สุดท้ายก็ไม่รอด ทั้งฉันทั้งไอ้ยักษ์เปียกไปทั้งตัว นี่ขนาดรีบแล้วนะฝนยังไล่ตามมาทัน
“ผ้า”
“ขอบใจ” ไอ้ยักษ์รับผ้าขนหนูแล้วรีบเอาไปเช็ดผม ซึ่งแน่นอนว่าฉันก็กำลังทำแบบเดียวกัน ถึงจะใส่หมวกกันน็อกแต่ปลายผมก็ยังเปียกอยู่ดี
“ฉันว่าเธอควรรีบไปเปลี่ยนเสื้อ” ย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ยักษ์ต้องทำหน้าตาเลิกลัก จนกระทั่งก้มมองตัวเองถึงได้รู้ว่าเสื้อนักศึกษาที่ใส่อยู่ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเลย
“ไอ้หลิวนะไอ้หลิว ทำไมไม่รู้จักระวังตัว” บอกตรง ๆ ว่าเมื่อกี้ฉันอายมาก กว่าจะดึงสติกลับมาแล้ววิ่งขึ้นห้องก็ผ่านไปหลายวินาที ดีที่ไอ้ยักษ์ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากยืนหันหลังให้ ถือว่าความเป็นสุภาพบุรุษที่เคยติดลบเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย
ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมายังห้องของเฮียหลง ส่งข้อความบอกแล้วถึงได้หยิบเสื้อกับกางเกงนอนออกมาอย่างละตัวเพื่อนำไปให้คนที่อยู่ชั้นล่างเปลี่ยน
“ไอ้หลงจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าวันนี้พี่ชายจะกลับไหม ตอนส่งข้อความหาบอกว่าเพื่อนเฮียมาบ้านยังตอบกลับมาแค่ ‘อือ’ แล้วก็เงียบหายไปเลย พออยู่กับสาวแม้แต่น้องกับเพื่อนก็ไม่หันมาสนใจ
โครก! กุมท้องตัวเองเมื่อเสียงไม่พึงประสงค์หลุดออกมา ฉันหลับตาด้วยความอายเมื่อได้ยินเสียงหลุดขำในลำคอ
“ยิ้มอะไร เรื่องหิวมันปกติของมนุษย์ทุกคนไหม”
“แล้วฉันว่าอะไรยัง”
“ก็นายยิ้ม” ฉันชักสีหน้าใส่
“แล้วจะให้ร้องไห้รึไง”
“เออ ร้องสิ”
ไอ้ยักษ์ส่ายหัว “ฉันไม่ได้ประสาทกลับแบบเธอ”
“ย่ะ! ถ้าฝนหยุดรีบกลับไปเลยนะ” อยู่นานเดี๋ยวได้เกิดการฆาตกรรม
“แล้วคุณลุงไม่อยู่บ้านเหรอตั้งแต่มายังไม่เห็น”
“พ่อพาพี่ ๆ ไปขึ้นชกต่างจังหวัด” เวลานักมวยในสังกัดขึ้นชกพ่อจะไปด้วยทุกครั้งไม่ว่าจะไฟท์เล็กหรือไฟท์ใหญ่ พ่อบอกว่าถึงไม่ได้ขึ้นชกด้วยอย่างน้อยถ้าท่านไปพี่ ๆ จะได้มีกำลังใจ
“แบบนี้ถ้าไอ้หลงไม่กลับมาเธอก็อยู่บ้านคนเดียว?”
“อือ ทำไม”
“อันตรายไง” ไอ้ยักษ์ทำหน้าตาจริงจัง
“ใครจะกล้าบุกเข้าค่ายมวย” คนละแวกนี้ต่างรู้ดีว่าบ้านฉันเป็นค่ายมวย ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องใส่ตัวหรอก อีกอย่างเพื่อนบ้านก็มีแต่คนคุ้นเคยกันเลยไม่มีอะไรให้กังวล
“พวกขี้ยามันไม่สนหรอกนะว่าบ้านเธอจะเป็นค่ายมวยหรือว่าสถานีตำรวจ เมามามันก็ไม่รู้ห่าอะไรหรอก!”
“แล้วนายจะหงุดหงิดใส่ฉันทำไมเนี่ย” งงนะเว้ย อยู่ ๆ ก็มาขึ้นเสียงใส่ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
“เธอแม่ง!”
“เอ้า” อะไรของไอ้ยักษ์ หันหน้าหนีเหมือนคนงอนแบบนั้นคืออะไร ตากฝนจนประสาทกลับแล้วว่างั้น? “จะต้มมาม่าเอาด้วยไหม นี่!” ชักหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วนะ เป็นบ้าอะไรพูดด้วยก็ไม่ตอบ
“ทำเป็นรึไง” พูดได้แล้วสินะ
“แค่ต้มมาม่าเด็กอนุบาลยังทำเป็น สรุป?”
