คำถามที่ราวกับมานั่งอยู่ตรงกลางใจ ทำให้คนฟังนิ่งเงียบเท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“ป้าพวงจ๋า ทหารสองคนที่มาส่งหนูเมื่อคืนน่ะเป็นใครหรือจ๊ะ หนูยังไม่ได้ขอบคุณพวกเขาเลย”
นางพวงมองคนถามอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายเลี่ยงไม่ตอบคำถามนาง “คนที่ขับรถให้น้องขิมชื่อผู้พันแสนคม ส่วนอีกคนชื่อผู้กองบดินทร์”
“แล้วพวกเขาเป็นใครกันหรือจ๊ะ ทำไมที่นี่ต้องมีทหารคอยดูแลด้วย”
“เท่าที่ป้ารู้ ที่นี่เป็นพื้นที่ของสวนป่าเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระราชินี และอยู่ในความดูแลของทหารหน่วยพัฒนาของกองทัพบก ส่วนรายละเอียดคงต้องถามเอาจากเจ้าตัวแล้วกัน ตัวผู้พันแสนคมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่ครบปีเลยจ้ะ ส่วนผู้กองดินก็เพิ่งย้ายมาได้ไม่กี่เดือน”
“อ๋อ...จ้ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ ตาผู้พันหน้าดุนั่นเพิ่งย้ายมาแต่ทำท่าทางราวกับอยู่มานาน
“แล้วน้องขิมรู้หรือเปล่าว่าถ้าเมื่อคืนไม่พบผู้พันแสนคมกับผู้กองดิน แล้วเกิดไปพบกับกองกำลังติดอาวุธของพวกทหารกะเหรี่ยงเข้าอะไรจะเกิดขึ้น คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นอย่างนี้นะ จะมาก็ควรโทร. มาหาป้าก่อน ไม่ใช่จู่ๆ นึกจะมาก็มา แล้วถ้าป้าไม่อยู่ล่ะจะทำอย่างไร”
คนถูกดุเงียบกริบ คงจะมีแต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่กล้าพูดกับเธอด้วยถ้อยคำเช่นนี้ โดยที่เธอไม่โต้เถียงหรือพูดประชดใส่เหมือนที่ทำกับมารดา
“แถวๆ นี้มีพวกทหารกะเหรี่ยงด้วยหรือจ๊ะ” คนผิดเต็มประตูอ้อมแอ้มถาม เพราะเมื่อคืนก็ได้ยินผู้กองดินอะไรนั่นพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน
“มีสิจ๊ะ ชนกลุ่มน้อยอย่างชาวกะเหรี่ยงพวกนี้ถูกทหารพม่ารุกราน จึงตั้งกองกำลังขึ้นตามแนวตะเข็บชายแดนเพื่อป้องกันตัวเอง ทหารบางคนยังเด็กอยู่เลย”
นางพวงเล่าอย่างคล่องปาก จึงถูกพรนับพันที่หลังจากระบายเรื่องราวต่างๆ ออกมาแล้ว ความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ก็คลายลงถึงกับเอ่ยปากแซว
“ป้าพูดยังกับเคยเห็นทหารกะเหรี่ยงอย่างนั้นแหละ”
หญิงวัยกลางคนส่งค้อนให้ขวับใหญ่ราวสาวๆ ทว่ารู้สึกพอใจที่เห็นสีหน้าหมองๆ ของคนพูดคลายลง
“ผู้พันแสนเล่าให้ฟัง ป้าเองไม่เคยเจอหรอก เห็นก็แต่พวกกะเหรี่ยงธรรมดาๆ ในหมู่บ้านนี่แหละจ้ะ”
“หมายความว่าในหมู่บ้านนี้มีกะเหรี่ยงอยู่ด้วยหรือจ๊ะ” หญิงสาวถามเสียงสูงแล้วหน้าดุๆ ของผู้พันแสนของนางพวงก็ลอยมาให้เห็นในห้วงสำนึกทันที
“จะว่าไปแล้วที่เห็นเดินอยู่ในหมู่บ้านกว่าครึ่งน่ะ เป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงแทบทั้งนั้น ถ้าน้องขิมเห็นแล้วอาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ หรือถ้าอยากรู้เกี่ยวกับพวกกะเหรี่ยงก็ต้องถามผู้พันแสนเพราะรายนั้นรู้เรื่องนี้ดี”
พรนับพันแอบเบ้ปาก ให้ไปถามผู้พันหน้าดุนั่นน่ะหรือ ไม่มีทาง นั่งรถมาด้วยกันยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ทำอย่างกับเธอเป็นตัวน่ารังเกียจอย่างนั้นแหละ ดูเหมือนว่าเธอเคยพบหน้าตาผู้พันขี้เก๊กนี่ที่ไหนมาก่อน แต่ตอนนี้นึกไม่ออก
“ใครจะกล้าถามตาผู้พันหน้าบูดนั่นล่ะจ๊ะ”
นางพวงที่บังเอิญเห็นคนพูดทำท่าเบ้ปากก็หัวเราะลั่น
“น้องขิมก็ช่างว่า ผู้พันชอบทำหน้าดุไปอย่างนั้นเอง แต่จริงๆ ใจดีนัก สาวๆ ในหมู่บ้านอยากเป็นแฟนผู้พันแสนกันทั้งนั้นแหละ อย่างนังดวงใจลูกสาวกำนันคำไง เทียวไล้เทียวขื่อมาหาอยู่บ่อยๆ แต่ผู้พันไม่เคยชายตามองเลย”
พรนับพันตวัดสายตามองคนพูดที่ดูจะชื่นชอบคนที่ถูกพาดพิงถึงเป็นพิเศษอย่างขัดใจ
“ดูป้าจะชอบตาผู้พันนั่นจังเลยนะจ๊ะ”
คนถูกค่อนหัวเราะชอบใจพลางจ้องหน้าคนพูด ที่ว่าแต่คนอื่นทำหน้าบูด ตัวเองก็ทำหน้าบูดไม่แพ้กัน
“ถ้าป้ายังสาวและสวยอย่างน้องขิมก็คงจะลงสนามสู้กับคนอื่นไปแล้วแหละ”
“ไม่ต้องเอาหนูไปเกี่ยวข้องด้วยเลย” หญิงสาวฟังแล้วยิ่งขัดใจมากขึ้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันใด “เสียงตัวอะไรหรือจ๊ะป้าที่ร้องอยู่นั่น”
นางพวงมองไปยังบรรดาต้นไม้สูงๆ ข้างบ้าน “จักจั่นที่ป้าเคยเล่าให้น้องขิมฟังตอนเด็กๆ ไงล่ะจำได้ไหม”
หญิงสาวนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออก เพราะตอนเด็กๆ อีกฝ่ายมักจะสรรหาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้ฟังยามที่เธอเหงาหรือไม่สบายใจ และส่วนใหญ่เรื่องที่เล่าจะเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนทั้งสิ้น
“อ๋อ...แสดงว่าตัวที่ส่งเสียงอยู่นี่คือจักจั่นตัวผู้ ที่ป้าเคยเล่าให้หนูฟังว่า มันจะขยับปีกเป็นเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบรรดาจักจั่นสาวๆ และเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฤดูร้อนกำลังจะมาถึงใช่ไหมจ๊ะ”
น้ำเสียงกระตือรือร้นของคนถามทำให้นางพวงยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“ใช่แล้วจ้ะน้องขิม”
พรนับพันมองไปยังต้นไม้ทั้งหลาย ที่ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าฤดูร้อนกำลังมาเยือน จากใบไม้ที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ ต้น จะว่าไปแมลงเหล่านี้ก็เหมือนตัวบอกฤดูกาล ราวกับมันรู้ล่วงหน้าอย่างนั้นแหละ คิดว่าคงจะเป็นเพราะสัญชาตญาณนั่นเอง
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง หนูไม่นึกเลยว่าแค่การขยับปีกจะทำให้เกิดเสียงดังขนาดนี้ได้ อยากเห็นตัวมันจัง” หญิงสาวรำพึงรำพันอย่างแปลกใจ
“มันไม่ได้ขยับตัวเดียวนี่นา หลายตัวขยับพร้อมๆ กันเสียงจึงดังเซ็งแซ่อย่างนี้ แล้วตัวของมันน่ะเห็นยากมาก” นางพวงอธิบายเพิ่มเติม
“จริงๆ อย่าว่าแต่เสียงจักจั่นเลยจ้ะ แม้แต่เสียงไก่ขันหนูก็เพิ่งเคยได้ยิน”
“น้องขิมอยู่ไปนานๆ ก็จะชินกับเสียงพวกนี้เอง”
นางพวงเกือบจะหลุดคำพูดต่ออีกว่า ถ้าได้คลุกคลีกับธรรมชาติ อาจจะช่วยทำให้ทิฐิที่มีค่อยๆ หายไปก็ได้
“อ๋อ...จ้ะ” หญิงสาวพยักหน้าแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ...แล้วเด็กที่ชื่อจุ้นนั่นใครเหรอจ๊ะ”
เพราะเธอรู้ว่านางพวงนั้นแม้จะเคยแต่งงาน แต่สามีก็ตายตั้งแต่ยังสาว จะว่าเป็นลูกหลานดูหน้าตาแล้วก็ไม่น่าจะใช่
“อ๋อ...ไอ้จุ้นเป็นเด็กกะเหรี่ยงที่ผู้พันแสนไปพบตอนนั่งร้องไห้อยู่กับศพพ่อแม่แถวๆ บ้านพุระกำเมื่อปีก่อน พอสอบถามก็บอกว่าพ่อแม่พี่น้องถูกทหารพม่าฆ่าตาย ผู้พันสงสารเลยพามาให้ป้าช่วยเลี้ยงดู โดยเป็นคนออกค่าเลี้ยงดูให้”
พรนับพันฟังแล้ว วูบหนึ่งก็รู้สึกสงสารชะตากรรมของเด็กชายที่ถูกเอ่ยถึงยิ่งนัก เพราะดูแล้วเด็กชายจุ้นอายุไม่น่าจะเกินแปดขวบ แถมยังต้องกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าก็อดพูดแขวะไปถึงใครบางคนไม่ได้
“ไม่ใช่ผู้พันของป้าไปแอบมีภรรยาเป็นสาวกะเหรี่ยงจนมีลูกด้วยกันหรือจ๊ะ”
นางพวงรีบปฏิเสธทันควันราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง “อุ๊ย…ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ”
“แหม รีบแก้ตัวแทนเลยนะ ใครจะไปรู้ ผู้ชายก็เหมือนกันหมด ดูอย่างคุณพ่อหนูสิจ๊ะป้า”
น้ำเสียงตัดพ้อของหญิงสาวทำเอาหญิงวัยกลางคนต้องเชยคางเรียวให้เงยขึ้น พลางจ้องดวงตาคู่สวยนิ่งๆ
“คุณเมธีเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังตัดเรื่องพวกนี้ไม่ขาดหรอก จะว่าไปแล้วหน้าตารวมทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานก็ชวนให้สาวๆ ทั้งหลายวิ่งเข้าหา เพื่อหวังแลกกับความสุขสบายที่ได้รับ แล้วน้องขิมก็อย่าลืมว่าสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากคุณพรรณเองที่ชอบบ่นโน่นบ่นนี่ไม่หยุดหย่อน ที่ป้าพูดก็ไม่ได้เข้าข้างคุณพ่อของน้องขิมนะ”
“พูดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ”