บทที่5

1701 Words
บทที่5 แต่เจ้าขันทีเฒ่ามากราคะผู้นั้นเขาไปดื่มดีหมีเลือดพยัคฆ์มาหรือไรจึงบังอาจมองพระชายาของซู่จิ้งอ๋องราวกับจะจับนางกลืนกินลงท้องเช่นนั้นเห็นทีตาเฒ่าเหลิ่งคงไม่อยากหายใจแล้วเป็นแน่ “เอ่อ…อ่ะแฮ่ม!เป็นเฝิงกุ้ยเฟยที่มีรับสั่งเอาไว้ว่าห้ามไม่ให้พระชายาหานก้าวเข้าไปภายในตำหนักแม้เพียงครึ่งก้าวพ่ะย่ะค่ะ” “!!?” ซูผิงนั้นบังเกิดความสงสัยแต่ไม่กล้าเปิดปากสอบถามออกไป “!!?” ถิงเฟยเองก็เช่นกันสาวใช้ตัวน้อยล้วนไม่แจ้งแก่ใจว่าเฝิงกุ้ยเฟยนั้นต้องการอย่างไรกันแน่ให้คนสนิทผู้หนึ่งไปเร่งให้คุณหนูสามของตนเองมาเข้าเฝ้าโดยเร่งด่วนแตพอมาแล้วกลับให้คนสนิทอีกคนมาขวางเอาไว้ทำเช่นนี้เด็กสาวไม่กระจ่างใจเลยสักเพียงนิดเดียว ฝ่ายของหานซางจื่อกลับไม่แสดงกิริยาอาการใดออกไปสักนิดนอกจากยังคงยิ้มอ่อนเต็มใบหน้าเท่านั้นแต่ภายในใจของนางกลับรู้แจ้งไปแล้วทั้งหมดถึงจุดประสงค์ของผู้ได้ชื่อว่าเป็น‘ท่านแม่สามี’ไปแล้วทั้งหมด “พระชายาหานจะไม่ถามหรือพ่ะย่ะค่ะว่าเหตุใดเฝิงกุ้ยเฟยจึงมีคำสั่งเช่นนี้” อดไม่ได้เหลิ่งกงกงจึงต้องถามออกไปเสียเองหากแต่เด็กสาวตรงหน้าของขันทีเฒ่ากลับไร้กิริยากังขาแม้แต่น้อยดูไม่ออกสักนิดว่าหานซางจื่อนั้นคิดเห็นเป็นประการใด “สังสัยย่อมต้องถามกับเฝิงกุ้ยเฟยจึงจะถูกจริงหรือไม่เล่าท่านกงกงถามท่านที่เป็นเพียงบ่าวไพร่จะรู้ความได้อย่างไร” กล่าวแล้วสาวน้อยก็ยิ้มไร้เดียงสาออกไปหนึ่งสายดูไปคล้ายจริงใจแต่มองให้ดีกลับคล้ายนางกำยังยิ้มเย้ยหยันเขาอยู่อย่างไรก็ไม่ทราบได้คำพูดคำจาก็เหน็บแนมเจ็บปวดจนขันทีเฒ่าถึงกับคิ้วกระตุก “ปากคอของเจ้านี่สมกับเป็นสายเลือดของซ่งฮองเฮาเสียจริงๆ นะหานซางจื่อ” สตรีโฉมงามยากจะคาดเดาอายุแท้จริงเดินกรีดกรายออกมาจากภายในตำหนักงดงามโดยมีแม่นมจางเดินรั้งท้ายมาไม่ห่างหานซางจื่อนั้นทำเพียงกดรอยยิ้มอ่อนหวานและไร้เดียงสาออกไปหนึ่งสายก่อนจะย่อกายทำความเคารพสตรีสูงวัยผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของสวามีเต็มพิธีการ “สะใภ้ผู้แซ่หานถวายพระพรเสด็จแม่สาวมีเพคะ” พอเฝิงกุ้ยเฟยได้ฟังว่าหลานสาวของศัตรูตัวร้ายเรียกตนเองว่า’สด็จแม่สวามี’เข้าเท่านั้นนางก็ถึงกับโมโหจนลมออกหู “ผู้ใดคือเสด็จแม่ของเจ้ากันเปิ่นกงคือเฝิงกุ้ยเฟย!” “โอ๋ว? ...” ใบหน้างดงามนั้นเงยขึ้นเล็กน้อยพร้อมกันหลุดเสียงร้องน่ารักน่าเอ็นดูออกมาหนึ่งคำซึ่งทั้งหมดเฝิงหลันฉวานั้นกลับมองหานซางจื่อผู้เป็นสะใภ้ใหม่ของตนเองด้วยความชิงชังเลยเห็นแต่เพียงอีกฝ่ายที่เป็นผู้เยาว์กำลังยั่วยุโทสะของตนเองอยู่เท่านั้น “บังอาจนัก! คุกเข่าลงไปเดี๋ยวนี้!” หานซางจื่อถึงกับชะงักนิ่งงั้นไปชั่วขณะหนึ่งเพราะยังไม่ทราบถึงความผิดที่ตนเองต้องคุกเข่าและเป็นการคุกเข่าที่กลางลานหน้าตำหนักอีกด้วยเช่นนี้ออกจะไม่สมควรและไม่สมเหตุผลเกินไปแล้วกระมัง “สะใภ้ขอบังอาจถามว่าสะใภ้ทำความผิดใดหรือล่วงเกินเฝิงกุ้ยเฟยด้วยเรื่องอันใดไปหรือเพคะ?” เผียะ! “คุณหนู!” “พระชายาหาน!” ถิงเฟยและซูผิงกรีดร้องออกมาเมื่อใบหน้าของหานซางจื่อถูกฝ่ามือของเฝิงกุ้ยเฟยตบจนสะบัดไปตามแรงเรือนกายบอบบางกระเด็นลงไปนั่งกับพื้นพอนางหันกลับมามุมปากจิ้มลิ้มบัดนี้กลับมีโลหิตไหลออกมาเสียแล้วแววตาของหานซางจื่อกลับไร้ความแตกตื่นหรือเสียขวัญอาจมีรอยกังขาแต่พอมองซ้ำกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่เด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวนั้นไม่ได้รอให้สาวใช้ข้างกายกับนางกำนัลผู้ติดตามเข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นแต่นางกลับลุกขึ้นด้วยตนเองแล้วมายืนสงบนิ่งเผชิญหน้ากับมารดาของสาวมีที่ดูไร้เหตุผลที่สุดในชีวิตของเด็กสาวที่ได้พบเจอผู้คนมา “ไม่ว่าสะใภ้ทำสิ่งใดผิดไป สะใภ้แซ่หานผู้นี้ต้องขออภัยเพคะ ขอเฝิงกุ้ยเฟยลงโทษและระบายโทษสะใภ้โดยมิต้องชี้แจงเถิด” เพียงถ้อยคำนอบน้อมไม่กี่ประโยคเหล่านั้นที่หลุดออกจากเรียวปากจิ้มลิ้มของสะใภ้ที่เฝิงหลันฮวาแสนจะชิงชังกลับเหมือนตนเองถูกฝ่ามือของซ่งฮองเฮาฟาดลงมาบนใบหน้าซ้ำๆตอกย้ำถึงความด้อยสติปัญญาของตนเองที่ให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่พันครั้งก็คงมิอาจเทียบได้กับสตรีเช่นซ่งเพ่ยหนี่ว์ได้ซ้ำไปซ้ำมาจนตาลาย “นี่เจ้า!” เฝิงหลันฮวาโกรธจนหน้าดำไปแปดส่วนความงามที่มากลนเลือนหายไปเสียเกินกึ่งหนึ่งเมื่อนางแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว “เชิญเฝิงกุ้ยเฟยชี้แนะสะใภ้แซ่หานผู้โง่เขลาด้วยเพคะ” เด็กสาวไม่ต้องรอให้เฝิงกุ้ยเฟยนั้นออกคำสั่งอีกครั้งก็คุกเข่าลงไปที่พื้นทันทีเพราะรู้แจ้งที่แห่งนี้นางตัวคนเดียวถิ่นของผู้อื่นจะมัวรักหน้าตาตนเองมากกว่าชีวิตไม่ได้เด็ดขาดรักษาชีวิตเอาไว้จึงนับว่าเป็นยอดคน นางที่เตรียมพร้อมมาแล้วต่อให้ช่วงแรกสะดุดไปบ้างด้วยไม่ทันคิดว่าเฝิงกุ้ยเฟยจะไร้ซึ่งเหตุผลเอาแต่โทสะเป็นใหญ่เช่นนี้แต่เมื่อตั้งตัวได้หานซางจื่อก็ไม่รีรอที่จะเสแสร้งเป็นผู้น้อยอ่อนข้อให้ผู้ใหญ่ในทันทีบทบาทสะใภ้อ่อนแอนี้นางซ้อมมาแล้วเป็นแรมเดือนถึงไม่เชี่ยวชาญแต่ก็นับว่าพอจะแสดงได้อยู่บ้าง “สะใภ้ผู้แซ่หานสำนึกผิดแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ซู่จิ้งอ๋องมีโทสะจนไม่อยากร่วมหอล้วนเป็นสะใภ้ที่ผิดเองเพคะเช้านี้จึงตั้งใจมาขอรับโทษจากเฝิงกุ้ยเฟยด้วยความเต็มใจ สะใภ้ขอสำนึกผิดอยู่ตรงนี้จนกว่าเฝิงกุ้ยเฟยจะเมตตาเพคะ” กล่าวจบหานซางจื่อก็ก้มลงวางสองมือแนบไปกับพื้นดินที่ยังชื้นแฉะไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งจะจางหายไปหน้าผากหรือก็แนบสนิทไปกับพื้นดินเช่นเดียวกับฝ่ามือน้อยทั้งสองข้าง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะไม่ต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะดูเป็นฝ่ายถูกทั้งซู่จิ้งอ๋องและเฝิงกุ้ยเฟยรังแกและแน่นอนอีกไม่นานคนของซ่งฮองเฮาที่แฝงกายอยู่ภายในตำหนักของซู่จิ้งอ๋องจะต้องรายงานออกไปเป็นแน่ ลงทุนยอมเป็นสุนัขรักชีวิตสักหน่อยแต่สองแม่ลูกคู่นี้จะต้องถูกฮองเต้ตำหนิเด็กสาวก็ถือว่าการค้านี้ตนเองไม่ขาดทุนแล้วก็นางเป็นเจ้าสาวพระราชทานอันที่จริงหากเฝิงกุ้ยเฟยจะไม่รีบร้อนจะเอาผิดนางเรื่องจ้าวเหลียงอี้ทอดทิ้งนางในราตรีเข้าหอก็อาจจะเก็บเงียบไม่เปิดเผยออกไปแล้ว แต่นี่สตรีสูงวัยผู้นี้กลับไร้สติเกินไปจึงโง่เขลาไม่ทันคิดว่าการที่ตนเองเอาความกับลูกสะใภ้ผลร้ายจะไปตกอยู่ที่บุตรชายของตนเอง ยิ่งสาเหตุที่จ้าวเหลียงอี้ทอดทิ้งเจ้าสาวพระราชทานมีเพียงไปดูม้าคลอดลูกด้วยแล้วเชื่อเถิดฮ่องเต้จะต้องพิโรธมากอย่างแน่นอนเพราะมันเท่ากับว่าบุตรชายคนเล็กนี้หยามหมิ่นเกียรติบิดาของแผ่นดินบัดนี้หานซางจื่อไม่แปลกใจเลยที่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะนานเท่าใดเฝิงกุ้ยเฟยก็ไม่เคยเอาชนะซ่งฮองเฮาได้ “เสด็จแม่!” จ้าวเหลียงอี้ที่ในคราวแรกนั้นคิดเพียงว่าจะมาดูชมเรื่องบันเทิงกลับต้องตกใจที่มาเห็นว่ามารดาของตนทำผิดไปเสียแล้วเช่นนี้หากเฝิงกุ้ยเฟยมีโทสะแล้วเรียกสะใภ้คนใหม่เข้าไปตำหนิหรือลงโทษในที่ลับตาคนยังนับว่าไร้ปัญหาแต่นี่มารดาของเขากลับขาดสติมาลงโทษหานซางจื่อสะใภ้ที่ฮ่องเต้เลือกด้วยตนเองเช่นนี้เท่ากับหยามหน้าบุรุษเหนือแผ่นดินแล้วจริงๆ “น้องหญิงลุกขึ้นก่อน” ต่อให้ฝืนใจจ้าวเหลียงอี้ก็ต้องทำแล้ว ชายหนุ่มตรงเข้าไปประคองให้ผู้เป็นพระชายาลุกขึ้นมายืนแต่เพียงนางเงยหน้าทุกคนถึงกับเมินหน้าเพราะจากภาพเด็กสาวงดงามและสูงศักดิ์บัดนี้มอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลนอาภรณ์นี้กลับยิ่งดูยับเยินสองแก้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตาหูตาดูบอบช้ำจนน่าหวาดกลัว อึก! ซู่จิ้งอ๋องเติบโตมายี่สิบสามหนาวกลับยังไม่เคยพบพานสตรีใดร้องไห้แล้วน่าสงสารได้ถึงเพียงนี้มาก่อนเพราะหานซางจื่อไม่ได้ร้องไห้ด้วยการส่งเสียงแต่นางร้องไห้เงียบๆมาเพียงน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสายปลายจมูกเล็กแดงจัดแล้วยังมีเรียวปากเล็กจิ้มลิ้มที่ปริแตกนั้นก็บวมจัดยิ่งดวงตาคู่งามนั้นกลับยิ่งดูร้าวรานจนเขาที่ไม่ได้ชมชอบนางเห็นแล้วยังปวดใจ “ขอท่านอ๋องอย่าได้ขัดขวางที่เฝิงกุ้ยเฟยลงโทษ หม่อมฉันเลยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ผิดต่อท่านอ๋องและเฝิงกุ้ยเฟยเอง” น้ำเสียงหวานจับใจนั้นสั่นสะท้านยิ่งแววตากลับเขย่าหัวใจคนมองได้ดียิ่งพลันนั้นจ้าวเหลียงอี้ก็พบว่าสาวน้อยที่ตนเองเคยคิดว่ากำราบได้ไม่ยากนั้นเห็นทีเขาจะมองหานซางจือต่ำไปแล้วจริงๆ ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD