กลิ่นอายรัก 10

1299 Words
กลิ่นอายรัก 10 ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัทหอบหิ้วของไปสแกนลายนิ้วมือเข้างานจากนั้นก็ไปยืนรอลิฟต์ แอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่าจะเดินขึ้นบันไดดีหรือเปล่าเพราะกลัวว่าจะมีคนมาต่อว่าเรื่องที่มาใช้ลิฟต์ แต่ก็ช่างสิ นี่มันลิฟต์พนักงานไม่ใช่ลิฟต์เจ้านายฉันมีสิทธิ์ที่จะใช้เหมือนกัน! “แบ่งมาฝั่งนี้ก็ได้ครับ” เสียงนี้... “น้องผิงไปพร้อมกันสิคะ ฝั่งนี้ว่างด้วยไปด้วยกันจะได้ประหยัดไฟ” พี่ดาเอ่ยชวน แต่ว่าฉันน่ะไม่อยากจะเจอกับเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้เลยนี่สิ “ขอบคุณค่ะพี่ดา แต่หนูรอเพื่อนอยู่ค่ะ” เอ่ยบอกพี่ดาพร้อมกับรอยยิ้มขอบคุณ แต่รออยู่นานหวังให้เจ้านายและเลขาทั้งสองของเขาเข้าลิฟต์ไปก่อนฉันถึงได้เข้าลิฟต์ฝั่งพนักงานบ้างแต่รออยู่นานทั้งสามคนก็ไม่ยอมขยับเข้าลิฟต์ ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับพนักงานคนอื่น “เราขึ้นรอบนี้ก็ได้” เสียงนั้นคือเสียงของเจ้านาย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรเพราะเมื่อฉันก้าวเข้าไปในลิฟต์เจ้านายก็เดินแทรกเข้ามาทำให้พนักงานคนอื่นไม่กล้าเข้ามาภายในลิฟต์ด้วยนอกจากพี่ดาและพี่กรรณ ฉันจะเดินออกก็ไม่ได้เมื่อก้าวออกมาด้านนอกสุดก็ถูกเลขาทั้งสองยืนดักทางไว้ “สามารถใช้ลิฟต์ตัวข้าง ๆ ได้เลยนะครับ” นั่นคือสิ่งที่พี่กรรณบอกกับพนักงานที่ยืนรอลิฟต์อยู่ ฉันขยับเข้าไปยืนชิดมุมด้านในของลิฟต์ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองไม่อยากเสวนากับใครทั้งนั้น รออยู่นานลิฟต์ก็ไม่เปิดออกสักทีจึงแอบเหล่ตามองช่องที่แสดงจำนวนชั้นตอน ชั้นสี่แล้ว เตรียมตัวออกจากลิฟต์ได้แล้ว บอกตัวเองด้วยความดีใจแต่จู่ ๆ ลิฟต์ก็เลื่อนขึ้นมายังชั้นบนสุดแทนที่จะหยุดที่ชั้นทำงาน “เข้ามาคุยกันก่อน” “...” ฉันไม่ได้ตอบและไม่มองเจ้าของประโยคนั้นเลยสักนิด “ผิงมาคุยกันก่อน” “ค่ะ” เพราะไม่อยากมีปัญหาจึงตอบตกลงไปแบบนั้น ระหว่างที่เดินตามเจ้านายไปที่ห้องทำงานเจ้านายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หันกลับมามองอยู่บ่อยครั้งกระทั่งถึงห้องทำงานของอีกฝ่าย เจ้านายหยุดอยู่กลางห้องฉันเดินเข้าไปก็หยุดอยู่ไม่ไกลจากเขา “เจ้านายมีอะไรเร่งด่วนคะ” “เมื่อเช้าทำไมไม่รอ” จู่ ๆ เจ้านายก็หันกลับมามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ดุแต่ก็ไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกยังไงอยู่กันแน่ “มีธุระเลยออกมาก่อนค่ะ” “ต่อไปออกมาทำงานพร้อมกัน ใครจะมองยังไงก็ช่าง” “...” ฉันไม่เข้าใจเขา ไม่เข้าใจมาก ๆ เลยในการกระทำของเขา แต่ละอย่างที่เขาทำฉันไม่เข้าใจ “เย็นนี้จะไปบ้านแม่ใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะไปด้วย” พี่? บ้าไปแล้วทำไมจู่ ๆ เขาถึงพูดแบบนั้น ฉันมองเจ้านายอย่างตกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงเรื่องที่เขาจะไปบ้านด้วย มันดูแปลกไปหมดเลย เขาจะแกล้งอะไรฉันอีกหรือเปล่า ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ “เจ้านายเป็นอะไรคะ? ไม่สบายหรือเปล่า หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าอย่างนั้นดิฉันไม่รบกวนเจ้านายแล้วค่ะเชิญพักผ่อนนะคะ” เอ่ยจบก็รีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที “น้องผิงจะไปทำงานแล้วเหรอพี่กำลังชงกาแฟให้” “พี่ดา เจ้านายพี่น่ากลัวมาก เป็นอะไรไม่รู้” “คะ? บอสเหรอคะ?” พี่ทวนถามฉันพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไปทันที “ใช่ค่ะ เหมือนจะป่วย หนูไปแล้วนะคะพี่น่ากลัวมาก ๆ” ฉันวิ่งกลับไปเข้าลิฟต์และกดที่ชั้นตัวเองทันทีกว่าจะลากตัวเองมาถึงแผนกก็เหนื่อยไม่น้อย ภายในใจยังตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นท่าจะป่วยไปแล้วจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขามีส่วนไหนได้รับการกระทบกระเทือน...