บทที่1
แม่นมจางผู้เคร่งครัดและดุดันที่หลายวันมานี้ถิงเฟยหวาดกลัวยิ่งนักพลันกลับต้องพ่ายแพ้ถอยทัพกลับไปหาเฝิงกุ้ยเฟยผู้เป็นนายเพียงถูกซู่จิ้งอ๋องกล่าวเพียงสี่คำเพียงเท่านั้น บุรุษนามจ้าวเหลียงอี้ช่างน่ากลัวจริงๆ แต่ถึงจะหวาดกลัวเพียงใดเด็กสาวกลับยังยืนหยัดไม่ทิ้งผู้เป็นนายหญิงของนางไปที่ใด
“เจ้าเองก็ออกไปด้านนอกก่อนสักครู่เปิ่นหวางมี‘ธุระ’จะคุยกับพระชายาของเปิ่นหวางสักครู่เท่านั้น”
แน่นอนว่าคราวนี้ถิงเฟยไม่รอให้จ้าวเหลียงอี้พูดซ้ำนางเร่งออกไปทันทีเมื่อเขาจบประโยคเหล่านั้นเนื่องจากนางคิดว่าการออกไปจะเป็นผลดีกับผู้เป็นนายของตนเองมากกว่าที่นางจะดื้อดึงอยู่ต่อไปนั่นเอง ฝ่ายของหานซางจื่อนั้นทำเพียงนั่งเก็บมือและเท้าอย่างสงบมิได้หวั่นไหวอันใดกับทุกฝีเท้าที่จ้าวเหลียงอี้สืบเข้ามาใกล้ตนเองเลยแม้แต่น้อย
“พอดีว่าเมื่อครู่มู่สือเพิ่งมาแจ้งกับเปิ่นหวางว่าม้าพันธุ์เหงื่อโลหิตของเปิ่นหวางมันเจ็บท้องคาดว่าคงใกล้จะคลอดเต็มทนดังนั้นราตรีนี้ห้องหอเจ้าก็ครอบครองไปแต่เพียงผู้เดียวเถิด เปิ่นหวางไม่สะดวกจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าหรอกพระชายาหาน”
ถึงจะเตรียมใจมาแล้วเป็นอย่างดีแต่หานซางจื่อก็มิคาดว่า‘ข้ออ้าง’ที่จ้าวเหลียงอี้ที่จะไม่ร่วมหอกับตนเองจะเป็น ‘ม้ากำลังจะตกลูก’ เช่นนี้สาวน้อยเผลอตัวยกมือขึ้นจับผ้าคลุมหน้าเปิดออกแล้วมองจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือชื่อแต่เพราะเช่นนั้นหานซางจื่อจึงทันจะได้เห็นว่าประตูห้องหอปิดไม่สนิทและหน้าห้องนั้นมีเท้าอยู่หลายคู่นอกจากถิงเฟยคนสนิทติดตามมาจากสกุลหานของตนก็คาดว่าคงมีคนของซู่จิ้งอ๋องอยู่ด้วยหลายชีวิตเป็นแน่
…บัดซบ!…
‘บุรุษผู้นี้ช่างอำมหิตเกินไปแล้วไม่ไหว้หน้าสกุลหานของข้าเลย’ หานซางจื่อพึมพำอยู่เพียงในใจแล้วพยายามควบคุมอารมณ์ไม่พึงใจลงไปโดยเร็วเพราะถูกฝึกมาทั้งชีวิตจนสำเร็จแล้วเตรียมขยับเรียวปากบอกให้จ้าวเหลียงอี้ช่วยทำพิธีต่างๆ ให้ครบเสียแล้วเขาจะไปที่ใดก็ไปเถิดนางย่อมไม่คิดจะรั้งเขาเอาไว้แน่นอนอยู่แล้วเพราะในใจเสนอมาก็หาได้รู้สึกอันใดกับเขาผู้นี้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม
“เร่งร้อนเช่นไรซู่จิ้งอ๋องก็ช่วยรักษาธรรมเนียมรอให้เลยฤกษ์เข้าหอไปก่อนจะได้หรือไม่เพคะ”
ขอเพียงเขารั้งอยู่จนเลยฤกษ์เข้าหอไปแล้วพรุ่งนี้ถึงพิธียกน้ำชาให้กับเฝิงกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาสวามีของนางก็ไม่ถึงกับนับว่ายุ่งยาก และยังจะนับได้ว่ารักษาหน้าตาของคนสกุลหานของนางได้อีกด้วย
“เอาละ เปิ่นหวางกำลังรีบเช่นนั้นที่เหลือเจ้าจัดการเองไปก็แล้วกันฝนใกล้จะตกเต็มทนแล้วหากช้าไปจะไม่ทันเปิ่นหว่างไม่อยากพลาดโอกาสได้เห็นม้าคลอดอย่างปลอดภัย
“……”
กล่าวจบแล้วจ้าวเหลียงอี้ก็เดินจากไปโดยปล่อยให้‘เจ้าสาว’เช่นหานซางจื่อได้แต่นั่งเป็นบื้อเป็นใบ้อยู่บนเตียงแม้นแต่ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยที่‘เขา’ผู้นั้นก็ไม่คิดจะมีน้ำใจมา‘ปลด’มันให้นางสักนิดช่างใจดำอำมหิตเกินไปจริงๆจ้าวเหลียงอี้นะจ้าวเหลียงอี้
“คุณหนู! เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ?!”
ถิงเฟยวิ่งเข้ามาอย่างลืมรักษากิริยาที่ถูกฝึกอบรมสั่งสอนจากฮูหยินรองมาทั้งชีวิตสิบหกหนาวของนางในจวนสกุลหานไปจนสิ้นเมื่อจ้าวเหลียงอี้ไม่ถึงครึ่งเค่อกลับทิ้งเจ้าสาวผู้เป็นนายของตนเองไว้ลำพังในห้องหอเช่นนี้ไม่ดีเลยไม่ใช่หรือไร?!
“เอะอะโวยวายไปไย สงบกิริยามารยาทเอาไว้ที่แห่งนี้คือตำหนักซู่จิ้งอ๋องหาใช่สกุลหาน ท่านแม่ของข้ากำชับเจ้ามาแล้วกำชับเจ้ามาอีกเจ้าลืมสิ้นแล้วหรือถิงเฟย”
ขณะเอ่ยเตือนสติสาวใช้ใกล้ชิดมือเรียวเล็กของหานซางจื่อก็ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกจากศีรษะช้าๆ ไปพลาง นางแกะผ้าที่มารดานั้นตั้งใจปักให้ด้วยกิริยาทะนุถนอมอย่างสุดจิตสุดใจไม่สนใจว่าบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามีนั้นจะสนใจหรือไม่
“ไปสั่งคนเตรียมน้ำให้ข้าอาบเถิด แล้วก็เลิกแตกตื่นได้แล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็จงรับมือด้วยสติจึงนับว่าพอจะต้านและผ่านทุกสิ่งไปได้ จงจำไว้นะถิงเฟย”
ถิงเฟยมีเป็นหมื่นเป็นล้านคำที่นางอยากจะพูดอยากจะเอ่ยแต่คงเป็นเพราะ ‘คุณหนูสาม’ ของตนกลับมีแต่สีหน้าสงบเยือกเย็นกิริยาก็ยังสง่างามสมฐานะพระชายาของซู่จิ้งอ๋องจนเด็กสาวไม่กล้าแตกตื่นอีกเลย ในอดีตเด็กสาวก็นับถือคุณหนูสามของตนเองมาโดยตลอดมิคาดพออีกฝ่ายได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาของซู่จิ้งอ๋องแล้วจะยิ่งสุขุมเยือกเย็นเพิ่มขึ้นไปอีกหลายส่วน
“เจ้าค่ะ”
หานซางจื่อทอดสายตาตามแผ่นหลังบอบบางของสาวใช้รุ่นน้องที่อายุอ่อนกว่านางเพียงแค่หนึ่งหนาวด้วยแววตายากจะหยั่งถึงความรู้สึกให้ผู้อื่นจับผิดได้ไม่ปลอดภัยนับจากจำความได้นางก็สั่งสอนมาเช่นนี้จึงไม่แปลกที่อายุของนางกับถิงเฟยวัยต่างกันเพียงหนึ่งหนาวแต่นางกลับเติบโตกว่าสาวใช้ข้างกายอยู่หลายหนาวก็ดังนั้นทุกวันนี้นางมีแค่เพียงเก็บซ้อนทุกอารมณ์เอาไว้ภายในอกคนเดียวเท่านั้นจะเจ็บจะปวดจะทุกข์หรือสุขนางมีเพียงรู้แจ้งด้วยตนเอง
“พระชายาซู่จิ้งอ๋องเพคะ น้ำเตรียมเสร็จแล้วเพคะ”
นางกำนัลวัยเดียวกับถิงเฟยนามว่า‘หงเจี๋ย’เข้ามารายงานหลังจากที่หานซางจื่อให้ถิงเฟยออกไปแจ้งกับคนของตำหนักซู่จิ้งอ๋องว่าตนเองต้องการจะอาบน้ำจากนั้นถิงเฟยกับนางกำนัลนาม‘ซูผิง’จึงย้อนกลับมาช่วยผู้เป็นนายหญิงของตนเองปลดเครื่องหัวและเครื่องประดับกับอาภรณ์ชั้นนอกเสร็จสิ้นพอดี
