เพราะรู้ว่าภารกิจครั้งนี้จะนำไปสู่การเสียเอกราชครั้งแรก รีชม่อนจึงได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ไอ้เจ้าธีโอราสก็ยัง...
ให้พูดตามเนื้อเรื่องก็คือ หลังจากรีชม่อนเลื่อนขั้นเป็นจอมมาร ได้รับพลังของจอมมารที่สะสมมาจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งแรกที่ทำก็คือทดสอบพลังเวท ทำให้มันเข้าที่เข้าทาง และด้วยความอวดดีที่มีมาแต่เดิม รีชม่อนเลือกที่จะรุกรานอาณาจักรกริฟส์ซึ่งเป็นดินแดนของมนุษย์และยังอยู่ใกล้ดินแดนรกร้างมากที่สุด
ทว่าศัตรูโดยธรรมชาติของจอมมารก็คือผู้กล้า นอกจากจอมมารรีชม่อนจะรุกรานโลกมนุษย์ไม่สำเร็จ ยังถูกผู้กล้าจับขังและสำเร็จโทษทั้งวันทั้งคืนจนฟ้าเหลือง!?
อึ่ย...
ตอนแรกที่เห็นภาพรวมร่างแบบไม่มีเซ็นเซอร์ของมังงะเรื่อง ‘จอมมารกับผู้กล้าเป็นของคู่กันไม่ใช่เหรอ’ ชายแท้อย่างเรนกิถึงกับขนลุกวาบ ลำไส้บิดเกร็ง แต่เมื่อทำงานร่วมกับอาจารย์ยูโกะมานานถึงสองปี จะว่าชินชาแล้วก็ได้ แต่เขาก็อ่านมังงะเรื่องนี้ด้วยสายตาเฉยชาสุดๆ แถมยังแนะนำจุดที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างละเอียดรอบคอบ
เอาเป็นว่า จอมมารรีชม่อนติดใจความอหังการของผู้กล้า ครั้งแรกแม้ไม่เต็มใจ แต่ครั้งที่สอง สาม และต่อๆ มาเหตุผลในการรุกรานโลกมนุษย์กลับเป็นผู้กล้า...เฉยเลย!
และเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน เขาถึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เหรอ”
“ครับ”
ธีโอราสตอบกลับมาอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งยังทำท่ารอคอยคำสั่งต่อไป หากสายตานั้นก็ไม่ได้แสดงออกว่าเคารพสักเท่าไร ธีโอราสเองก็มีความขัดแย้งในตัวเหมือนกันสินะ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปทดสอบพลังเวทที่ไหนสักแห่ง เร็วๆ นี้ พวกเจ้าแยกย้ายกันได้แล้ว”
“ที่ไหนสักแห่งที่ว่า คือที่ไหนครับ”
เป็นคำถามของเจ้าชายแวมไพร์
“หือ? ก็คง...ลึกเข้าไปในป่าล่ะมั้ง”
รีชม่อนขอเลือกสถานที่เงียบๆ เพื่อทดสอบพลังกับต้นไม้ใบหญ้าดีกว่าให้มนุษย์ตาดำๆ มารับเคราะห์ อีกอย่าง ตัวเขาก็ไม่ต้องถูกผู้กล้ารุกรานเอกราชกลับด้วย
“แต่ดินแดนมนุษย์เหมาะสมกับการทดสอบพลังเวทมากกว่าไม่ใช่เหรอ” ธีโอราสออกความเห็น
“....!”
เขาสูดหายใจเฮือก
ไอ้บ้านี่ อุตส่าห์ไม่พูดถึงโลกมนุษย์แล้วเชียว ว่าแต่ นายตั้งใจใช่ไหม ตั้งใจสินะธีโอราส!
