รถม้าของจวนแม่ทัพ ใช้ม้าฝีเท้าดีในการลากจูง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจวนของเสนาบดี
ซูหลินกำลังชมทิวทัศน์ข้างทางเพลินๆก็มาถึงเสียแล้ว ก่อนถึงจวนเสนาบดี มีตลาดสินค้าหลากหลาย นางอยากจะไปเดินดู แต่หญิงสาวที่ออกเรือนแล้วจะออกมาตะลอนเดินเที่ยวไปเรื่อย มันก็ดูไม่งาม
หญิงสาวจึงต้องตัดใจ เป็นหญิงสาวในยุคโบราณกฎระเบียบและประเพณีเคร่งครัดจริงๆ โชคดีที่เบื้องบนไม่มีพ่อแม่สามีให้คอยปรนนิบัติ ไม่อย่างนั้นซูหลินคนเดิมคงถูกสั่งให้หย่าไปตั้งนานแล้ว
ประตูกลางของจวนเปิดออกรถม้าวิ่งเข้าไปด้านใน ลงจากรถม้าท่านแม่ของเจ้าของร่างก็ออกมารอที่หน้าห้องโถงแล้ว ดูท่าว่าเจ้าของร่างคงจะเป็นที่รักของครอบครัวจริงๆ
"เสี่ยวหลิน วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดีนะ" หญิงวัยกลางคนที่ยังดูดีเดินเข้ามาจับมือของนาง ยิ้มด้วยความดีใจ ต้องโทษเจ้าของร่างที่หลังจากแต่งงาน เวลากลับบ้านเดิมทีไร ไม่ร้องไห้ก็อาละวาด ทำให้ผู้เป็นมารดาปวดใจ
วันนี้หญิงสาวจึงตั้งใจพูดคุย ดื่มน้ำชาและเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านแม่ นิสัยของนางไม่นับว่าเปลี่ยนไปมากเพราะก่อนแต่งงานนางก็เป็นคนขี้ประจบอยู่แล้ว
"ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง สามีรักใคร่เอ็นดูข้าเป็นอย่างมาก" ซูหลินพูดให้มารดาสบายใจ อีกทั้งยังจงใจเผยรอยจุมพิตให้มารดาดู นางมาเยี่ยมบ้านเดิมเพราะเหตุนี้ มีหลักฐานแสดงความรักระหว่างสามีภรรยามารดาถึงจะเชื่อ
ฮูหยินมองรอยรักบนตัวลูกสาวก็ยิ้มอย่างพึงพอใจสามีภรรยารักใคร่กันเป็นเรื่องดี ตอนนี้บุตรสาวมีเพียงเจียวเจียวแค่คนเดียว หากมีบุตรชายเพิ่มขึ้นอีกคน ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพก็จะมั่นคงขึ้น
"มาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ" จุดประสงค์หลักที่นางมาที่นี้คือจะเตือนเรื่องเสบียงอาหารที่จวนเสนาบดีดูแลรับผิดชอบอยู่
"ยังคุยกับพี่ชายเจ้าอยู่ในห้องหนังสือ หลังกลับมาจากเช้าเฝ้าก็ยังไม่ได้ออกมาเลย" ฮูหยินไม่เคยสอบถามเรื่องงานการของสามีเพียงแต่ทำหน้าดูแลเรือนในและเลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวให้ดีที่สุด
"ลูกจะยกของว่างเข้าไปหาท่านพ่อเองเจ้าค่ะ" ฮูหยินก็คิดว่าเป็นเรื่องดี สามีไม่ได้พบลูกสาวมาเกือบเดือนแล้ว ตอนกินข้าวก็มีบ่นคิดถึงบ้าง หากได้เห็นบุตรสาวคงจะดีใจ
เด็กรับใช้หน้าห้องหนังสือรายงานว่านางมาขอพบ ท่านพ่อตอบรับว่าให้เขาไปได้ ซูหลินเดินนำสาวใช้ที่ถือของว่างเข้ามาในห้อง จัดวางตรงโต๊ะน้ำชา
"ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้าให้คนยกของว่างมาให้ลองชิมเจ้าค่ะ" เสนาบดีซูพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี พี่ชายเองก็ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาที่บ้านได้" พี่ชายเอ่ยถามด้วยสงสัย เพราะน้องสาวของเขาน้อยครั้งที่จะแวะมาที่ห้องหนังสือ
"ข้าก็คิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านพี่อย่างไรเล่า" พี่ชายของนางอายุ 21 ปีแล้วก็ยังไม่แต่งงาน ทำให้ท่านพ่อท่านแม่หนักใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ในหนังสือเล่าก่อนที่พี่ชายเจ้าของร่างจะตายก็นึกดีใจที่ไม่มีลูกเมียมาคอยรับเคราะห์ไปด้วย ตอนที่นางได้อ่านก็รู้สึกสะเทือนไปหลายวัน
"อันที่จริงข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านพ่อกับท่านพี่เจ้าค่ะ"หญิงสาวปรับท่าทีอย่างจริงจัง ผู้เป็นพ่อและพี่ชายมองหน้ากันอย่างนึกสงสัย
"ข้ารู้มาว่าจวนเสนาบดีของเราได้รับมอบหมายให้จัดหาคอยดูแลเสบียงที่ส่งไปให้ทหารที่ชายแดน"
เสนาบดีซูพยักหน้ารับ "ใช่แล้ว ฝ่าบาทมีพระมหากรุณาธิคุณมอบหมายหน้าที่นี่ให้ พ่อมีหน้ามีตาในราชสำนักมากเลยละ" เมื่อเห็นท่านพ่อดูภูมิใจมากขนาดนี้ ซูหลินก็นึกสงสาร เป็นธรรมดาที่อยู่ใกล้ฮ่องเต้เหมือนอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ ใกล้ชิดมากเกินไปก็ร้อนจนทำให้ตายได้เหมือนกัน
"คราวนี้ลูกอยากให้ท่านพ่อ เตรียมคนให้มาก คุ้มครองเสบียงให้ดี พวกลูกน้องที่เป็นขุนนางเล็กๆ อย่าให้พวกเขาฉกฉวยเอาผลประโยชน์ ไม่เช่นนั้นบ้านเราต้องถึงคราวเคราะห์แน่เจ้าค่ะ"
เมื่อซูหลินพูดเช่นนี้บุรุษสองคนในห้องก็ตื่นตัวขึ้นมา "ทำไมรึ สามีของเจ้าได้ข่าวอันใดมา"
"อย่างที่พวกท่านทราบ สามีของข้าไม่นานต้องออกไปรบที่ชายแดน เรื่องเสบียงถ้ามีไม่เพียงพอต่อทหาร พวกเขาจะเอาแรงที่ไหนไปรบ ถ้าเกิดแคว้นเราพ่ายแพ้ สืบสาวราวเรื่องมาก็เป็นจวนเสนาบดีบ้านเราที่ต้องรับเคราะห์ โทษถึงประหารเลยนะเจ้าค่ะ" ทั้งสองฟังนางแล้วก็ขบคิดตามก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้
เป็นเรื่องปกติของขุนนางที่จะแอบยักยอกเสบียงเล็กน้อย แต่ขุนนางมีหลายคน คนนั้นหยิบที คนนี้หยิบบ้าง เสบียงก็ย่อมต้องเหลือน้อยลงไปทุกที เป็นเช่นนี้พวกเขาสองพ่อลูกต้องรีบหาทางป้องกัน
ซูหลินกลับมาที่จวนแม่ทัพในตอนเย็น ไม่ได้อยู่ทานมื้อค่ำกับคนที่บ้าน อ้างว่าต้องรีบกลับไปดูแลลูกสาว ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้ห้ามอะไร
ในเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือตระกูลเดิมได้หรือไม่ โชคดีที่ท่านพ่อรับฟังความคิดของนาง จากนี้คงต้องดูที่ความสามารถของท่านพ่อแล้ว
แต่นางเชื่อว่าเป็นเวลาหลายปี กว่าที่เขาจะมาถึงตำแหน่งนี้ได้ย่อมต้องผ่านประสบการณ์มามากพอตัว คราวเคราะห์ครานี้ต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่น้อย