“อือ”
“ก็แค่นี้เก๊กอยู่ได้” เดินเข้าครัวหยิบมาม่ามาสี่ห่อ ฉันสองไอ้ยักษ์สอง “กินผักไหม” ตะโกนถามคนด้านนอก
“หมายถึงเธอจะต้มผักใส่มาม่า?” ก็ว่าทำไมตอบช้าที่แท้กำลังเดินมา
“อือ แปลกรึไง”
“เปล่า แค่คิดว่าเธอคงทำแค่เทน้ำร้อนแล้วรอให้มันสุก”
“อย่ามาดูถูกปรมาจารย์ด้านการต้มมาม่าอย่างฉันนะ” คนอื่นฉันไม่รู้ว่ายังไง แต่การต้มมาม่าของฉันไม่เคยมีคำว่าธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ หรูขึ้นมาหน่อยก็เพิ่มไข่ ลามไปถึงกุ้ง หอย ปลาหมึก แล้วแต่ว่าเวลานั้นมีอะไรบ้างในตู้เย็น จากนั้นก็ปรุงรสด้วยพริกป่นกับน้ำตาล ถ้าเป็นรสหมูสับก็จะเติมมะนาวเพิ่มรสชาติ บอกเลยว่าแซ่บจนหยุดซดแทบไม่ได้ ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไงก็ลองไปทำตามกันดู
“อึ้งเลยล่ะสิ” ฉันถามยิ้ม ๆ เมื่อเห็นไอ้ยักษ์มองมาม่าในถ้วยอย่างตะลึง บอกแล้วว่าระดับเชฟหลิวไม่มีคำว่าธรรมดา “ชิม ๆ แล้วบอกด้วยว่ารสชาติเป็นยังไง”
ฉันมองช้อนที่กำลังถูกส่งเข้าปากไม่กะพริบ ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นเกรดอยากรู้ว่าไอ้ยักษ์จะบอกว่ายังไง
“ไม่อร่อยเหรอ” เงียบแบบนี้ชักจะเสียความมั่นใจแล้วนะเว้ย ถ้าไม่อร่อยก็รีบบอกจะได้นำไปปรับปรุง ไม่ใช่นั่งเงียบเหมือนคนลืมเอาปากมา “นี่! พูดสักทะ...”
“อร่อย อร่อยมาก” ไอ้ยักษ์ลากเสียงยาวขัดกันก่อนที่ฉันจะพูดจบ ตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างเหมือนคนคาดไม่ถึง ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะยกนิ้วโป้งแล้วส่งมาให้ฉัน เห็นอย่างนั้นจากหน้าบึ้งก็ยิ้มกว้าง
“บอกแล้วว่าฝีมือฉันมันสุดยอด” ยืดตัวกอดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจ นี่ละนะคนมีเสน่ห์ปลายจวัก สวยไม่พอยังทำอาหารอร่อยอีก ใครเจอใครก็รักใครก็หลงบอกไว้เลย
“เพ้ออะไรอยู่” ไอ้ยักษ์ดีดนิ้วเรียก ฉันที่สติล่องลอยไปใกล้เลยรีบกะพริบตาปริบ ๆ “คงไม่ได้กำลังคิดว่าตัวเองทั้งสวยทั้งทำอาหารเก่งหรอกนะ”
อเมซิ่ง! ไอ้ยักษ์มันรู้ความคิดฉันได้ยังไง
“คิดแบบนั้นจริง ๆ ด้วยสินะ” ส่ายหัวแล้วใช้สายตามองฉันอย่างระอา
“ถ้าคิดแล้วมันจะทำไมในเมื่อมันคือความจริง”
“เตี้ย สติ” ไอ้ยักษ์เคาะนิ้วเข้าขมับของตัวเอง “สวยไม่สวยให้คนอื่นเป็นคนตัดสินไม่ใช่พูดอวยตัวเอง”
“การให้กำลังใจตัวเองเป็นสิ่งที่ควรทำ คนเราต้องภูมิใจในตัวเอง ต้องรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำไมต้องรอให้ใครมาตัดสิน” ฉันไม่ค่อยสนหรอกว่าใครจะคิดยังไง ไอ้สวยไม่สวยฉันไม่เคยคิดมากตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนเราไม่สามารถถูกใจทุกคนบนโลกนี้ได้หรอก เพราะฉะนั้นอย่าได้แคร์
จงเป็นตัวของตัวเองในแบบที่อยากเป็น ไม่จำเป็นต้องสนสายตาของคนอื่น ตราบใดสิ่งที่ทำไม่ได้เบียดเบียนหรือทำให้ใครต้องเดือดร้อนก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดมาก
“จ้าแม่คนสวย แม่คนมองโลกในแง่ดี” เบ้เข้าไปปาก ขอให้มันเบี้ยวไม่กลับมาเป็นทรงเดิม
“ถ้าคิดว่าฉันไม่สวยก็เอามาม่าฉันคืนมา”
“เรื่องอะไร” ไอ้ยักษ์ดึงถ้วยไปหลบไว้ด้านหลังเมื่อเห็นฉันตั้งท่าลุก
“คนที่จะกินอาหารฝีมือฉันได้ต้องบอกว่าฉันสวยเท่านั้น เพราะฉะนั้นนายไม่มีสิทธิ์เอาคืนมา”
“เมื่อกี้ฉันก็ชมไปแล้วไง ทั้งสวยทั้งมองโลกในแง่ดี”
“อันนั้นประชดไหม” พูดอย่างกับฉันดูไม่ออก
“คิดมากน่า ทุกคำออกมาจากใจฉันทั้งนั้นเลย” คนพูดใช้กำปั้นตีอกข้างซ้ายตัวเองดังปึก ๆ สีหน้าแสดงออกถึงความจริงใจที่ดูยังไงก็รู้ว่าเสแสร้ง แต่เอาเถอะ ฉันจะปล่อยไปสักครั้งเพราะเห็นว่าวันนี้ขับรถมาส่ง แต่อย่าหวังว่าครั้งหน้าจะมีอีก ถ้าปากดีมาเจอสวนกลับแน่ไอ้เขี้ยวยักษ์!