กลิ่นอายรัก 10
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัทหอบหิ้วของไปสแกนลายนิ้วมือเข้างานจากนั้นก็ไปยืนรอลิฟต์ แอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่าจะเดินขึ้นบันไดดีหรือเปล่าเพราะกลัวว่าจะมีคนมาต่อว่าเรื่องที่มาใช้ลิฟต์
แต่ก็ช่างสิ นี่มันลิฟต์พนักงานไม่ใช่ลิฟต์เจ้านายฉันมีสิทธิ์ที่จะใช้เหมือนกัน!
“แบ่งมาฝั่งนี้ก็ได้ครับ” เสียงนี้...
“น้องผิงไปพร้อมกันสิคะ ฝั่งนี้ว่างด้วยไปด้วยกันจะได้ประหยัดไฟ” พี่ดาเอ่ยชวน แต่ว่าฉันน่ะไม่อยากจะเจอกับเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้เลยนี่สิ
“ขอบคุณค่ะพี่ดา แต่หนูรอเพื่อนอยู่ค่ะ” เอ่ยบอกพี่ดาพร้อมกับรอยยิ้มขอบคุณ แต่รออยู่นานหวังให้เจ้านายและเลขาทั้งสองของเขาเข้าลิฟต์ไปก่อนฉันถึงได้เข้าลิฟต์ฝั่งพนักงานบ้างแต่รออยู่นานทั้งสามคนก็ไม่ยอมขยับเข้าลิฟต์ ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับพนักงานคนอื่น
“เราขึ้นรอบนี้ก็ได้” เสียงนั้นคือเสียงของเจ้านาย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรเพราะเมื่อฉันก้าวเข้าไปในลิฟต์เจ้านายก็เดินแทรกเข้ามาทำให้พนักงานคนอื่นไม่กล้าเข้ามาภายในลิฟต์ด้วยนอกจากพี่ดาและพี่กรรณ ฉันจะเดินออกก็ไม่ได้เมื่อก้าวออกมาด้านนอกสุดก็ถูกเลขาทั้งสองยืนดักทางไว้
“สามารถใช้ลิฟต์ตัวข้าง ๆ ได้เลยนะครับ” นั่นคือสิ่งที่พี่กรรณบอกกับพนักงานที่ยืนรอลิฟต์อยู่ ฉันขยับเข้าไปยืนชิดมุมด้านในของลิฟต์ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองไม่อยากเสวนากับใครทั้งนั้น รออยู่นานลิฟต์ก็ไม่เปิดออกสักทีจึงแอบเหล่ตามองช่องที่แสดงจำนวนชั้นตอน ชั้นสี่แล้ว เตรียมตัวออกจากลิฟต์ได้แล้ว บอกตัวเองด้วยความดีใจแต่จู่ ๆ ลิฟต์ก็เลื่อนขึ้นมายังชั้นบนสุดแทนที่จะหยุดที่ชั้นทำงาน
“เข้ามาคุยกันก่อน”
“...” ฉันไม่ได้ตอบและไม่มองเจ้าของประโยคนั้นเลยสักนิด
“ผิงมาคุยกันก่อน”
“ค่ะ” เพราะไม่อยากมีปัญหาจึงตอบตกลงไปแบบนั้น ระหว่างที่เดินตามเจ้านายไปที่ห้องทำงานเจ้านายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หันกลับมามองอยู่บ่อยครั้งกระทั่งถึงห้องทำงานของอีกฝ่าย เจ้านายหยุดอยู่กลางห้องฉันเดินเข้าไปก็หยุดอยู่ไม่ไกลจากเขา
“เจ้านายมีอะไรเร่งด่วนคะ”
“เมื่อเช้าทำไมไม่รอ” จู่ ๆ เจ้านายก็หันกลับมามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ดุแต่ก็ไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกยังไงอยู่กันแน่
“มีธุระเลยออกมาก่อนค่ะ”
“ต่อไปออกมาทำงานพร้อมกัน ใครจะมองยังไงก็ช่าง”
“...” ฉันไม่เข้าใจเขา ไม่เข้าใจมาก ๆ เลยในการกระทำของเขา แต่ละอย่างที่เขาทำฉันไม่เข้าใจ
“เย็นนี้จะไปบ้านแม่ใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะไปด้วย” พี่? บ้าไปแล้วทำไมจู่ ๆ เขาถึงพูดแบบนั้น ฉันมองเจ้านายอย่างตกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงเรื่องที่เขาจะไปบ้านด้วย มันดูแปลกไปหมดเลย เขาจะแกล้งอะไรฉันอีกหรือเปล่า ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“เจ้านายเป็นอะไรคะ? ไม่สบายหรือเปล่า หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าอย่างนั้นดิฉันไม่รบกวนเจ้านายแล้วค่ะเชิญพักผ่อนนะคะ” เอ่ยจบก็รีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที
“น้องผิงจะไปทำงานแล้วเหรอพี่กำลังชงกาแฟให้”
“พี่ดา เจ้านายพี่น่ากลัวมาก เป็นอะไรไม่รู้”
“คะ? บอสเหรอคะ?” พี่ทวนถามฉันพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไปทันที
“ใช่ค่ะ เหมือนจะป่วย หนูไปแล้วนะคะพี่น่ากลัวมาก ๆ”
ฉันวิ่งกลับไปเข้าลิฟต์และกดที่ชั้นตัวเองทันทีกว่าจะลากตัวเองมาถึงแผนกก็เหนื่อยไม่น้อย ภายในใจยังตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นท่าจะป่วยไปแล้วจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขามีส่วนไหนได้รับการกระทบกระเทือน...เอ่อ ไม่เอาสิผิง หยุดคิดเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว มันก็แค่คืนเดียวอย่าไปใส่ใจหรือสนใจนะผิง อีกหน่อยเรื่องนี้ก็จะจบลงแล้ว
“ไอ้ผิงมาสายนะวันนี้” พี่เพชรร้องทัก
“นิดหน่อยเองน่า พี่มายุละคะ”
“ในห้อง นั่นไงมาแล้ว” พี่เพชรพูดยังไม่ทันจบพี่มายุก็เปิดประตูห้องทำงานออกมา
“อ้าวมาแล้วเหรอ?” พี่มายุเอ่ยทัก
“มาแล้วค่ะพี่ ข้าวที่ฝากซื้อหนูเอาไปวางไว้ที่โต๊ะมุมห้องแล้วนะคะ”
“โอเค ขอบใจมาก ๆ เลย เดี๋ยวพี่ลงไปเอาน้ำก่อน มินไปช่วยพี่ถือหน่อย”
“ครับพี่” มินวิ่งตามหลังพี่มายุไปแล้ว ส่วนฉันก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อนที่เหมือนวันนี้งานจะเข้า มีเอกสารมากมายกองอยู่บนโต๊ะไม่ต่างจากฉันหลายสัปดาห์ก่อน
“งานเข้าเหรอ?”
“ใช่น่ะสิ”
“สู้ ๆ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย” เพราะตอนที่ฉันมีงานด่วนก็มีจิ้มนี่แหละที่คอยช่วยเหลือ ตอนนี้เมื่อเพื่อนลำบากฉันเองก็พร้อมที่จะช่วยเช่นเดียวกัน
“เที่ยงนี้สั่งกับข้าวมากินบนห้องพักดีไหม ฝนเหมือนจะตกเลยด้วย” พี่ตองเสนอ พอเหลือบตามองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เวลาเดินผ่านไปเร็วมากจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าเพิ่งได้ก้มหน้าทำงานเองนะ
“ได้พี่ งั้นเขียนมาเลยเดี๋ยวผมโทรไปสั่งเอง”
“หนูอยากกินยำ” จิ้มร้องบอก
“ได้ เขียนมาวันนี้ช่วงบ่ายน่าจะไม่มีอะไรมากอีกอย่างเรากินบนห้องพักเบรกกินได้อยู่แล้ว”
“เอายำแบบเผ็ด ๆ เลยนะจิ้ม” ฉันชะโงกหน้าบอกเพื่อนที่กำลังเขียนเมนูอาหารที่อยากกินไปให้พี่ตอง
“แกเอาอะไร ข้าวฉันกินข้าวหมูกรอบ”
“เอาข้าวคะน้าหมูสับเผ็ด ๆ แกเน้นให้ฉันด้วยว่าเผ็ด ๆ”
“ได้ ๆ วันศุกร์ทีไรชอบกินแบบนี้ทุกที” จิ้มบ่นไม่จริงจังก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษมาส่งต่อให้ฉันเพื่อเอาไปให้พี่ตอง
“พี่ตองของหนูกับจิ้มค่ะ”
“โอเค เดี๋ยวสั่งให้”
“ผิง ๆ มีคนมาหารอที่ห้องรับรองชั้นหนึ่ง” พี่ท้อที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องรีบเอ่ยบอกฉันทันที แต่ว่าเวลานี้ใครกันที่มาเจอฉัน
“ขอบคุณค่ะพี่” แต่เพราะนึกไม่ออกจึงต้องลงไปพบ ฉันหยิบเพียงโทรศัพท์ตัวเองติดมือมาด้วย ห้องรับรองชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ห้องที่ลูกค้าจะเข้ามารอแต่เป็นห้องที่มีไว้เพื่อญาติหรือเพื่อนของพนักงานที่มาเจอพนักงานทางบริษัทจะให้นั่งรอตรงนี้แทนอีก
“เอ่อ สวัสดีค่ะ มีคนบอกว่าพวกคุณมาพบฉันเหรอคะ?” เอ่ยทักคนสามคนที่นั่งอยู่ที่ห้องรับรอง
“เรามาพบคุณ กัณฐมณี ทิวาแสง ใช่คุณหรือเปล่าครับ?” ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวใส่สูทขยับลุกขึ้นยืนเอ่ยแจ้งบุคคลที่จะพบ
“ใช่ค่ะฉันเอง มีอะไรหรือเปล่าคะ เชิญนั่งค่ะ” ฉันผายมือเชิญคนตรงหน้าแม้จะไม่รู้จักแต่ยังต้องรักษามารยาทไว้ดังเดิม
“ผมเป็นทนายจากตระกูลกุลยนิช และเป็นเพื่อนสนิทของคุณปฏิกรณ์ คุณพ่อของคุณ”
พ่อ?
ปฏิกรณ์?
ตระกูลกุลยนิช?