Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 1
สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่หนึ่งในสามของประเทศที่ล้วนเป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่านักเขียนที่จะได้มีผลงานร่วมกับสำนักพิมพ์นี้ ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของร้านหนังสือก็มักจะเจอกับหนังสือจากสำนักพิมพ์นี้ ทั้งนวนิยายไทย นวนิยายแปลจากต่างประเทศ ไหนจะวรรณกรรมเด็ก ซึ่งล้วนสร้างชื่อเสียงและเป็นที่จับตามองของกลุ่มนักอ่านและนักเขียนรอบข้าง
ภายในสำนักพิมพ์ใหญ่ต่างมีพนักงานเดินกันขวักไขว่ ส่วนสิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กเดินเข้ามาภายในสำนักพิมพ์ในวันนี้เป็นเพราะว่ามีนัดเซ็นสัญญานวนิยายแปลเรื่องใหม่ที่ทางสำนักพิมพ์เพิ่งจะตกลงกับนักเขียนในต่างแดนได้สำเร็จ แต่ดันมาล่าช้าเมื่อทางนักเขียนทางนั้นยื่นข้อเสนอให้นักแปลนามปากกา PPLinta เป็นคนแปลผลงาน
“คุณพลอยไพลินมาถึงหรือยัง”
“กำลังเดินทางมาค่ะ คอนเฟิร์มว่าทันแน่นอนค่ะ”
สัญญาว่าจ้างต่าง ๆ เตรียมเสร็จแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงแค่นักแปลอย่างพลอยไพลินเดินทางมาถึง นอกจากจะเป็นนักแปลสังกัดสำนักพิมพ์ พลอยประกาย แล้วเธอยังเป็นนักเขียนในสังกัดอีกด้วย แฟนคลับที่ตามตัวนักเขียนโดยตรงและติดตามผลงานแปลด้วย และทวงถามสำนักพิมพ์ทุกเดือนเกี่ยวกับผลงานเรื่องใหม่ของนักเขียนคนโปรด
“มาแล้วค่ะมาแล้ว” ฉันที่หอบหิ้วเอกสารและแก้วกาแฟของตัวเองเดินเข้าไปภายในห้องประชุมที่คุ้นเคยก็รีบเอ่ยเสียงทักทายกลุ่มคนที่นั่งรออยู่ นี่ฉันมาถึงก่อนเวลาตั้งสี่สิบนาทีเลยนะทำไมทุกคนถึงได้มองหน้าฉันแบบนั้นด้วยล่ะ
“สาธุ! ฉันนึกว่าแกจะหลงทางไปอีก” ประกายดาวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นทั้งยังยกมือไหว้อย่างดีใจ ทีมงานคนอื่น ๆ ในห้องประชุมหลุดหัวเราะอย่างขบขันไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทีของเจ้านายตัวเอง
“เกินไปแล้วยัยดาว ฉันไม่ได้เรดาร์พังขนาดนั้นสักหน่อย” มองเพื่อนงอน ๆ มือก็วางข้าวของที่หอบหิ้วมาลงบนโต๊ะ
“ให้โอกาสพูดใหม่ยัยพลอย” ครั้งนี้เป็นอาริสา หรือริสาเพื่อนอีกคนของฉันที่ร่วมวงเอ่ยแซว
“เอาละ ๆ อย่าเพิ่งชวนกันนอกเรื่อง”
“เนี่ยเพื่อนแท้เลยพิรัช” ฉันหันไปมองเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่มุมด้านหนึ่งพร้อมกับยกนิ้วโป้งเอ่ยชม แต่ไม่คิดจริง ๆ ว่ามันจะหักหลังฉันด้วยประโยคแบบนั้น
“ไม่มีเพื่อนเรดาร์พัง”
“ไอ้รัช! แกมันร้ายที่สุด ฉันฟ้องใครได้บ้าง” และเมื่อเพื่อนรุมแกล้งก็ร้องงอแง
“เฮ้อ รู้เลยมันนอนไม่พอ” ประกายดาวเอ่ยขึ้นอย่างปลงตก
ที่นี่คือสำนักพิมพ์ที่ร่วมกันเปิดกับเพื่อน ๆ ตอนนี้เปิดมาได้เกือบเจ็ดปีแล้วล่ะตั้งแต่เรียนอยู่ปีสามเลย มีครอบครัวของพิรัชช่วยเหลือและตอนนี้ก็เป็นพันธมิตรต่อกันเพราะบ้านพิรัชเป็นโรงพิมพ์ ฉันมีหุ้นของสำนักพิมพ์ก็จริงแต่ก็ไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายบริหารอะไรทั้งนั้น เพราะแค่ต้องเขียนต้นฉบับส่งและแปลงานก็นับว่าไม่มีเวลานอนพักแล้ว ยังดีที่ฉันไม่ต้องเข้าสำนักพิมพ์เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แต่ก็นั่นแหละ งานเยอะมากเช่นเดียวกัน
“มาดูงานก่อน อย่าเพิ่งเล่น เสร็จแล้วจะพาไปกินชาบู” อาริสารีบเอ่ยบอกกับฉัน และนั่นจึงทำให้ฉันมุ่งความสนใจไปยังงานตรงหน้าทันที สิ่งแรกที่เห็นคือต้นฉบับที่เสร็จแล้วเรียบร้อยพร้อมส่งให้ทีมงานตรวจสอบต่อตามขั้นตอน รวมถึงบรีฟเรื่องปกและธีมต่าง ๆ เสร็จแล้วถึงได้คุยเรื่องนวนิยายที่นักเขียนของทางต่างประเทศเลือกมาว่าต้องเป็นฉันที่เป็นคนแปลถึงจะยอมให้เซ็นสัญญา
“แปดเล่มนะแม่” ฉันอ่านรายละเอียดก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนตาโต
“ใช่ แปดเล่มจบพร้อมตอนพิเศษ เขาเลือกแกคนเดียวเลยพลอย” ประกายดาวอธิบาย
“เท่ากับว่าเราต้องทุ่มกับงานนี้เกือบหนึ่งปีเลยเหรอ”
“อื้อ ไหวไหม”
“ขอสโคปที่ชัดเจนก่อนเลย” ฉันบอกเพื่อน เพราะในหนึ่งเล่มปกติก็ใช้เวลาแปลสองถึงสามเดือนอยู่แล้วก่อนจะต้องส่งกลับมาให้สำนักพิมพ์ตรวจเพิ่มเติม
“ที่จริงตั้งไว้ว่าปีละสองเล่ม เอาเท่าที่แกไหวยังไงก็เซ็นสัญญามายาว ๆ อยู่แล้ว พิรัชทุ่มมากเพราะฐานแฟนคลับนักเขียนคนนี้เยอะ”
“...” ฉันพยักหน้าเข้าใจ เพราะฉันก็ติดตามนักเขียนคนนี้อยู่เช่นเดียวกัน
“แต่แฟนคลับแกก็รอแกเหมือนกัน...” ประกายดาวมองฉันพร้อมกับทำหน้ายิ้มอย่างรู้สึกผิด
“แปลสองเล่มเสร็จเราจะพักสองเดือนเขียนงานตัวเอง แล้วจะแปลต่อแบบนี้สลับกันจนครบ จบโปรเ**กขอพักหนึ่งเดือน”
“ได้ ตกลงเลย” ประกายดาวรีบตอบตกลงเมื่อได้ยินข้อเสนอ
“ฉันล่ะอยากหยิกพวกแกจัง” ฉันมองเพื่อนก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเอ่ยจบเพื่อนทั้งสามคนก็ยื่นแขนมาตรงหน้าฉันอย่างพร้อมเพรียงกันทันที ทีมงานคนอื่นที่ร่วมงานกันมาหลายปีก็หัวเราะอย่างขบขันไม่น้อย ใครจะไปคิดว่าทีมผู้บริหารติดเล่นกันขนาดนี้
“ไม่หยิก เดี๋ยวพวกแกเจ็บแต่เลี้ยงชาบูเลย”
“ได้ จัดให้หนัก” พิรัชยิ้มกว้างส่งให้ฉันอย่างดีใจ
“เอาละมาเซ็นสัญญากันเถอะค่ะ พี่จะได้เคลียร์ทุกอย่างให้ แล้วนี่เป็นเช็คเงินสดนะคะคุณพลอย สำหรับเรื่องแปลสองเรื่องและต้นฉบับสองเรื่อง” พี่ทีมงานเอ่ยบอกพร้อมกับส่งเช็คเงินสดมาให้ เป็นค่าจ้างงานแปลของก่อนหน้านี้
“ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ” เอ่ยบอกพี่ ๆ ทีมงานทีเล่นทีจริง
เราใช้เวลาที่ห้องประชุมนานหลายชั่วโมงกว่าจะคุยและตกลงเรื่องข้อสัญญากันจนเรียบร้อย แต่เพราะเพื่อนยังต้องทำงาน นัดชาบูของเราเลยต้องเลื่อนเป็นมื้อเย็นแทน ส่วนฉันเมื่อไม่มีงานหรือธุระที่จะพูดคุยกับเพื่อนเพิ่มเติมก็ขอตัวกลับคอนโดตัวเอง ไปนอนพักสักหน่อยเพราะโหมทำงานหนักหลายวันแล้ว ร่างกายโหยหาที่นอนมากจริง ๆ ค่ะ
เห็นฉันคุยเล่นกับเพื่อนและทีมงานแบบนั้น แต่ที่จริงฉันเป็นคนติดบ้านมากเรียกได้ว่าเป็นอินโทรเวิร์สคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เวลาจะออกจากบ้านทีไรต้องรวบรวมพลังงานทั้งหมดไว้ และจะรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ ที่ต้องออกไปเจอผู้คนมากมาย เหนื่อยและกังวลทุกครั้งที่ต้องพูดคุยกับคนอื่น
เพื่อน ๆ ของฉันต่างรู้ดีเลยจัดเวลาจัดทุกอย่างให้ได้แบบนี้ ปกติทำงานก็จะนั่งทำที่ห้องนี่แหละแบ่งโซนทำงานออกชัดเจน หรือเหนื่อย ๆ ก็จะหอบงานไปทำที่ทะเลบ้าง ภูเขาบ้างแล้วแต่อารมณ์ในช่วงนั้น
เพราะงานฉันเยอะและมีระยะเวลาจำกัดทำให้นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับไปเยี่ยมคุณย่าที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ท่านเป็นคนในครอบครัว พ่อกับแม่ฉันแยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเด็กพ่อเสียไปแล้วส่วนแม่ไม่ได้ติดต่อกันแล้วล่ะ ตอนนี้ก็ถ้ามีเวลาว่างฉันจะกลับไปหาย่าบ้าง หรือบางครั้งก็โทรกลับไป
เมื่อกลับมาถึงห้องพักฉันใช้เวลาทำความสะอาดห้องพักและจัดห้องใหม่นานหลายชั่วโมงก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำชำระคราบไคลแล้วเดินออกมานอนบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ของตัวเอง
เตียงนอนจ๋าพี่คิดถึงเหลือเกิน...