แล้วเธอก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมาในฉับพลัน เพราะยามที่มีปัญหาเธอมักจะคิดถึงคนผู้นี้ก่อนใครเสมอ หญิงสาวจึงหยิบมือถือมากดเบอร์ที่จำได้จนขึ้นใจโดยไม่ต้องไล่หาตามตัวอักษร ครั้นได้ยินเสียงคนปลายสายกดรับ พรนับพันก็พูดเสียงเครือเจือสะอื้นทันที
“ป้าพวงจ๋า”
คนปลายสายนิ่งไปชั่วครู่ “น้องขิม ร้องไห้ทำไม ทะเลาะกับคุณแม่มาอีกใช่หรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงแสดงความห่วงใยจากผู้ที่เลี้ยงเธอมาแต่เล็กแต่น้อย ดูเหมือนจะทำให้น้ำตาไหลรินมากยิ่งขึ้น
“ค่ะ หนูพยายามจะทำตามที่ป้าสอน วันนี้หนูตั้งใจจะบอกคุณแม่ว่าบริษัทน้ำมันที่หนูไปสมัครงานไว้ โทร. มาบอกให้ไปสัมภาษณ์ภายในอาทิตย์หน้า แต่...” พรนับพันหยุดพูดเพียงแค่นี้ ซึ่งคนในสายก็ดูจะเข้าใจแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องอธิบาย หญิงสาวจึงได้ยินเสียงทอดถอนใจก่อนจะตามมาด้วยคำปลอบโยนดั่งเคย
“ทำไมไม่บอกคุณแม่ไปล่ะคะ น้องขิมของป้าเก่งออกเพียงแต่ชอบประชดเท่านั้น รู้หรือเปล่าว่าทำไปแล้วคนที่เสียคือตัวเราเอง อย่างเรื่องที่ไม่ยอมสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐทั้งที่ตัวเองก็เรียนเก่ง ผลที่ได้ก็แค่สะใจที่ต่อต้านและทำให้คุณแม่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ตัวเองต้องไปเรียนทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรก มันคุ้มกันไหมล่ะคะ”
เรื่องที่นางพวงพูดนั้น พรนับพันไม่อาจเถียงได้ เพราะเธอทำเช่นนั้นจริงๆ นับตั้งแต่มารดากับบิดาเริ่มมีเรื่องระหองระแหงกันตอนเธออายุแค่สิบขวบ นางพวงซึ่งเป็นคนช่วยเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กเปรียบเหมือนแม่คนที่สอง ทั้งยังคอยเป็นที่ปรึกษาและรับรู้เรื่องราวต่างๆ นานา แทนแม่บังเกิดเกล้า ที่มุ่งความสนใจให้งานสังคมสงเคราะห์แทน โดยไม่รู้หรอกว่าเด็กสิบขวบอย่างเธอโหยหาความอบอุ่นมากแค่ไหน
“ทำไมน้องขิมถึงไม่บอกคุณแม่ว่าสอบเข้าทำงานได้”
คราวนี้คนถูกถามร้องไห้สะอึกสะอื้น ก่อนจะเล่าเรื่องที่โต้เถียงกับมารดาให้ฟังและจบลงด้วยคำพูด
“คุณแม่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับหนูเลย แต่ชอบเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานว่าหนูต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เท่านั้นไม่พอ ยังเอาลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบ ซ้ำยังชื่นชมเขาให้ลูกตัวเองฟังอีก ไม่รู้เลยหรือไงว่าคนฟังจะเจ็บปวดแค่ไหน”
“ไม่เอานะคะอย่าพูดอย่างนี้ คุณแม่รักน้องขิมมาก เพียงแต่อาจแสดงออกไม่เหมือนที่เราคิด ให้เวลาคุณแม่บ้างนะคะ น้องขิมก็รู้นี่นาว่าคุณแม่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร” คนในสายพูดปลอบโยนเหมือนเคย และคุยต่อด้วยอีกพักใหญ่จึงวางสาย
หลังจากได้พูดระบายออกไปบ้างแล้ว พรนับพันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าอีกฝ่ายอยู่ด้วยอาจจะทำให้เธอรู้สึกดีกว่านี้ เสียดายที่อีกฝ่ายลาออกกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เธอก็ยังโทร. ไปหาอยู่เป็นประจำ
เมื่อกลับเข้าบ้านอีกครั้ง พรนับพันก็เห็นมารดาซึ่งแต่งหน้าใหม่จนสวยพริ้งนั่งรออยู่ สมกับที่บอกเธอว่าวันนี้ต้องให้สัมภาษณ์นิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่ง ที่เธอเคยอ่านแล้วต้องร้องยี้ เพราะจุดประสงค์ของแต่ละคนนั้น ต้องการจะอวดบ้านหลังใหญ่ ครัวทันสมัยที่ไม่รู้ว่าเคยใช้งานบ้างหรือเปล่า กระเป๋าใบโปรด รวมทั้งเครื่องประดับที่สวมบ่อยครั้ง ซึ่งมารดาของเธอก็คงเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้ด้วยอย่างแน่นอน
“ยายขิม ถึงแกจะไม่อยากไปกับแม่นัก แต่ก็ต้องรู้นะว่าควรแต่งกายแบบไหน อย่าให้ใครดูถูกมาถึงแม่ได้”
การกลัวเสียหน้าคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณพรพรรณรายเหนือสิ่งอื่นใด
พรนับพันในชุดราตรีสั้นเหนือเข่าสีครีมอ่อนจนเกือบขาว อวดเรียวขาสวย สวมสร้อยเพชรน้ำงามเส้นเล็กทว่าเจิดจรัสอยู่บนลำคอระหง เดินตามหลังมารดาเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ของโรงแรมดังย่านถนนราชดำริ เวลานี้บรรดาแขกเหรื่อ ซึ่งล้วนแต่แต่งกายประกวดประชันกันเต็มที่กำลังเริ่มทยอยกันเข้ามา หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะมีอาการขบขัน เมื่อดวงตาคู่สวยกวาดมองบรรยากาศรอบๆ กาย ห้องจัดงานหรูหรา สังเกตได้จากแชนเดอเลียร์ที่ประดับอยู่ ซึ่งดูแล้วช่างขัดกับงานการกุศลเพื่อเด็กกำพร้าเสียจริงๆ
ตกลงจัดงานเพื่อจะอวดความร่ำรวย ว่าใครจะบริจาคเงินมากกว่าใคร หรืออวดกันว่าใครจะสวมเครื่องประดับอลังการมากกว่ากันสินะ เพราะพรนับพันเห็นหลายคนสวมกันจนเลอะเทอะมากกว่าจะมองแล้วสวย
“สวัสดีค่าคุณน้องพรรณขา”
น้ำเสียงอ่อนหวานที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้คุณพรพรรณรายเหลียวไปมอง แล้วก็ยิ้มกว้างอย่างสาวสังคม ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ชดช้อย “คุณพี่ปัท สวัสดีค่ะ”
แล้วจึงหันไปบอกบุตรสาวเสียงอ่อนหวาน
“น้องขิมไหว้คุณป้าปัทสิลูก วันนี้ดิฉันพาลูกสาวมาด้วยค่ะคุณพี่ น้องขิมของดิฉันไม่ค่อยชอบออกงานเท่าไหร่ นี่ก็ต้องบังคับกันมา”
คนเป็นลูกฟังแล้วก็ยิ้มหยัน นี่แหละ! แม่ของเธอยามอยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น คำพูดคำจาจะไพเราะหวานหู ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยได้ยินคำว่าน้องขิม มาเป็นสิบปีแล้วกระมัง แล้วคำว่าดิฉันที่เธอฟังเพี้ยนเป็นเดี๊ยนทุกทีนี่อีก
“สวัสดีค่ะคุณป้า” เธอพูดทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นทำความเคารพ แล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะสุภาพสตรีวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมตรงหน้าสวมเครื่องประดับราวกับตู้เพชรเคลื่อนที่ก็ไม่ปาน