Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 10
คุณเชื่อไหม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
บ้านโมเดิร์นหลังใหญ่ตรงหน้านี้คือบ้านของคนที่ฉันจะต้องแต่งงานบ้าน ในเขตรั้วบ้านจะมีบ้านทั้งหมดสองหลัง มีหนึ่งหลังอยู่ตรงกลางหลังนั้นจะเป็นบ้านทรงโมเดิร์นเช่นเดียวกันกับหลังนี้แต่มีขนาดใหญ่กว่าคิดว่าน่าจะมีหลายสิบห้องเลยเหมือนกัน ส่วนบ้านหลังนี้หลังที่ฉันยืนอยู่ก็มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกันแต่ไม่ถึงกับบ้านอีกหลัง ภายในรั้วบ้านมีถนนทอดยาวจากประตูรั้วจากนั้นก็แยกมาที่บ้านหลังนี้หนึ่งเส้นและตรงไปจะเป็นถนนเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่ รอบ ๆ ก็เป็นสนามหญ้าและมีต้นไม้ปลูกไว้เมื่อความร่มรื่นและสวยงาม
คนที่เป็นเจ้าของบ้านเปิดประตูบ้านแล้วพาเดินดูรอบ ๆ ฉันก็ดูแบบผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจมาก กระทั่งขึ้นมาถึงห้องนอนใหญ่ที่เขาบอกว่าเป็นห้องหอให้ฉันเลือกว่าจะซื้ออะไรเข้ามาเพิ่ม
“ก็ไม่มีอะไรต้องซื้อนี่คะ” ฉันเงยหน้ามองเจ้าของบ้านอย่างไม่เข้าใจก็ที่ห้องมีเตียงนอนมีโต๊ะมีตู้เสื้อผ้ามีห้องน้ำหมดแล้วอะจะให้ซื้ออะไร
“พวกของใช้อยากให้ตกแต่งแบบไหน”
“แบบนี้ก็ได้ค่ะ ไม่ได้ซีเรียสอะไร แบบนี้ก็สวยแล้ว”
“อือ งั้นก็ไปซื้อพวกชุดผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มอะไรใหม่แล้วกัน”
เฮ้อ อุตส่าห์เรื่องจะไม่ต้องออกไปแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายยังลากฉันไปซื้อของหลายอย่าง ก่อนกลับฉันขอให้เขาพาแวะที่ตลาดสด จากนั้นก็เดินซื้อของกลับบ้านด้วยเลยอย่างน้อยหิวตอนดึกฉันก็ยังมีอะไรให้ทำกิน ที่บ้านมีของสดอยู่แล้วล่ะป้าแจ่มซื้อเข้าไปไว้แล้วส่วนฉันนั้นอยากกินพวกยำ พวกส้มตำอะไรแบบนั้นแหละแต่ของไม่ครบวันนี้เลยถือโอกาสซื้อเข้าไปด้วยเลย
“พรุ่งนี้อยากไปไหนไหม?” ระหว่างที่นั่งรถกลับบ้านคนที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่นั้นก็เอ่ยถามฉันขึ้นมา
“ไม่ค่ะ ไม่อยากไปไหน”
“เอาละ มาคุยตรง ๆ เถอะ”
“ค่ะ” ฉันคิดไว้แล้วล่ะว่าเขาจะต้องมีเรื่องคุยกับฉันอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่มีหรอกที่จะมายุ่งวุ่นวายด้วยแบบนี้
“แต่งเข้าบ้านผม แน่นอนว่าผมไม่ให้คุณอยู่เฉย ๆ แน่ คุณต้องไปทำงาน”
“แต่ฉันมีงานของฉันอยู่แล้ว” ฉันรีบบอกเขาในทันที
“รู้ แต่ก็ต้องเข้าไปทำงานช่วยผมด้วย คนอื่นจะว่าเอาได้ว่ามีเมียทั้งทีก็ขี้เกียจไม่ยอมทำงานช่วยผัว” ฉันล่ะเกลียดเขาจริง ๆ คำพูดคำจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย ผัวเมียอะไรกัน!
“สัปดาห์ละสองวันไปทำงานช่วยผม”
“ค่ะ!!” ฉันกระแทกเสียงใส่ ก็ไม่พอใจถึงได้ทำแบบนี้
“เงินเดือนจะเอาเดือนละเท่าไหร่”
“ไม่เอา” ฉันตอบกลับสายตาก็ลอบมองออกไปนอกรถ ภายในใจภาวนาให้ถึงบ้านเร็ว ๆ ไม่อยากทนนั่งอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ
“พูดเพราะ ๆ” อีกฝ่ายดุฉันเสียงเข้ม
“อยากให้คนอื่นพูดเพราะด้วย คุณเองก็ควรที่จะเรียนรู้การพูดเพราะกับคนอื่นด้วยนะคะ” ฉันเถียงกลับไปทันที ก็บอกแล้วเมื่อไหร่ที่ฉันไม่ยอม ฉันก็จะเถียงกลับไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยฉันจะเงียบ
“เฮ้อ โอเค ๆ”
“...”
ภายในรถมีเพียงความเงียบเมื่อฉันไม่ได้โต้ตอบเขากลับไป กระทั่งกลับมาถึงบ้านฉันก็เรียกให้ป้าแจ่มออกมาขนของที่ซื้อมาจากตลาดสดไปเก็บ ก่อนเข้าบ้านไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณเขา อีกฝ่ายเหมือนจะอยากเดินตามเข้ามาภายในบ้านแต่ก็ต้องรีบกลับไปเมื่อโทรศัพท์ของเขามีสายเรียกเข้ามา
จากบ้านของเขามาที่บ้านคุณย่าไม่ไกลมากนักใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว เดี๋ยวฉันจะกลับมาหาคุณย่าทุกวันเลย
“คุณย่ากินข้าวหรือยังคะ?” เมื่อเดินเข้าบ้านมาก็รีบเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่มีฟูกนุ่ม ๆ ปูทับไว้อยู่
“ยังลูก ย่าไม่หิวเลย”
“คุณย่า” ฉันรีบเอ่ยเรียกท่านด้วยความไม่สบายใจ แต่เมื่อจับมือท่านไว้ที่คนเหมือนกำลังจะหลับกลับส่งยิ้มให้บาง ๆ
“ย่าแค่ง่วงลูก เดี๋ยวกินข้าวแล้วจะนอนพักยาว ๆ เลยนะ”
“คุณย่าคะ ไม่สบายตรงไหนบอกหนูได้เลยนะคะ”
“ย่ารู้ลูก ย่าแข็งแรงมาก ๆ หนูอย่าได้กังวลเลย วันนี้ป้อนข้าวคุณย่าได้ไหม” คุณย่าเอ่ยขอ ทั้งยังคงยิ้มให้ฉันอยู่ดังเดิม ฉันมองคุณย่าด้วยความรู้สึกไม่สบายใจแต่ตอบตกลงที่จะป้อนข้าวคุณย่า
“ได้ค่ะ วันนี้กินเยอะ ๆ เลยนะคะหนูจะป้อนคุณย่าเอง”
ฉันได้แต่หวังว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกจะเป็นเพียงแค่ความกังวลใจของฉันเท่านั้น ยิ่งใกล้ถึงวันแต่งงานคุณย่ายิ่งดูสดชื่นขึ้นมากกว่าเดิม นั่งรถเข็นดูทีมงานจากร้านดอกไม้มาจัดซุ้มจัดดอกไม้ตกแต่งงานให้ นั่งกินข้าวด้วยกันได้ นั่งคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ของฉันได้อย่างดี จนฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ลึก ๆ ก็ยังคงกังวลใจอยู่