“นั่นจะไปไหนยายขิม อย่าลืมนะวันนี้แกต้องไปงานกับแม่ แล้วดูแต่งตัวเข้า จะเอาไว้ล่อเสือล่อตะเข้หรือไง ทำไมไม่รู้จักแต่งตัวให้สมกับเป็นลูกฉันบ้างนะ” พูดพลางปรายตามองร่างบุตรสาวในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนขาสั้น ถึงแม้จะแต่งแล้วดูดีเพียงใดก็ตาม แต่ก็เป็นชุดที่ล่อแหลมไม่ควรแต่งออกไปในที่สาธารณะ
“แล้วชุดที่เหมาะสำหรับการเป็นลูกสาวคุณแม่น่ะ ชุดแบบไหนล่ะคะ” คนเป็นลูกย้อนถามด้วยสีหน้านิ่งๆ ที่คนเป็นแม่ไม่ชอบเลยสักนิด เพราะยิ่งเห็นก็ยิ่งทำให้โมโหทุกครั้ง
“แกอย่ามาย้อนแม่นะยายขิม โตจนป่านนี้ไม่รู้หรือไงว่าแต่งตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม” คุณพรพรรณรายพูดเสียงดัง “แต่งตัวอย่างนี้...สักวันคงได้ท้องไม่มีพ่อ”
ประโยคหลังหลุดออกไปเพียงเพราะอยากประชดกลับเท่านั้น เธอไม่คิดว่าบุตรสาวจะทำตัวเช่นนั้นจริงๆ ทว่าดวงหน้าสะสวยของพรนับพันกลับเปลี่ยนไปทันที ดวงตาคู่สวยฉายแววคล้ายสัตว์บาดเจ็บ ก่อนจะนิ่งงันไปชั่วครู่แล้วพูดตอบโต้ออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่จริงเธออยากจะร้องไห้มากกว่า
“ก็ดีสิคะ ถ้าท้องไม่มีพ่อ ลูกของขิมจะได้อยู่ในความสงเคราะห์ของมูลนิธิของคุณแม่ไง ไหนๆ ก็สงเคราะห์ลูกหลานคนอื่นมามากแล้ว สงเคราะห์หลานตัวเองอีกสักคนจะเป็นไรไป”
“ยายขิม แกไม่ต้องมาประชดแม่” คนเป็นแม่ยืนขึ้นแล้วก้าวมาหาพร้อมกับตวาดเสียงดัง แต่คนเป็นลูกกลับมิได้ตกใจแม้แต่น้อย
“คุณแม่ก็รู้ว่าขิมไม่ได้ประชด ถ้าคุณแม่ต้องการเดี๋ยวขิมจัดให้ จะเอาคนไทยหรือฝรั่งดีคะ”
ริมฝีปากของคุณพรพรรณรายสั่นระริก เธอยกมือขึ้นชี้หน้าบุตรสาว
“แกอย่ามาพูดบ้าๆ พ่อกับลูกไม่ได้ดั่งใจสักคน ทำไมแกไม่เอาอย่างหนูมะปรางลูกสาวคุณปัทมาบ้าง เรียนก็เก่งจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แถมยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปไฟฟ์ของอเมริกาได้ แล้วกำลังจะเข้าทำงานในบริษัทใหญ่โต ไม่เหมือนแกที่เรียนจบแค่มหาวิทยาลัยเอกชน ตัวอย่างดีๆ ของฉันก็มี ทำไมแกไม่เอาอย่างบ้างนะ”
คุณพรพรรณรายเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของเมืองไทย จึงรู้สึกขายหน้ามากที่บุตรสาวไม่เป็นเหมือนเธอ
“ที่คุณแม่เอาเรื่องนี้กลับมาบ่นอีกทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายปี เพราะอายที่ขิมเรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชนหรือเพราะเสียหน้าที่ถูกคนอื่นพูดข่มคะ”
“ยายขิม!” คุณพรพรรณรายตวาดลั่นเพราะคำพูดดังกล่าวจี้ใจดำ “ใช่ ฉันยอมรับว่าเสียหน้าที่มีลูกไม่ได้ดั่งใจ สักวันถ้าแกเป็นแม่คน แกจะรู้สึกเองว่าเป็นอย่างไร เวลาที่คนอื่นพูดจาโอ้อวดว่าลูกสาวตัวเองเก่งอย่างโน้น เก่งอย่างนี้ใส่หน้าน่ะรู้ไหมว่าฉันอาย”
ดวงหน้าของพรนับพันปรากฏร่องรอยความเจ็บช้ำขึ้นวูบหนึ่งที่คนเป็นแม่ไม่ได้เห็น
“ตัวอย่างดีๆ ของคุณแม่เช่นการสร้างภาพหรือปั้นหน้าหลอกคนโน้นคนนี้น่ะหรือคะ อันนี้ขิมคิดว่าคงซึมซับอยู่ในสายเลือดแล้วแหละค่ะ”
พรนับพันทิ้งท้ายด้วยคำพูดเยาะหยัน ก่อนจะสะบัดหน้าจากไปทิ้งให้มารดายืนกำมือแน่น ความโกรธแล่นพล่านขึ้นมาเป็นริ้วๆ ที่ถูกย้อน เธอตะโกนเรียกบุตรสาวเสียงลั่น
“กลับมาเดี๋ยวนี้นะยายขิม”
แต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์เมื่อได้ยินเสียงรถที่แล่นออกไปจากบ้าน คุณพรพรรณรายเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวหรูอย่างอ่อนแรง พ่อกับลูกไม่ได้เหมือนกันเฉพาะแค่ใบหน้า แต่ยังชอบยั่วอารมณ์เธอให้เดือดพล่านได้ไม่แพ้กันอีก
หลังจากนั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองพักใหญ่ คุณพรพรรณรายจึงลุกขึ้นเพื่อเตรียมไปงานการกุศล ซึ่งเธอเป็นประธานจัดงานเพื่อหารายได้ช่วยเด็กกำพร้า และที่ต้องให้ทั้งสามีและบุตรสาวไปด้วยก็เพราะจะต้องออกทีวี รวมทั้งมีนิตยสารฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ ซึ่งนิตยสารฉบับนี้ไม่ใช่จะขึ้นปกกันได้ง่ายๆ
แม้จะรู้ว่านั่นคือการสร้างภาพอย่างที่บุตรสาวประชดเมื่อครู่ แต่เธอก็จำเป็นต้องทำ และหวังว่าทั้งพ่อและลูกคงไม่ทำให้เธอขายขี้หน้าใคร
พรนับพันขับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันเล็กแต่ราคาแพงออกจากบ้านด้วยแรงอารมณ์ จนเด็กในบ้านแทบจะเปิดประตูให้ไม่ทัน ก่อนจะค่อยๆ ชะลอแล้วจอดสนิทริมถนน ที่ไม่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งออกมาเท่าใดนัก พรนับพันยกมือขึ้นกัดเล็บซึ่งเธอมักจะเผลอทำตอนอารมณ์ไม่ค่อยปกติ
ใครต่อใครมักคิดว่าชีวิตอันแสนสุขสบายของหญิงสาวเป็นสิ่งที่น่าอิจฉา เพราะเธอแอบได้ยินหลายคนพูดว่าเธอโชคดีที่เกิดในครอบครัวที่เพียบพร้อม หน้าตาหรือก็สวยสดงดงาม สมบูรณ์พูนสุขด้วยทรัพย์ศฤงคาร บิดามารดาก็ล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคมชั้นสูง
แต่ใครจะรู้บ้างว่า ถ้าสามารถเลือกเกิดได้ พรนับพันขอเกิดเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ ในครอบครัวเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น ขอร่ำรวยความสุขแทนข้าวของเงินทอง และที่สำคัญขอให้บิดามารดาไม่ทะเลาะเบาะแว้ง และรักเธอโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
หญิงสาวค่อยๆ ปรับเบาะพลางเอนกาย ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา ที่แยกไม่ออกว่ามาจากความน้อยใจหรือเสียใจกันแน่ ก่อนจะมองตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ของเธอที่เห็นลิบๆ อยู่เบื้องหน้า บ้านหรูหราซึ่งล้อมรอบด้วยร่มไม้ใหญ่น้อยที่ปลูกไว้เพื่อความร่มเย็น แต่ภายในบ้านกลับเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มดุจอยู่ในกองเพลิง