เอ่อ ไม่เอาสิผิง หยุดคิดเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว มันก็แค่คืนเดียวอย่าไปใส่ใจหรือสนใจนะผิง อีกหน่อยเรื่องนี้ก็จะจบลงแล้ว “ไอ้ผิงมาสายนะวันนี้” พี่เพชรร้องทัก “นิดหน่อยเองน่า พี่มายุละคะ” “ในห้อง นั่นไงมาแล้ว” พี่เพชรพูดยังไม่ทันจบพี่มายุก็เปิดประตูห้องทำงานออกมา “อ้าวมาแล้วเหรอ?” พี่มายุเอ่ยทัก “มาแล้วค่ะพี่ ข้าวที่ฝากซื้อหนูเอาไปวางไว้ที่โต๊ะมุมห้องแล้วนะคะ” “โอเค ขอบใจมาก ๆ เลย เดี๋ยวพี่ลงไปเอาน้ำก่อน มินไปช่วยพี่ถือหน่อย” “ครับพี่” มินวิ่งตามหลังพี่มายุไปแล้ว ส่วนฉันก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อนที่เหมือนวันนี้งานจะเข้า มีเอกสารมากมายกองอยู่บนโต๊ะไม่ต่างจากฉันหลายสัปดาห์ก่อน “งานเข้าเหรอ?” “ใช่น่ะสิ” “สู้ ๆ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย” เพราะตอนที่ฉันมีงานด่วนก็มีจิ้มนี่แหละที่คอยช่วยเหลือ ตอนนี้เมื่อเพื่อนลำบากฉันเองก็พร้อมที่จะช่วยเช่นเดียวกัน “เที่ยงนี้สั่งกับข้าวมากินบนห้องพักดีไหม ฝนเหมือนจะตกเลยด้วย” พี่ตองเสนอ พอเหลือบตามองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เวลาเดินผ่านไปเร็วมากจริง ๆ ฉันรู้สึกว่าเพิ่งได้ก้มหน้าทำงานเองนะ “ได้พี่ งั้นเขียนมาเลยเดี๋ยวผมโทรไปสั่งเอง” “หนูอยากกินยำ” จิ้มร้องบอก “ได้ เขียนมาวันนี้ช่วงบ่ายน่าจะไม่มีอะไรมากอีกอย่างเรากินบนห้องพักเบรกกินได้อยู่แล้ว” “เอายำแบบเผ็ด ๆ เลยนะจิ้ม” ฉันชะโงกหน้าบอกเพื่อนที่กำลังเขียนเมนูอาหารที่อยากกินไปให้พี่ตอง “แกเอาอะไร ข้าวฉันกินข้าวหมูกรอบ” “เอาข้าวคะน้าหมูสับเผ็ด ๆ แกเน้นให้ฉันด้วยว่าเผ็ด ๆ” “ได้ ๆ วันศุกร์ทีไรชอบกินแบบนี้ทุกที” จิ้มบ่นไม่จริงจังก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษมาส่งต่อให้ฉันเพื่อเอาไปให้พี่ตอง “พี่ตองของหนูกับจิ้มค่ะ” “โอเค เดี๋ยวสั่งให้” “ผิง ๆ มีคนมาหารอที่ห้องรับรองชั้นหนึ่ง” พี่ท้อที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องรีบเอ่ยบอกฉันทันที แต่ว่าเวลานี้ใครกันที่มาเจอฉัน “ขอบคุณค่ะพี่” แต่เพราะนึกไม่ออกจึงต้องลงไปพบ ฉันหยิบเพียงโทรศัพท์ตัวเองติดมือมาด้วย ห้องรับรองชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ห้องที่ลูกค้าจะเข้ามารอแต่เป็นห้องที่มีไว้เพื่อญาติหรือเพื่อนของพนักงานที่มาเจอพนักงานทางบริษัทจะให้นั่งรอตรงนี้แทนอีก “เอ่อ สวัสดีค่ะ มีคนบอกว่าพวกคุณมาพบฉันเหรอคะ?” เอ่ยทักคนสามคนที่นั่งอยู่ที่ห้องรับรอง “เรามาพบคุณ กัณฐมณี ทิวาแสง ใช่คุณหรือเปล่าครับ?” ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวใส่สูทขยับลุกขึ้นยืนเอ่ยแจ้งบุคคลที่จะพบ “ใช่ค่ะฉันเอง มีอะไรหรือเปล่าคะ เชิญนั่งค่ะ” ฉันผายมือเชิญคนตรงหน้าแม้จะไม่รู้จักแต่ยังต้องรักษามารยาทไว้ดังเดิม “ผมเป็นทนายจากตระกูลกุลยนิช และเป็นเพื่อนสนิทของคุณปฏิกรณ์ คุณพ่อของคุณ” พ่อ? ปฏิกรณ์? ตระกูลกุลยนิช?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD