พรนับพันขับรถออกมาโดยไร้จุดหมายปลายทาง เรื่องที่จะไปขอพักพิงกับเพื่อนชั่วคราวไม่ได้อยู่ในความคิดเลยแม้แต่น้อย หลังจากขับรถไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็ขับมาจนถึงถนนเพชรเกษมโดยไม่ตั้งใจ แต่ในเมื่อยังไม่รู้จุดหมายปลายทางจึงตัดสินใจเบนรถเข้าข้างทาง เพื่อใคร่ครวญว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ทันใดนั้นชื่อของนางพวง พี่เลี้ยงของเธอสมัยเป็นเด็กก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง ถ้าป่านนี้อีกฝ่ายอยู่ด้วยเธอคงลงไปนอนซบตักร้องไห้เช่นทุกครั้งแล้ว
ตอนเด็กๆ เธอไม่ค่อยเข้าใจในตัวผู้เป็นแม่นัก แต่ครั้นโตขึ้นจากความไม่เข้าใจที่ไม่ได้รับการชี้แจงหรืออธิบาย จึงเกิดอาการต่อต้านจนกลายเป็นประชดประชัน สิ่งไหนที่คุณพรพรรณรายบอกให้ไปซ้ายเธอจะเดินขวาทันที ทั้งๆ ที่ลึกๆ เธอก็รู้ว่าที่ทำไปไม่ใช่สิ่งถูกต้อง
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตั้งใจจะกดไปหาบุคคลที่กำลังนึกถึง แต่ก็ต้องชะงัก เพราะถ้าโทร. ไปหา ไม่แคล้วอีกฝ่ายคงต้องบอกให้เธอกลับบ้านเป็นแน่
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือการดั้นด้นไปหาด้วยตัวเอง ไหนๆ ก็ก้าวเท้าออกมาแล้ว จะไม่มีวันหวนกลับไปให้ผู้เป็นแม่หัวเราะเยาะได้เป็นอันขาด นางพวงเคยบอกเธอว่าพักอยู่ที่หมู่บ้านห้วยม่วงในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเธอก็ไม่เคยไปเสียด้วยแต่คิดว่าคงไม่ใช่ปัญหา เพราะอำเภอดังกล่าวเท่าที่เธอรู้เวลานี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดินทางไปที่นั่น
ที่สำคัญเธอไม่รู้ว่าหมู่บ้านห้วยม่วงนั่นอยู่ตรงไหนของสวนผึ้ง นี่สิคือ...ปัญหา แต่ก็คิดว่าคงไม่เกินความสามารถของเธอหรอก เดี๋ยวแวะถามคนในอำเภอก็ได้ ตอนนี้คงต้องรีบไปให้ถึงที่นั่นก่อนจะมืดค่ำน่าจะดีกว่า
พรนับพันรีบเร่งขับรถบีเอ็มดับเบิลยูเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว แม้จะถึงอำเภอสวนผึ้งเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้แต่ก็เริ่มจะมืดค่ำแล้ว ครั้นมองเห็นปั๊มน้ำมันหญิงสาวก็เบนรถเข้าไปทันที
“น้อง บ้านห้วยม่วงไปทางไหน” หญิงสาวถามเด็กปั๊มระหว่างรอเติมน้ำมัน เด็กที่ถูกถามเงยหน้าดำปี๋ขึ้นมองหญิงสาวในชุดสวยงามแล้วส่งยิ้มให้
“อ๋อ...บ้านห้วยม่วง พี่ขับรถไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับต่อไปไม่เกินสามสิบโลก็ถึงแล้วครับ”
คำตอบพร้อมรอยยิ้มซื่อๆ ทำให้พรนับพันยิ้มตอบกลับโดยไม่รู้ตัว นี่กระมังกลิ่นอายของความเป็นต่างจังหวัด ที่เธอสัมผัสได้จากเด็กปั๊มตัวดำๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม รวมทั้งรอยยิ้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต แต่คำว่าสามสิบกิโลเมตรที่อีกฝ่ายพูดนี่สิ...ราวกับสามกิโลเมตร
“ไม่ถึงสามสิบกิโล?”
เด็กปั๊มคงเห็นสีหน้าหนักใจของหญิงสาวจึงยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง “ไม่ไกลอย่างที่คิดหรอกครับ ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง พี่จะไปที่โครงการสวนป่าเฉลิมพระเกียรติฯ หรือเปล่า”
พรนับพันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วก็นึกขึ้นได้ นางพวงเคยบอกเหมือนกันว่าหมู่บ้านที่อาศัยอยู่เป็นโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หวังว่าคงจะเป็นที่เดียวกัน
“เอ้อ...คิดว่าคงใช่”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขับไปตามป้ายที่บอกเดี๋ยวก็ถึงครับ”
พรนับพันจึงได้แต่พยักหน้ารับ เกือบสามสิบกิโลเมตรอาจดูไม่เยอะสำหรับคนในพื้นที่ แต่คนไม่ชำนาญเส้นทางอย่างเธอเล่า มันไม่ใช่น้อยๆ แต่เอาน่า มาถึงที่นี่แล้วจะถอยก็ใช่ที่ หญิงสาวได้แต่ปลอบใจตัวเอง และไม่ลืมหันไปขอบใจเด็กปั๊มก่อนจะขับรถพุ่งทะยานไปข้างหน้า
แม้จะมีป้ายบอกเส้นทางแต่เพราะความไม่ชำนาญอย่างที่นึกกลัวแต่แรก ก็ทำให้เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อรถคันงามแล่นมาถึงทางแยก ซึ่งพรนับพันก็ไปไหนไม่ถูก เพราะไม่รู้จะเลี้ยวไปทางซ้ายหรือขวาดี กลัวว่าถ้าเลี้ยวผิดจะยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อมองไปรอบๆ กายก็เห็นแต่ความมืดมิดที่เริ่มย่างกรายเข้ามาแทนลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับหายไปจากขอบฟ้า
หญิงสาวมองไปยังสองข้างทาง ที่มีแต่ไม้ยืนต้น ไม่เห็นบ้านผู้คนเลยสักหลัง เธอเพิ่งรู้สึกว่าความมืดมิดดูช่างน่ากลัวก็คราวนี้ ด้วยเคยชินกับแสงสีของในเมืองหลวงมาโดยตลอด เวลานี้นอกจากจะกลัวภัยจากคนแล้ว ไหนจะยังมีพวกสัตว์ป่าอีกล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งผวา เธอจึงได้แต่นึกภาวนาให้มีใครผ่านมาสักทีเถอะ
รถคันใหญ่ของแสนคมที่วันก่อนยังเต็มไปด้วยคราบฝุ่นจับเขลอะ ทว่าวันนี้กลับสะอาดเอี่ยมอ่องด้วยมือของทหารที่มาช่วยงานที่บ้าน เขากำลังขับตะบึงไปเบื้องหน้าเพื่อกลับไปยังฐานที่มั่นด้วยความเร็วสูง โดยมีบดินทร์นั่งอยู่เบาะด้านข้างและยังยกมือขึ้นไหว้พระเครื่องที่ห้อยอยู่บนคอเช่นเดิม ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะชำเลืองมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่นไม่น้อย เพราะเขาเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนยังไม่ชินเส้นทางเท่าไรนัก
“พี่ขับมืดๆ แบบนี้บ่อยหรือครับ”
“ไม่บ่อยนัก เพราะกลางคืนไม่ค่อยปลอดภัย ไม่จำเป็นจริงๆ พี่ไม่เดินทางช่วงเวลานี้หรอก นายก็รู้นี่ว่าแถบนี้ศัตรูเราไม่ได้มีแค่พวกลอบตัดไม้อย่างเดียว ยังมีพวกทหารพม่าหรือกะเหรี่ยงที่ไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหนอีก แต่กว่าจะออกมาจากกรุงเทพฯ ได้ก็ปาเข้าไปสี่โมงแล้ว” แสนคมบอกพลางเพ่งสายตาฝ่าความมืดมองไปข้างหน้า
“แหม...พี่ไม่ได้กลับบ้านตั้งสามเดือน แล้วอยู่บ้านแค่ห้าวันก็กลับมาอีกแล้ว ถ้าเป็นผมถูกด่าแถมแน่นอน”
แสนคมยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรเพราะเป็นความจริง เขาไม่ได้บอกไว้ก่อนว่าลามาเพียงห้าวันเท่านั้น พอจะกลับจึงถูกทั้งคุณย่าและมารดาบ่นจนหูชา ยกเว้นบิดาคนเดียวที่นั่งหัวเราะและมองเขาอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ผมชอบครอบครัวพี่นะ ดูอบอุ่น ยิ่งเห็นแม่พี่ทำกับข้าวใส่กล่องมาให้แล้วคิดถึงแม่ผมมาก กลับไปทีไรแม่ผมก็ทำแบบนี้แหละเพราะกลัวลูกจะอด” บดินทร์พูดพลางชำเลืองมองไปทางกล่องพลาสติกหลายใบที่วางอยู่เบาะหลัง ประมาณว่าอุ่นกินได้เป็นอาทิตย์ นี่ยังไม่รวมอาหารแห้งอีกหลายชนิด