บทที่4
ในขณะที่หานซางจื่อเร่งฝีเท้าตรงไปยังตำหนักหนิงอู่ซึ่งเป็นที่พักอาศัยในยามมาอยู่ที่ตำหนักซู่จิ้งอ๋องอยู่นั้นหลินเปียวที่สังเกตการณ์ตามคำสั่งของจ้าวเหลียงอี้ก็ตรงไปรายงานความคืบหน้าให้กับผู้เป็นนายของตนทราบทันที
“เช่นนั้นเปิ่นหวางก็ต้องกลับไป‘ช่วยเหลือ’ พระชายาหานสักหน่อยจึงเหมาะสมสินะหาไม่ก็จะกลายเป็นสวามีผู้อำมหิตเกินไปปล่อยให้นางถูกเสด็จแม่รังแก”
หลินเปียวและถงมู่สือต่างก็เหลือบสายตามองหน้ากันแต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกไปแม้เพียงครึ่งคำมีเพียงก้าวตามหลังของบุรุษวัยยี่สิบสามหนาวเช่นจ้าวเหลียงอี้ไปอย่างสงบเท่านั้น ทั้งหมดตรงไปยังตำหนักหนิงอู่โดยไม่รีบร้อนเท่าใดนักเนื่องจากซู่จิ้งอ๋องของพวกตนไม่รีบแล้วพวกเขาที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้จะรีบร้อนไปไว
ตลอดเส้นทางที่หานซางจื่อเดินตามซูผิงไปยังตำหนักหนิงอู่ที่อยู่คนละฝั่งกับตำหนักส่วนตัวของจ้าวเหลียงอี้ไปอย่างสงบ แต่สองตาของนางก็แอบลอบสังเกตทุกคนภายในตำหนักไปด้วย หานซางจื่อเห็นทั้งเหล่านางกำนัลและขันที ที่เพียงแต่เห็นนางจากที่ไกลๆ หากหลบหลีกได้ก็รีบหลบ
ในส่วนที่หลบไม่ทันก็ต่างก้มหน้าก้มตาเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกันอย่างหน้าด้านๆ เห็นแล้วหญิงสาวจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่กล้าซึ่งภาพที่นางกำนัลและขันทีต่างหลบต่างหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมเผชิญหน้ากับตนเองและทำความเคารพต่อให้นางโง่เง่าเต่าตุ่นเพียงใดก็ยังรู้ฐานะตนเองแล้ว
ในอดีตอยู่ในสกุลหานถึงฮูหยินใหญ่จะร้ายกาจไปบ้างแต่ก็ยังมีท่านพ่อของนางคอยปกป้องบ่าวไพร่ภายในจวนอย่างไรก็ยกย่องให้นางเป็นนาย เป็นคุณหนูสามแต่เป็นบุตรสาวที่หนานไค่กั๋วกงรักใคร่เอ็นดูส่วนพี่ใหญ่หรือหานเจาจงนั้นก็เห็นนางเป็นสตรีจะช้าจะเร็วต่อให้ไม่แต่งงานออกไปแต่เมื่ออายุครบสิบเก้าหนาวเช่นไรก็ต้องออกจากจวนหนานไค่กั๋วกงไปอยู่ดีจึงไม่ใส่ใจนางเช่นที่ใส่ใจหานซางอวี่ผู้เป็นพี่ชายมากกว่าดังนั้นจนครบวัยสิบหกหนาว
ของนางในจวนหนานไค่กั๋วกงจึงนับว่าไม่เลวร้ายนักเท่าใดนักแต่วันนี้ภายในตำหนักซู่จิ้งอ๋องนี้คาดว่าทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีของนางถูกเหยียบย่ำจนตกต่ำไม่ต่างจากนางกำนัลชั้นล่างผู้หนึ่งแล้วเป็นแน่
“ช่างหยามหมิ่นกันเกินไปแล้ว” หานซางจื่อสังเกตเห็นมีหรือที่สาวใช้ซึ่งผ่านอะไรมามากมายภายในจวนหนานไค่กั๋วกงเช่นถิงเฟยจะไม่รู้แจ้งเช่นไรกัน
“สงบปากของเจ้าเสียถิงเฟย”
หานซางจื่อเร่งหันไปกำราบถิงเฟยทั้งคำพูดและสายตาที่แห่งนี้นับเป็นถิ่นของ‘ศัตรู’ยืนอยู่บนคมหอกคมดาบเห็นกระจ่างแล้วหากพูดก่อนคิดมีเก้าชีวิตเท่าแมวเหมียวก็เห็นทีจะไม่พอให้สองแม่ลูกคู่นั้นบดขยี้นางพยายามเตือนสติคนของตนเองมาโดยตลอดแต่ถิงเฟยล้วนไม่เคยจดจำสาวน้อยในอดีตนั้นเคยให้อภัยเสมอมาหากสาวใช้ผู้นี้กล่าววาจาไม่ระวังนั่นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยังเด็กอยู่มาเสมอแต่วันนี้และที่แห่งนี้นางคงต้องเข้มงวดกับ‘สาวใช้คนสนิทตัวน้อยให้มากจึงนับว่าคุ้มครองปกป้องอีกฝ่ายตามสัญญาที่ตนเองเคยให้ไว้กับมารดาของอีกฝ่ายก่อนสิ้นใจได้
“คิดแล้วจึงค่อยพูดเพราะการพูดไม่คิดอาจทำร้ายตัวของเราได้คำสอนนี้เจ้าลืมไปหมดแล้วเช่นนั้นหรือถิงเฟย?”
คำกล่าวไม่หนักและไม่เบานี้แน่นอนว่าได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้นสาวน้อยถิงเฟยถึงกับกัดริมฝีปากแน่นสายตามองต่ำเพียงปลายเท้าของตนเองยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบโต้ออกไปทั้งหมดก็มาถึงด้านหน้าของตำหนักหนิงอู่กันแล้วมีขันทีแซ่เหลิ่งมายืนรออยู่ที่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยต้นเถาฮวาปลูกประดับอยู่รอบข้างอยู่ก่อนแล้ว
“ขอพระชายาหานทรงช้าก่อน”
เหลิ่งกงกงคนสนิทของเฝิงกุ้ยเฟยก้าวเท้าเนิบช้าลงมาพร้อมพัดกระดาษลวดลายวิจิตรที่ราคาไม่ธรรมดาตรงมาหาหานซางจื่ออย่างไร้มารยาทแต่นางกลับทำเพียงยิ้มอ่อนออกมาเท่านั้น
กิริยาที่แผ่นหลังอรชรนั้นเหยียดตั้งตรงหัวไหล่บอบบางทั้งสองก็สง่าผ่าเผยสองเท้ากลับยืนมั่นคงสองมือประสานกันไว้เรียบร้อยแต่กลับสง่างาม
จนขันทีเฒ่าที่พบเห็นและคุ้นเคยกับซ่งฮองเฮามาก่อนถึงกับเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ยิ่งสายตาแน่วแน่คู่งามนั่นอีกเล่าช่างคล้ายเฝิงกุ้ยเฟยเมื่อยังเป็นดรุณีน้อยเกินไปแล้วจริงๆ
“เฝิงกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งให้เปิ่นหวางเฟยมาเข้าเฝ้าเร่งด่วนมิทราบว่าท่านกงกงมาขวางเอาไว้ด้วยเหตุอันใดหรือ?”
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ไม่นุ่มนิ่มใบหน้างดงามนั้นแต้มรอยยิ้มน้อยๆดูราวกับเทพธิดาที่เพิ่งลงมาจากดินแดนเทพเซียนจนเหล่านางกำนัลและขันทีเฒ่าเองยังตกตะลึงแทบลืมหายใจความงดงามของหานซางจื่อนี้ช่างสมกับคำร่ำลือเสียจริงในอดีตเฝิงกุ้ยเฟยนับว่าเป็นสตรีซึ่งงดงามลมปฐพีผู้หนึ่งจึงให้กำเนิดองค์ชายหกออกมารูปโฉมงดงามจนถูกกล่าวขานว่าเป็นบุรุษผู้มีสมญานามว่า(*)มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนางเช่นนั้น
แต่เมื่อได้เห็นคุณหนูสามสกุลหานผู้นี้ก็นับว่าเป็นสาวงามที่งดงามจนทุกคนอยากมอบสมญานามมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนางให้กับคุณหนูสามหรือรพชายาหานผู้นี้ไปอีกผู้หนึ่ง หรืออาจเพราะนางเองก็เป็นหลานสาวของซ่งฮองเฮาที่มีรูปโฉมงดงามเป็นรองอยู่ก็เพียงเฝิงกุ้ยเฟยเท่านั้นก็เป็นไปได้นางจึงงดงามไม่แตกต่างจากคนเป็นป้าของนางเช่นนี้
นี่ขนาดนางอายุเพียงสิบเจ็ดหนาวไม่นับว่าเป็นบุปผาที่เติบโตเต็มที่ด้วยซ้ำยังงดงามถึงเพียงนี้ถึงตลอดสองเดือนที่ผ่านมาหานซางจื่อจะเข้าวังไปอบรมพิธีการและธรรมเนียมมากมายแต่เหลิ่งกงกงและเหล่าบุรุษภายในวังล้วนแทบไม่เคยไปพบหน้ากับสาวน้อยใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนพอวันนี้ขันทีเฒ่าได้เผชิญหน้าใกล้ชิดก็ใจสั่นอย่างยากจะควบคุมภายในใจก็มีเพียงแต่คำว่า ‘อยากได้’เต็มไปหมดหากเขาได้สัมผัสผิวขาวผ่องพรรณนั้นสักครั้งคงยากจะลืมเลือนเป็นแน่
“ท่านขันที ท่านขันทีเหลิ่ง!”
กลับเป็นซูผิงที่เรียกขันทีเฒ่าเสียเองเพราะไม่ชอบใจสายตาจาบจ้วงล่วงเกินสตรีของซู่จิ้งอ๋องผู้เป็นนายเช่นนั้นจะดีจะร้ายสาวน้อยผู้นี้นางก็มีชาติตระกูลเป็นถึงพระชายาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับบุตรชายคนเล็กเฝิงกุ้ยเฟยชิงชังรังเกียจได้แต่พวกตนเป็นเพียงข้ารับใช้ไม่สมควรอย่างยิ่งจะไปตีเสมอหรือคิดล่วงเกินเด็กสาวผู้นี้ได้