“อาหารเหล่านี้เย็นหมดแล้ว ให้คนยกไปอุ่นให้เปิ่นหวางเฟยด้วยนะพออาบน้ำเสร็จจึงค่อยยกมาอีกครั้งก็แล้วกัน”
หานซางจื่อสั่งการหงเจี๋ยแล้วจึงเดินตามซูผิงไปยังห้องอาบน้ำโดยมีถิงเฟยเดินตามรั้งท้าย หญิงสาวหยุดชะงักไปเล็กน้อยกับห้องอาบน้ำอันหรูหราแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นปลายเท้าเรียวเล็กก้าวลงไปสัมผัสน้ำอุ่นกำลังดีในถังไม้ใหญ่ขนาดยักษ์แล้วพึงใจไม่น้อยน้ำอุ่นกำลังดี
แถมยังมีกลิ่นหอมของดอกหลันฮวาสีขาวพิสุทธิ์กับดอกกุ้ยฮวานั้นยิ่งทำให้สาวน้อยที่ไม่อาจเฉลิมฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดวัยสิบเจ็ดหนาวบริบูรณ์แต่กลับต้องมาแต่งงานกับบุรุษที่เขาไม่รักไม่ต้องการวุ่นวายอยู่ตั้งเช้าจรดค่ำจวบจนจากค่ำจะถึงยามวันใหม่อีกแล้วนางจึงปวดเมื่อยไปหมดเมื่อได้แช่น้ำอุ่นเช่นนี้ย่อมผ่อนคลายไม่น้อย หานซางจื่อปล่อยให้ซูผิงกับถิงเฟยช่วยปลดเสื้อคลุมแล้วจึงก้าวลงทรุดกายลงนั่งแช่น้ำในถังไม้ขนาดยักษ์อย่างสบายใจ
“พระชายาหานต้องการสระผมหรือไม่เพคะ”
ซูผิงถามด้วยกิริยาระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางนั้นต้องรับใช้สตรีสูงศักดิ์ปกติแล้วนางรับใช้อยู่ในตำหนักของเฝิงกุ้ยเฟยมาโดยตลอดนับจากเข้าวังวันนี้จึงนับว่าซูผิงได้เริ่มต้นรับใช้ ‘นายหญิง’ คนใหม่แล้วไม่อาจทราบได้ว่านิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรจะดีหรือร้ายนางล้วนไม่กระจ่างทั้งสิ้น
“ก็ดี”
กล่าวแล้วหานซางจื่อจึงพิงแผ่นหลังบอบบางของตนเองกับขอบถังอาบน้ำปล่อยศีรษะให้ซูผิงได้จัดการสระผมให้ส่วนถิงเฟยนั้นช่วยขัดถูผิวขาวสะอาดราวกับหยกมันแพะไปนางหลับตานึกไปถึงเมื่อสามเดือนก่อนที่ตนเองยังเป็นคุณหนูสามแต่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหนานไค่กั๋วกงญาติฝ่ายมารดาของซ่งฮองเฮาเช่น‘หานซางเจี้ยน’ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเทียนสุ่ย
ดังนั้นต่อให้นางเกิดจากฮูหยินรองแต่ก็ยังสามารถแต่งงานเป็นพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋องได้โดยไร้ข้อโต้แย้งต่อให้เฝิงกุ้ยเฟยและตัวของซู่จิ้งอ๋องนั้นจะไม่พึงใจเพียงใดก็ตาม…