“ฮือๆๆ”
“โว้ย! บอกให้หยุดร้อง หยุดร้อง หยุด” ธันย์ธาดาปราดเข้าไปจับแขนกลมกลึงทั้งสองข้างเอาไว้แน่น พร้อมกับเขย่าคนตัวเล็กไปมาจนหัวสั่นหัวคลอน
“หยุด!” เขาเอ่ยสั่งคำสั้นๆ เฉียบขาด พร้อมๆ กับจ้องหน้างามเขม็ง ตาคมเข้มวาววับอย่างข่มขู่ ทำให้คนที่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่แต่ปากเล็กๆ นั้นก็หุบฉับเม้มเข้าหากันแน่น เพื่อกันไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา แต่น้ำตาเจ้ากรรมยังคงไหลบ่าออกมาเรื่อยๆ จากดวงตาคู่งามที่แดงก่ำ
ไม่รู้ว่าเพราะสายตาหวานเศร้าซึ้ง หรือเพราะหยดน้ำตาของคนตัวเล็กที่ยังคงพรั่งพรูไม่หยุดกันแน่ ที่ทำให้สติของธันย์ธาดาเผลอไผลไปชั่วขณะ มือหนาที่กำแน่นรอบแขนเรียวค่อยๆ คลายออกอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกลี่ยไล้ปาดน้ำตาออกจากวงหน้าหวานอย่างแผ่วเบา เขากุมแก้มเนียนนุ่มมือนั้นไว้อย่างลืมตัว ก่อนที่ใบหน้าคมจะค่อยๆ โน้มเข้าไปหาใบหน้าหวานที่ห่างไม่ถึงคืบ ราวกับโดนดึงดูดจากมนต์สะกดของสายตาเศร้าหวานคู่นั้น
“ธะ…ธันย์ จะทำอะไรอรเหรอ” มือน้อยยกขึ้นดันอกกว้างไว้เมื่อรู้สึกตัว ก่อนที่ปากหยักและปากอิ่มจะชนกันได้ทันเวลาพอดี ทำให้ชายหนุ่มได้สติและถึงกับชะงัก รู้สึกฉุนกึก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบทำอะไรลงไปกับว่าที่คู่หมั้นที่เขาไม่เคยปรารถนา และตั้งแง่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็น เพราะความไม่ชอบการถูกบีบบังคับ
“ฉันไม่มีวันยอมรับเธอเป็นคู่หมั้น และฉันก็จะไม่มีวันแต่งงานกับเธอ จำเอาไว้” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะผลักร่างบางออกห่างจากตัวอย่างแรงจนเธอเซถลา และโชคร้ายสะดุดขาตัวเองล้มจนก้นกระแทก ใบหน้าหวานเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่คิดที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครบางคนได้สมเพช
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตัดพ้อ คิดว่าเธอรู้สึกยินดีปรีดานักเหรอ กับการถูกบังคับให้หมั้นหมายกับคนที่ไม่ได้รัก แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนั่นคือความประสงค์ของบุพการีที่เห็นว่าเหมาะสม แต่เขาทำเหมือนกับว่าเธอนั้นเป็นคนผิด
วูบหนึ่งของความรู้สึกอยากเอาชนะที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนัก ทำให้อิงอรเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ว่ายังไง ธันย์ก็จะต้องหมั้นกับอร และอรจะแต่งงานกับธันย์ให้ได้ ไม่เชื่อก็คอยดู”
ชายหนุ่มกัดฟันดังกรอด ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันทีอย่างไม่เหลียวกลับมามองคนที่นั่งเจ็บจุกเอามือกุมข้อเท้าไว้เลยแม้แต่หางตา…
ธันย์ธาดาเดินลิ่วๆ เข้ามาในห้องรับแขก ก่อนจะรีบฝืนปรับสีหน้าที่บึ้งตึงให้ราบเรียบเป็นปกติ เมื่อพ่อแม่ของทั้งเขาและอิงอร หันมามองชายหนุ่มพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“อ้าวธันย์มาแล้วเหรอลูก ทำไมกลับมาไวจัง มาทานของว่างด้วยกันสิจ้ะ” คุณอรนภาเอ่ยชวนลูกชายของเพื่อนด้วยความเอ็นดู
“ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะลูก แล้วนี่หนูอรอยู่ไหน ทำไมไม่รอหนูอรด้วย” มารดาเขาเอ่ยถามพลางทำหน้าเหนื่อยใจ ที่ลูกชายคนดีมิวายทำตัวต่อต้านน้อยๆ ต่อการเชื่อมสัมพันธไมตรีจากรุ่นสู่รุ่นของสองครอบครัว
“เอ่อ คือ…” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบยังไงดี ถ้าบอกว่าเขาเดินหนีมา ก็ดูจะเสียมารยาทจนเกินไป แต่เขามันคนตรงไปตรงมาด้วยสิ จะโกหกก็ไม่สบายใจเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหญิงลัด หนูอรคงเดินเล่นในสวนเพลิน เดี๋ยวนภาให้เด็กไปตามมาดีกว่าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกนภา…ธันย์ไปดูหนูอรสิ ตามน้องมาทานของว่างด้วยกัน ไปสิ” คุณหญิงลัดดาเอ่ยห้ามขึ้นมาเสียก่อน จากนั้นจึงหันไปสั่งบุตรชายจอมดื้อเงียบแทน
ร่างผอมสูงวัยใกล้เต็มหนุ่มจำต้องพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินเลี่ยงออกไป เพื่อตามหาคนตัวบางที่ทำให้เขาหงุดหงิดระคนรำคาญใจอยู่เรื่อย แม้แต่ตอนอยู่เฉยๆ ก็ตาม
ฮึ น้องอะไรที่ไหน รุ่นเดียวกันต่างหาก
คุณอรนภาหันไปมองหน้าสามีด้วยสายตาเป็นกังกล ก่อนที่จะยิ้มให้อีกฝ่ายเมื่อได้รับสายตาอบอุ่น และการพยักหน้าน้อยๆ จากคุณอรรถพลเป็นเชิงปลอบใจกลายๆ ว่า ไม่มีอะไรหรอกอย่าห่วงเลย…
อิงอรพยายามทรงกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เมื่อความเจ็บปวดที่ข้อเท้ากำลังรุมเร้าจนแทบไม่อยากจะขยับตัว แถมตอนนี้ที่ข้อเท้าของเธอยังปูดบวมแดงขึ้นมาจนน่ากลัวอีกต่างหาก
“อูย…เจ็บจัง” หญิงสาวครางออกมาอย่างแผ่วเบา กัดฟันฝืนกายลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อความเจ็บปวดแล่นจี๊ดเข้าไปถึงทรวงจนต้องทรุดกายลงที่เดิมอย่างหมดแรง
“เฮ้อ” อุทานออกมาอย่างเหนื่อยๆ ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร้องเท้าผ้าใบที่ดูก็รู้ว่าราคาสูง ที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังลดตัวลงนั่งยองๆ มือหนาเอื้อมไปจับที่ข้อเท้าบาง กดนวดวนเบาๆ บริเวณนั้น พร้อมกับหยุดมือเมื่อหญิงสาวครางออกมาเสียงอ่อย
“อยู่นิ่งๆ” เขาปรามเสียงเข้ม เมื่อเธอพยายามจะชักข้อเท้าออกจากมือแกร่ง ที่ยังคงจับคลึงอยู่อย่างนั้นเพราะรู้สึกเจ็บ