็มิปานต่อให้บัดนี้ตนเองจะเป็นเพียงย้ายนรกขุมใหม่แต่พี่ชายกับมารดาหลุดพ้นหานซางจื่อก็พอจะยอมรับได้อยู่บ้าง
“พอแล้วละเปิ่นหวางเฟยหิวมากแล้วอาบเพียงเท่านี้เถิดถิงเฟย ซูผิง”
หลังจากปล่อยใจล่องลอยไปไกลถึงอดีตอันแสนขมขื่นและปวดร้าวอย่างแสนสาหัสอยู่ครู่ใหญ่หานซางจื่อก็ทนหิวไม่ไหวจึงยุติการอาบน้ำแต่เพียงเท่านั้นและเมื่อนางออกมายังห้องหออีกครั้งอาหารร้อนๆ ก็เตรียมพร้อมพอดี
“พวกเจ้าก็มากินเสียด้วยกันเลยสิอาหารมากถึงเพียงนี้เปิ่นหวางเฟยคงกินแต่เพียงผู้เดียวไม่หมดเป็นแน่”
ทรุดกายลงนั่งแล้วหานซางจื่อจึงเอ่ยปากชวนนางกำนัลทั้งสองรวมไปถิงเฟยคนสนิทของตนเองด้วย แต่ทั้งหงเจี๋ยและซูผิงต่างเร่งรีบออกปากปฏิเสธอย่างว่องไว
“มิได้เพคะพระชายาหาน หากเหลิ่งกงกงทราบเรื่องเข้าพวกเราจะถูกโบยอย่างหนักเรื่องกฎเกณฑ์นี้ที่ตำหนักซู่จิ้งอ๋องไม่เคร่งครัดก็จริงแต่ขณะนี้เหลิ่งกงกงกับแม่นมจางต่างเคร่งครัดอย่างยิ่งเพคะ!”
เป็นหงเจี๋ยที่เร่งบอกกล่าวปากคอสั่นไปหมด หานซางจื่อได้ฟังก็เข้าใจได้ความจริงนางก็เพียงอยากผูกมิตรหาพวกของตนเองก็เท่านั้น ทว่าดูแล้วนางจะลงมือเร็วไปจึงทำเพียงโบกมือว่าไม่เป็นอันใดสุดท้ายเพื่อระวังตัวเอาไว้นางจึงกินข้าวมื้อดึกแค่เพียงลำพังเท่านั้น
กินของดีหรูหราอีกทั้งวัสถุดิบและการปรุงรสย่อมดีเยี่ยมอีกทั้งอาหารยังร้อนแต่หานซางจื่อกลับกินอะไรก็ไม่ถูกปากสักอย่างเดียวแต่เพราะตนเองยังต้องมีพลังหากท้องไม่อิ่มจะเอาพลังกายใดไปสู้กับปัญหาในยามเช้าของวันพรุ่งนี้ที่รออยู่
คาดว่าป่านนี้เฝิงกุ้ยเฟยที่พักอยู่อีกฝั่งของตำหนักคงทราบแล้วเป็นแน่ว่าบุตรชายของตนเองได้หลบหนีราตรีเข้าหอไปนอนยังโรงเลี้ยงม้าเสียแล้วซึ่งหากเป็นปกติคนถูกตำหนิย่อมเป็นบุรุษนามจ้าวเหลียงอี้แต่บังเอิญว่าระหว่างนางกับมารดาของสามีนั้นไม่ปกติแน่นอนเมื่อยามเช้ามาเยือนที่โดนเล่นงานย่อมเป็นตัวของนางเองอย่างไม่ต้องคาดเดาอะไรให้เหนื่อยเช่นนั้นคืนนี้มีโอกาสกินอาหารดีๆ นางต้องกินให้อิ่มหนำและเต็มท้องเข้าไว้
เสร็จแล้วก็ต้องเร่งเข้านอนยิ่งดูแล้วเหลือเวลาไม่ถึงสองชั่วยามก็จะถึงอรุณรุ่งมาเยือนหานซางจื่อจึงเร่งรีบกินจนอิ่มแล้วแต่งกายรัดกุมจากนั้นก็ปีนขึ้นเตียงหลับไปทันทีเพราะนี่คือโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้กินอิ่มนอนอุ่นนางต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้แล้วกอดมันจนชื่นใจพอยามเช้ามาถึงจะได้ไม่เสียใจ!