“ใช่แล้วค่ะ ถ้าจะไปดินแดนมนุษย์ ข้าเองก็ขอติดตามท่านไปด้วย ถึงยังไงวิญญาณของมนุษย์ก็อร่อยกว่าวิญญาณของปีศาจเยอะเลย”
ไมอา ซัคคิวบัสผู้กระหายวิญญาณเห็นดีเห็นงามกับธีโอราส
“....!!”
หลังจากถลึงตาแล้วถลึงตาอีก ในที่สุดรีชม่อนก็หมดคำจะพูด ยิ่งเห็นทุกคนใจจดใจจ่อรอรับคำสั่ง เส้นเลือดบนหัวก็เหมือนจะปูดโปนขึ้นมาอีกครั้ง
อาการปวดหัวตุบๆ แบบนี้มักจะเป็นตอนที่เจ้านักเขียนตีสต์แตกและมืดมนนั่นทำเรื่องขัดใจ อุตส่าห์คิดว่าถ้าตายแล้วก็คงได้ไปอยู่ในที่สงบๆ นี่อะไร ปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก
ยอมแพ้แล้วก็ได้...
“ถ้างั้น ใครสักคนไปทำแทนข้าที”
“ไม่ได้ จอมมารจะต้องนำทัพ ประกาศสมญานามด้วยตัวเอง” ธีโอราสยังคงพูดขัดความตั้งใจของรีชม่อนเหมือนอย่างเคย
“ใช่ๆ แบบนั้นสะใจกว่าเยอะ” เดโม่ตะโกนเสียงดัง
“....!”
โอ๊ย จะบ้าตาย ถึงจะพยายามเลี่ยงแล้ว แต่ก็คงไม่พ้นต้องเดินเรื่องตามพล็อตที่นักเขียนนั่นเขียนไว้อย่างนั้นเหรอ
พูดตรงๆ เลย ถึงอายุสามสิบสองแล้ว แต่เรนกิก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ด้วยความชะล่าใจ อยากทำงานเก็บเงินเอาไว้มากๆ แล้วค่อยหาผู้หญิงที่เหมาะสมสักคนมาแต่งงาน เผลอแป๊บเดียวก็อายุล่วงเลยมาถึงสามสิบกว่า
ถ้ารู้ว่าต้องมาอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเสียประตูหลัง ตอนมีโอกาสในโลกเดิม น่าจะมีครอบครัวตั้งแต่หนุ่มๆ ไปเสียเลย
“ขอเวลาให้ข้าได้คิดสักหน่อย แยกย้ายได้แล้ว”
“ครับ/ค่ะ”
ทว่าหลังจากเหล่าสมุนระดับสูงผู้ซื่อสัตย์แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ธีโอราสกลับยังอยู่ที่เดิม ทำหน้าเหมือนอยากพูดบางอย่าง
มาถึงขั้นนี้แล้ว รีชม่อนย่อมเข้าใจดี ต่อให้เลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องเจอกับผู้กล้ามากแค่ไหน แต่ก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นจึงกล่าวแทรกหลังจากมองหน้าของธีโอราส
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปรุกรานดินแดนมนุษย์ภายในสองวัน พอใจหรือยัง?”
“ครับ”
“ไปเถอะ ขอข้าคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว”
“ได้ ท่านจอมมาร”
ถึงจะใช้คำพูดกริ่งเกรง แต่ธีโอราสก็ไม่ได้แสดงออกถึงการเคารพอย่างหมดใจ หนำซ้ำกลับมองรีชม่อนอย่างพิจารณา
เรนกิที่เข้ามาอยู่ในร่างของรีชม่อนนั้นกลับคิดว่า...จะสงสัยหรืออะไรก็ช่างแล้ว เขาขอหาวิธีเอาตัวรอดก่อนแล้วกัน!
ณ อาณาจักรกริฟส์
ในทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะมีผู้กล้าถือกำเนิดพร้อมกับพลังเวทแห่งแสงซึ่งมีพลังเหนือกว่าเวทอื่นๆ
ไม่ว่าจะเกิดในชนชั้นใด คนคนนั้นจะเป็นใคร เมื่อได้รับพรจากพระเจ้า ล้วนถูกเลือกให้เป็นผู้กล้า เด็กคนนั้นจะถูกเลี้ยงดูโดยโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นามว่า ‘คีรีแห่งแสง’ ถูกฝึกฝนในฐานะวีรบุรุษ และคอยปกป้องอาณาจักรกริฟต์อันยิ่งใหญ่
และแล้ว หนึ่งร้อยปีก็เวียนมาบรรจบ หญิงสาวยากไร้จากหมู่บ้านกันดาร ได้ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่ง
เด็กชายที่มีสายอื่นเจือปน หากแต่ถูกเลือกโดยพระเจ้า
หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านล่วงรู้ ชีวิตของเด็กชายวัยสามขวบก็ได้เปลี่ยนไป เขาถูกซื้อตัวโดยโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากต้องพลัดพรากกับมารดาซึ่งเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว เด็กชายยังถูกตั้งชื่อใหม่ว่า ‘เอลเลียต โอฮาดอล์ก’
สิบเจ็ดปีผ่านไป เด็กที่ถูกเลี้ยงดูจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เติบโตเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา แต่ก็ต้องฝึกฝนและถูกทดสอบอย่างหนักทุกวี่วัน พร้อมกับทำหน้าที่ปกป้องราชอาณาจักร ปราบปรามสิ่งชั่วร้าย
ทว่ารางวัลที่ได้รับหาใช่ความภาคภูมิใจ หากเป็นหัวใจที่ค่อยๆ เย็นชืดทีละน้อยพร้อมกับความสงสัย
ไม่มีอะไรกระตุ้นหัวใจที่เย็นชืดนี้ได้เลยเหรอ...
อะไรก็ได้
อะไรก็ได้
เอลเลียตคิดขณะยืนรับลมกลางคืนบนหอคอยสูง
อาจเป็นความคิดที่ไม่เหมาะสมกับคำว่า ‘ผู้กล้า’ ทว่าความตื่นเต้นที่ต้องการก็ไม่ใช่ความรื่นรมย์ที่ได้รับจากอิสตรี ว่ากันตามจริง ถึงเอลเลียตได้รับอนุญาตให้สร้างครอบครัวตั้งแต่สามปีที่แล้ว และมีสตรีมากมายเข้ามาเสนอตัว แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น ไม่ว่าจะกับสตรีหน้าไหนก็ตาม
สิ่งที่รอคอยจริงๆ เหมือนไม่ได้อยู่ที่นี่ ก้นบึ้งในจิตใจบอกเขาเช่นนั้น
ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ท้องฟ้าก็มีสภาพแปรปรวน ก้อนเมฆมืดครึ้มลอยไปรวมตัวกันทางทิศตะวันตก กระแสลมกรรโชกแรงคละเคล้ากับกลิ่นคาวโลหิต
ตลอดหลายปีที่ศึกษาตำราประวัติศาสตร์แห่งผู้กล้า เอลเลียตรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้คือสัญญาณของการลืมตาตื่นของจอมมาร
เหนืออื่นใด หัวใจที่เย็นชืดของเอลเลียตร้อนผ่าวด้วยความตื่นเต้น
[ท่านเอลเลียต ท่านวิลลอสเรียกพบขอรับ]
เสียงของชายวัยกลางคนแทรกเข้ามาในความคิด นี่คือ [เวทสื่อสาร] เป็นพื้นฐานของนักเวท
[เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้]
‘วิลลอส โอฮาดอล์ก’ ผู้นำลัทธิคีรีแห่งแสง และเป็นบิดาบุญธรรมของเอลเลียต เรียกพบด่วนอย่างนี้ ฝ่ายนั้นคงเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อสักครู่แล้ว
คิดจบ เอลเลียตใช้ [เวทเคลื่อนย้าย] พาตัวเองมาที่โถงส่วนกลางของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ในชั่วพริบตา