กลิ่นอายรัก 9
ผ่านมาเกือบหลายเดือนที่ได้มีโอกาสไปทริปกับพี่ ๆ ที่แผนก ฉันกลับบ้านในวันหยุดและในทุกเช้าฉันจะต้องตื่นขึ้นมาทำอาหารเตรียมมื้อเช้าให้เจ้าของบ้านรวมถึงการซักเสื้อผ้า ฉันไม่เคยร่วมมื้อเช้าหรือมื้อเย็นกับเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง เจอกันที่บริษัทก็ทักทายในฐานะลูกน้องเจอที่บ้านก็ทักทายในฐานะคนใช้ เพราะแบบนี้ล่ะมั้งระหว่างเราเลยยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออีกฝ่ายชอบพาแฟนมาที่บ้าน
อย่างเช่นวันนี้ยังไงล่ะ วันนี้มีงานด่วนและเร่งเข้ามาต้องเสร็จภายในวันนี้ ซึ่งแน่นอนว่าฉันและพี่ ๆ ในแผนกอยู่ทำงานต่อจนเสร็จก่อนถึงกลับบ้าน ฉันกลับมาถึงบ้านก็เกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว ซึ่งในบ้านก็มีเพื่อน ๆ ของเจ้าของบ้านและแฟนของเจ้าของบ้านอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
เท้าที่กำลังก้าวเข้าบ้านชะงักตกใจเมื่อเห็นคนเป็นเจ้าของบ้านกำลังนัวเนียกับแฟนของเขาอยู่ที่โซฟาโดยมีเพื่อน ๆ ของเขานั่งอยู่ด้วย ไม่คิดจะไว้หน้ากันเลยอย่างนั้นเหรอ? หรือพวกเขามองฉันเป็นตัวตลกจริง ๆ ถึงทำแบบนี้ รู้เห็นด้วยกันทุกเรื่องสินะ
ก็รู้นั่นแหละว่าเขาไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานกับฉัน แต่การที่เขาทำแบบนี้เป็นการไม่ให้เกียรติฉันมากจริง ๆ ทั้งที่ฉันก็ให้เกียรติเขามาตลอด
“ผิง!”
“ถ้าจะทำอะไรควรเข้าห้องดีกว่าไหมคะ”
“มันไม่ใช่...”
“รู้ค่ะว่าถูกบังคับให้แต่งงานกับฉัน แต่การที่คุณทำแบบนี้คุณไม่ให้เกียรติเราเลยสักนิด”
“ผิงกั่วฟังก่อนได้ไหม” คนเป็นเจ้าของบ้านตะคอกเสียงดังใส่จนฉันสะดุ้งถอยหลังด้วยความตกใจ ตั้งใจจะเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องนอนเพื่อเก็บเสื้อผ้าและบอกตัวเองไว้ว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่แล้ว ฉันอยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ แม้จะพยายามเงียบ พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต่อว่าให้เสียหายไปจนถึงแม่ แต่ฉันเองก็เพิ่งจะคิดได้ว่าฉัน ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ยังคงมองฉันเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดเหมือนเดิม
ตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออกมาพร้อมกับมือที่ยื่นไปหยิบเสื้อผ้าที่น้อยนิดของตัวเองออกมาใส่กระเป๋าเดินทาง เหมือนฉันทนเงียบมาตลอดเพราะไม่อยากมีปัญหาแต่ตอนนี้ฉันทนไม่ไหวแล้วฉันเหนื่อย เหนื่อยมากจริง ๆ
“ทำอะไร”
“ฉันจะกลับบ้านแล้วค่ะ”
“ไม่ได้! จะกลับได้ยังไงถ้าแม่มาเห็น”
“ฉันจะคุยกับน้ากานดาเอง เราพอกันดีไหมหยุดกันดีกว่านะ” ฉันบอกอีกฝ่ายอย่างที่คิด ตอนนี้ฉันเองก็ไม่อยากฝืนร่างกายไปมากกว่านี้แล้ว ต้องทำงานบ้านงานประจำฉันเหนื่อยฉันอยากกลับไปดูแลแม่แล้ว
“ผิงกั่วหยุดทำแบบนี้สักที”
“ฉันทำอะไร?” หันกลับไปสบตากับเจ้าของบ้านที่ตอนนี้รับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโมโห
“ทำตัวงี่เง่าแบบนี้ไง”
“ฉันทำเหรอ? ทั้งที่ฉันก็เงียบมาโดยตลอด ฉันยังงี่เง่าอยู่อีกเหรอ?” ทวนถามกลับไปไร้ซึ่งความเกรงกลัว ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากจริง ๆ เหนื่อยจนอยากหลุดพ้นจากตรงนี้เร็ว ๆ
“ทำไมวันนี้ถึงได้เป็นแบบนี้” อีกฝ่ายยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิดและดูงุ่นง่านไม่น้อย
“มันน่าอายมากรู้ไหมที่ทำตัวต่อหน้าเพื่อนผมแบบนั้น” นานหลายนาทีกว่าที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ แต่สิ่งที่เขาพูดมานั้นทำให้ฉันถึงกับหลุดขำด้วยความรู้สึกสมเพช
“แล้วการที่คุณนัวกับแฟนคุณกลางบ้านโดยที่เพื่อนคุณก็รู้เห็นเป็นใจแบบนั้นมันไม่น่าอายกว่าเหรอ? หรือมันเป็นเรื่องปกติที่พวกคุณทำกัน”
“มันไม่ใช่อย่างที่เห็น ช่วยฟังก่อนได้ไหม?”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ นี่มันบ้านของคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญเถอะค่ะ ฉันก็ลืมไปว่าเป็นผู้อาศัย...”
ความเงียบลอยเข้ามาปกคลุมห้องนอนแห่งนี้ไว้ทันทีเมื่อประโยคที่ตั้งใจเอ่ยออกมานั้นขาดหายไปเพราะเจ้าของริมฝีปากหนาขยับเข้ามาฉกจูบอย่างอุกอาจไร้ความเกรงใจ ฝ่ามือทั้งยกตีทั้งจิกอีกฝ่ายจนจมเล็บแต่ก็ยังไม่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา
รสชาติของเครื่องดื่มที่เขาดื่มก่อนหน้านี้แทรกซึมเข้ามาในโพรงปากพร้อมสัมผัสแปลกใหม่ที่ได้รับจากเขา แม้จะขัดขืนปฏิเสธแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้เลย
น่าสมเพชตัวฉันเองเหมือนกันนะ ปฏิเสธมาตลอด ห้ามตัวเองเสมอมาแต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับจากใครจริงว่าฉันเองก็ชอบเขา ชอบก่อนที่จะได้รู้จักกันในนามของเจ้านายกับลูกน้องเสียด้วยซ้ำ
เรื่องคืนนี้ ไม่ใช่เขาเพียงฝ่ายเดียวที่บังคับแต่เป็นฉันเองที่ยอมเขา
จะโทษใครไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ตัวฉันเอง...
แม้ร่างกายจะระบมมากแค่ไหนแต่ก็ต้องฝืนตัวเองลงไปทำมื้อเช้า ดีที่ว่าเมื่อวานซักผ้าและทำความสะอาดบ้านไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดวันนี้เลยตั้งใจว่าจะไม่ทำ มื้อเช้าเสร็จก่อนเวลาปกติฉันไม่รีรอที่จะกลับขึ้นไปบนชั้นสองเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
เจ้าของบ้านยังนอนเปล่าเปลือยอยู่บนเตียง ร่างหนามีเพียงผ้าห่มคลุมอยู่หลังจากเมื่อคืนเขาได้สิ่งที่ต้องการในหลาย ๆ รอบ เขาก็ยอมปล่อยให้ฉันได้นอนพักและไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากห้องนอนไปแล้วนั้นเจ้าตัวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ฉันควรรีบอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วเพราะไม่คุยกับเขาจริงๆ ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนจะหยิบกระเป๋าตัวเองออกจากห้องนอนทันที
แม้จะรู้สึกเจ็บที่ช่วงล่างไหนจะอาการขาสั่นปวดไปหมดทั้งตัวแต่ก็พยายามไม่แสดงอาการไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันและผู้ชายคนนั้น
หกโมงเช้าฉันยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า ตั้งไว้ใจว่าจะทยอยเก็บของกลับมาไว้ที่บ้านแม้จะไม่มีอะไรมากแต่ก็ไม่สามารถเก็บมาครั้งเดียวได้หมด
“คุณหนู วันนี้มาเช้าเลย” จังหวะที่เดินเข้าบ้านมาก็เจอกับป้าแม่บ้านที่รีบเอ่ยทักทาย
“ใช่ค่ะ วันนี้ฝากท้องมื้อเช้าด้วยนะคะป้า”
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวป้าทำข้าวต้มหมูสับทรงเครื่องให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะป้า เดี๋ยวขอขึ้นไปหาคนสวยก่อน ไม่รู้ตื่นหรือยัง” เอ่ยบอกป้าแม่บ้านพร้อมกับเดินขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความระมัดระวังกลัวจะตกบันไดนี่สิ
ฉันเอากระเป๋าไปไว้ที่ห้องนอนตัวเองก่อนจะเดินไปหาแม่ที่ห้องของท่าน เคาะประตูสองสามทีก่อนจะเปิดแง้มเข้าไป คนสวยของฉันนั่งอยู่ปลายเตียงกำลังเปิดดูอะไรสักอย่างในหนังสือ
“แม่คะ อาบน้ำหรือยัง?” ส่งเสียงทักทาย แม่เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้อย่างที่ฉันเคยได้รับในวันก่อน
“อาบแล้ว มาเช้าเลย”
“คิดถึงแม่นี่นา เมื่อวานเป็นยังไงบ้างคะ ไม่ยอมเล่าให้ฟังบ้างเลย” ขยับเข้าไปช่วยเก็บผมให้แม่ จากนั้นเรื่องราวต่าง ๆ ของเมื่อวานก็ถูกเล่าออกมาผ่านรอยยิ้มและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของแม่
รอกระทั่งมื้อเช้าเสร็จเราสองแม่ลูกถึงได้ลงไปกินมื้อเช้าที่ห้องอาหาร แปดโมงเช้าฉันออกจากบ้านด้วยความสบายใจแต่ทันทีที่ขึ้นรถมาได้ก็รีบเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับรถเลือกเปิดเพลงฟังเบา ๆ วันนี้วันศุกร์แล้วพรุ่งนี้ก็หยุดเลยตั้งใจว่าวันนี้ฉันจะกลับบ้านไปนอนกับแม่ ระหว่างที่รถติดไฟแดงในช่วงเวลาแปดโมงครึ่งโทรศัพท์ก็มีสายเรียกเข้าจากพี่มายุหัวหน้าแผนก ฉันรับสายและเปิดลำโพงคุยแทนการยกโทรศัพท์แนบหู
“ค่ะพี่มายุ”
(น้องผิงอยู่ไหนลูก) ปลายสายเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก อาจเป็นเพราะสัญญาณไม่ดีก็ได้เพราะวันนี้ท้องฟ้าครึ้มมาเชียวฝนจะตกตั้งแต่เช้าเลยหรือเปล่านะ
“อยู่แถวxx ค่ะ รถติดอยู่ พี่มายุมีอะไรด่วนไหมคะ?” ระหว่างที่คุยสัญญาณไฟก็เปลี่ยนสี ฉันจึงค่อย ๆ เคลื่อนรถอย่างไม่เร่งรีบ
(เอ่อ อ้อ พี่จะสั่งน้ำหวานหนูเอาอะไรไหม)
“วันนี้ขอชานมปั่นเหมือนเดิมค่ะ พี่มายุกินข้าวหรือยังหนูแวะซื้อให้ได้นะคะ”
(งั้นเหรอ? ไม่...เอ่อ เอา ๆ เอาข้าวกล่องมาหกกล่องนะอะไรก็ได้หนูสั่งมาให้พวกพี่เลย)
“ได้ค่ะพี่ เจอกันนะ หนูเข้างานทันแน่นอน” เอ่ยบอกกับพี่มายุ ที่วันนี้แปลกไปทั้งน้ำเสียงที่เหมือนลนลานและกดดัน แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวขอแวะร้านอร่อยซื้อข้าวกล่องไปให้พี่ ๆ ก่อนแล้วกัน
“ลุงคะเอาข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวสองกล่องค่ะ ข้าวหน่อไม้หมูสับอีกสอง แล้วก็ข้าวคะน้าหมูกรอบอีกสองค่ะ”
“ได้ลูก นั่งรอก่อน ๆ” คุณลุงเจ้าของร้านท่าทางใจดีเอ่ยบอกกับฉัน เมื่อสั่งเสร็จก็นั่งเล่นโทรศัพท์รอข้าว เกือบยี่สิบนาทีข้าวที่สั่งก็เสร็จฉันรีบจ่ายเงินและกลับขึ้นรถทันที ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัทหอบหิ้วของไปสแกนลายนิ้วมือเข้างานจากนั้นก็ไปยืนรอลิฟต์ แอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่าจะเดินขึ้นบันไดดีหรือเปล่าเพราะกลัวว่าจะมีคนมาต่อว่าเรื่องที่มาใช้ลิฟต์
แต่ก็ช่างสิ นี่มันลิฟต์พนักงานไม่ใช่ลิฟต์เจ้านายฉันมีสิทธิ์ที่จะใช้เหมือนกัน!