@โต๊ะอาหาร
เมื่อลูกชายคนเดียวกลับมาบ้านทั้งที มีหรือที่คนเป็นแม่อย่างคุณรตีจะไม่ให้แม่บ้านจัดอาหารจานโปรดกว่าสิบอย่าง เรียกได้ว่าเต็มโต๊ะอาหาร
กฤษณะมองอาหารในจานที่วางอยู่ตรงหน้าน่ากินไปหมด เพราะเขารู้ว่าเป็นความสุขของแม่เลยไม่ได้ทักท้วงว่าทำไมถึงทำเยอะขนาดนี้
หากว่าแม่อารมณ์ดีเขาจะไม่ขัดท่าน เพราะยังไงนานๆ ทีเขาถึงกลับมาบ้านอยู่แล้ว เรียกได้ว่าประมาณสองสัปดาห์ต่อครั้ง แค่นั้นก็นานมากๆ แล้วสำหรับคุณหญิงรตี
กฤษณะชำเลืองมองกลับมายังคนด้านข้าง พีรดาเหมือนรู้ตัวก็หันมาสบตากัน การกระทำของคนทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นแม่ว่าลูกชายเธอกับเด็กสาวคนนี้เป็นแฟนกันจริงๆ ใช่ไหม
ถึงทั้งคู่จะย้ำแล้วว่าเป็นแฟนกันจริงๆ ไม่ได้เล่นละครตบตา หากแต่อย่างนั้นเธอก็ยังไม่สามารถวางใจลงไปได้ ในเมื่อเธอต้องการลูกสะใภ้จริงๆ แล้วลูกชายก็มีปุบปับทั้งที่ไม่ใช่คนที่เธอเลือกให้สักคน ย่อมระแวงแคลงใจอยู่แล้ว
"ทานกันเถอะ" เป็นคุณกฤษฎาที่เอ่ยออกมาทำลายบรรยากาศความเงียบ เมื่อเขานั่งมองอาหารบวกกลับกลิ่นหอมที่โชยออกมาราวห้านาทียังไม่ได้ลงมือทาน อีกอย่างตอนนี้เลยเวลาอาหารมื้อเย็นมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะคุณนายรตีเมียเขาที่บอกให้รอทานพร้อมลูก เขาคงเดินเข้าครัวแล้วหยิบขนมปังในถุงออกมาราดนมกินกลับขึ้นห้องนอน
แต่เพราะกลัวว่าจะได้นอนนอกห้อง อีกทั้งอยากเจอลูกด้วยจึงทำให้คนที่นอนแต่หัวค่ำยังคงนั่งรอ
ทุกคนต่างลงมือทานอาหาร กับข้าวคำแรกเป็นเมนูหมึกผัดผงกะหรี่ที่คนเป็นแม่ตักมาวางในจานให้ลูกชาย
"ทานได้ไหม มีอะไรแพ้หรือเปล่า" กฤษณะที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาควรถามหญิงสาวคนด้านข้างเสียก่อนจึงยังไม่ตักขึ้นทาน
"ไม่แพ้ค่ะ" พีรดาส่งยิ้มหวานพลางส่ายหัว ก่อนจะวางมือลงจับช้อนส้อมแล้วเริ่มทานเหมือนกัน ถึงแม้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่ต้องมานั่งกินข้าวบ้านผู้ชาย แถมบรรยากาศก็ดูไม่คุ้นเคยเลยทำให้เธออึดอัดไปหน่อย หากแต่อย่างนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ในเมื่อรับงานมาแล้ว
"ไม่ต้องเกร็งนะลูก" คุณกฤษฎาบอกกับว่าที่ลูกสะใภ้น้ำเสียงนุ่มนวล นั่นจึงทำให้ทุกคนต่างหันไปมองยังหัวหน้าครอบครัว
"แม่เราอาจหน้าตาเหมือนยักษ์เหมือนมารสักหน่อยแต่จิตใจด้านในดี๊ดี" คนเป็นสามีอมยิ้ม
คราวแรกคุณรตีที่ได้ยินควันออกหูทันที! แต่พอประโยคหลังที่สามีชมจึงยับยั้งชั่งใจเอาไว้
ก็ได้ ในเมื่อลูกชายยืนยันว่าแม่หนูคนนี้คือแฟนจริงๆ แล้วทำไมลูกชายชอบเธอจะไม่ชอบด้วยละ
"ไม่ต้องเกรงใจ ตากฤษรักใครฉันก็รักด้วย" คุณรตีบอกกลายๆ
พีรดาอมยิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณท่านทั้งสองไป ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่แทนตัวเองว่าแม่ และเรียกตัวเธอว่าลูกเหมือนสามีของท่านก็ตาม แต่แค่นี้มันก็ดีมากๆ สำหรับเธอแล้ว
แต่แล้วเธอจะดีใจทำไมกัน ในเมื่อเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ถ้าท่านไม่ชอบแต่ไม่ทำอะไรให้เธอเดือดร้อนก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ
"ทานหน่อย" เป็นกฤษณะที่ตักอาหารตรงหน้าตัวเองแล้ววางมันลงในจานของหญิงสาว "แม่บ้านที่นี่ทำอาหารอร่อยนะ"
กฤษณะที่กินไปคำหนึ่ง ส่วนเจ้าของบ้านทั้งสองกินไปหลายคำแล้ว
พีรดาเพิ่งได้เริ่มคำแรกที่เขาตักมาให้ พอเอาเข้าปากเคี้ยวไปสักสองสามทีเธอก็รู้แล้วว่าอร่อยจริงจนกลืนลงท้องไป
"อร่อยจริงๆ ค่ะ" ถึงจะเป็นมารยาทที่ดีของแขก หากแต่เธอเอ่ยชมจากใจจริง
"งั้นเธอก็ชวนลูกชายฉันกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆ สิ ฉันจะให้แม่บ้านทำให้กินทุกวันเลย เพราะฉันชวนทีไรตากฤษไม่ยอมมาสักที" คุณรตีทำท่างอน
"ก็บ้านเราอยู่ห่างไกลมหา'ลัยไงครับแม่ แต่เอาเป็นว่าต่อไปนี้ผมจะพาดามาบ่อยๆ แล้วกันนะครับ"
พีรดาที่ได้ยินดังนั้น มือกำลังจะตักน้ำซุปขึ้นซดชะงักไป ยังต้องมีครั้งที่สองอีกเหรอเนี่ย
ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามือหนาของใครบางคนลูบลงที่แผ่นหลังของเธอแผ่วเบา ช้อนตักน้ำซุปจึงถูกใช้งาน โอเคว่ารับรู้แล้ว ว่าเขาแค่แก้ไขสถานการณ์ พีรดาเลยโล่งใจ
เวลาผ่านไปสามสิบนาทีที่คนในโต๊ะต่างเริ่มอิ่มกันแล้ว กฤษณะจึงได้บอกแฟนปลอมๆ ของตัวเองว่าเขาจะเข้าไปคุยงานกับพ่อ
ถึงหน้าที่หลักเขาจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่หน้าที่รองคือเป็นที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจให้พ่อตัวเอง แม้ท่านจะทำงานเก่ง หากแต่ยังต้องการความเห็นจากลูกชาย เวลากลับมาบ้านก็มีเรื่องที่ชอบพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัว
ส่วนคนเป็นเมียที่รู้แต่เพียงว่าพ่อลูกคู่นี้ดูงานช่วยกันก็ไม่ได้สนใจมาฟัง เพราะความฝันของเธอคือเห็นลูกชายยืนสอนหนังสือให้ความรู้แก่ผู้อื่นต่างหาก เมื่อก่อนหากใครได้เป็นครูอาจารย์ บ้านหลังนั้นต้องรวยมากๆ พร้อมส่งลูกเรียน
ในเมื่อเธอไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนสูงๆ แล้วมอบความรู้ให้แก่ผู้อื่น ก็มีเพียงลูกชายคนเดียวที่จะสามารถสานฝันของเธอให้สำเร็จได้ แม้ว่าในยุคสมัยนี้ไม่ได้ลำบากอย่างเมื่อก่อนถึงขนาดขาดแคลนบุคลากรมากมาย แต่เธอก็ยังอยากให้กฤษณะทำหน้าที่ตรงนี้อยู่ดี
ถึงแม้บางครั้งจะขัดแข้งขัดขากับคนเป็นสามีตัวเองบ่อยๆ ก็ตาม เพราะฝั่งนั้นอยากให้กฤษณะลาออกจากการสอนหนังสือมาทำธุรกิจ แต่ในเมื่อเธอยังเห็นเจ้าลูกชายทำหน้าที่ตรงนี้ไม่เอ่ยพูดจึงคลายความกังวลลงไป
ในห้องที่มีเพียงสองพ่อลูกอย่างเช่นทุกครั้งที่กฤษณะกลับมา
"เหนื่อยไหมล่ะเจ้าลูกชาย" คนเป็นพ่อถามอย่างรู้กัน เพราะนอกจากงานสอนหนังสือ กฤษณะดูงานช่วยพ่อตัวเองไปด้วย ถึงแม้ไม่ได้เข้าบริษัทบ่อยๆ แต่คนที่ดูข้อมูลอยู่ทุกวันย่อมรู้เรื่องราวของกิจการว่ากำลังไปในทิศทางไหน
"ก็มีบ้างครับ" ในเมื่อแม่ไม่ยอมให้เขาลาออกจากการเป็นอาจารย์ และเขาเองที่คิดว่ามันสามารถทำควบคู่กันไปได้ เพราะเขาไม่มีอะไรให้ต้องกังวลไง ไม่ว่าจะเป็นเมียหรือลูก นั่นจึงทำให้คนอย่างเขาสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ จะไปไหนมาไหนไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเวลามากเท่าไหร่
บางครั้งเขามีสอนแค่คาบเช้า ช่วงบ่ายว่างก็ถือโอกาสไปนั่งทำงานที่นั่นแทนการดูข้อมูลอยู่แต่คอนโด คนที่ทำงานมาตลอด ให้เขาทำตัวว่างๆ มันไม่ชิน วุ่นวายแบบนี้แหละดีแล้ว
ถึงรู้ว่าคนเป็นพ่อพยายามที่จะให้เขาทำงานเพียงอย่างเดียวเพราะเข้าใจว่างานมันเหนื่อย อีกอย่างธุรกิจที่ท่านทำสืบต่อจากคุณปู่ หากเขาไม่เข้าไปรับช่วงต่อก็คงต้องจ้างคนไปดูแลแทน แต่มันคงไม่เหมือนคนที่เป็นเจ้าของเองท่านคิดว่าอย่างนั้น ถึงจะเป็นแค่ธุรกิจขนาดกลางแต่ก็น่าเสียดาย
เพราะมันทำให้บ้านเรามีกินมีใช้ตลอดไม่ขาดมือ ลูกน้องอีกหลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ได้เงินกลับไปจุนเจือครอบครัว
หรือจะให้ท่านขายบริษัทแล้วมานั่งใช้เงินอยู่แต่ที่บ้านแบบตายไปยังใช้ไม่หมดก็คงได้ แต่มันไม่อยากทำอย่างนั้นไง มองใครคนอื่นพาบริษัทของตระกูลเจริญก้าวหน้าที่ไม่ใช่นามสกุลเดิม
"ช่วงนี้ผมยังไหวอยู่ครับ พ่ออยากวางมือแล้วเหรอครับ" กฤษณะเลิกคิ้วถามคนเป็นพ่อยิ้มๆ
"เปล่าหรอก ให้พ่อมาอยู่บ้านรองรับอารมณ์แม่เราวันละหลายสิบรอบ ให้พ่อไปทำงานทุกวันดีกว่า" เขากะว่าสักเจ็บสิบปีนนู่นแหละถึงจะเลิกทำงาน ก็คนเคยทำทุกวัน
"เดี๋ยวแม่แอบมาได้ยินจะเสียใจเอานะครับ" กฤษณะเตือนพ่อตัวเองยิ้มๆ คนเป็นพ่อส่ายหัวอย่างที่ลูกชายก็รู้กัน
"แล้วจะมีวันที่เราเข้ามาดูงานเต็มตัวบ้างหรือเปล่า หรือเราคิดว่าจะจ้างใครมาดูแลแทน หากว่าวันหนึ่งพ่อแก่จนไม่สามารถทำงานได้แล้ว" เขาก็คิดไปถึงอนาคตที่ต้องมีคนนั่งในตำแหน่งประธานสูงสุด
"ผมคิดว่าผมมีวิธีครับ" กฤษณะที่นิ่งคิดไปจนแน่ใจก่อนเอ่ยออกมา "พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะเป็นครูอย่างที่แม่ต้องการ และผมจะไม่ทิ้งกิจการของครอบครัว"
พอได้ยินแบบนั้นทำให้คุณกฤษฎาขมวดคิ้วว่ามีทางไหน ทว่าแอบเบาใจลงไป ในเมื่อคราวนี้คำพูดลูกชายดูหนักแน่นกว่าทุกครั้ง
@ห้องนั่งเล่น
พีรดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับคุณหญิงเจ้าของบ้าน บรรยากาศระหว่างนี้เงียบเชียบกินเวลามาถึงสิบนาที
สิบนาทีที่เขาบอกว่าจะไปคุยงานกับพ่อตัวเอง พีรดานึกว่าแปดปี ทำไมถึงนานขนาดนี้ คนตรงหน้าเธอก็นั่งกอดอกมองเธอไม่วางตาสักที ฉี่จะราดอยู่แล้ว
จะถามก็ไม่ถาม จะพูดก็ไม่พูด ถ้าคนที่พาเธอมายังไม่เดินกลับเข้ามาภายในห้านาทีเธอจะฉี่ราดให้ดู
"อ้าวเสร็จแล้วเหรอลูก" น้ำเสียงสดใสเอ่ยทักทายใครบางคน กลับทำให้คนที่นั่งก้มหน้าลงต่ำบีบมือสองข้างสลับกันไปมาเงยหน้าขึ้นมอง
แต่พอเห็นว่าเป็นเขา พีรดาฉีกยิ้มกว้าง จนกฤษณะที่เห็นก็ยิ้มรับทั้งงงๆ แต่ลักยิ้มจนแก้มบุ๋มทั้งสองข้างจะเห็นชัดเมื่อพีรดายิ้มกว้างมากๆ เขาเพิ่งเห็นแค่สองครั้งเอง
พอประมวลผลได้ว่าพีรดาคงยังเกร็งต่อแม่เขาอยู่ จึงได้เดินมานั่งลงเบียดเธอตรงโซฟาตัวเดียวกัน คนเป็นแม่ที่เห็นดังนั้นก็หมั่นไส้ในความน่ารัก
ต่อไปเจ้าลูกชายคงไม่มานั่งเบียดเธออีกแล้วสินะ ก็แหงล่ะมีแฟนแล้วนี่ แถมแฟนก็หน้าตาน่ารักน่าชัง มองเจ้าลูกชายที่พาดแขนไปด้านหลังแล้วโอบกอดแฟนสาว ซ้ำยังจูบลงที่ข้างขมับ นั่นทำให้คุณรตีคลายข้อสงสัยที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งลดลงไปได้อีก
"งั้นผมกลับเลยนะครับแม่" กอดคนที่ตัวเย็นเฉียบให้ผ่อนคลายลงแล้วหันไปพูดกับแม่ตัวเอง
แล้วพ่อของเขาก็เดินเข้ามา
"ผมว่าจะกลับแล้วนะครับพ่อ" บอกแล้วรั้งคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนตาม ก่อนที่เขาจะเดินไปสวมกอดแม่ตัวเอง คนเป็นพ่อวางมือลงบนบ่าลูกชายเบาๆ อย่างที่คนทั้งสองรู้กัน
พีรดาก็ไหว้ผู้ใหญ่ตามเมื่อเขาบอกมาอย่างนั้น
กระทั่งเจ้าของบ้านเดินออกมาส่งลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้ถึงที่หน้าบ้าน มองคู่รักข้าวใหม่ปลามันเดินขึ้นรถคนละฝั่งแล้วขับออกไป มองตามไฟท้ายรถจนสุดสายตาเมื่อเวลานี้หนึ่งทุ่มตรงแล้ว
คนเป็นแม่ที่ลูกชายออกจากบ้านไปแล้วก็ทำหน้าเศร้าทันที แต่ยังไงวันนี้ก็มีข่าวดีมาให้เธอได้ชื่นใจ เธอจะรอ รอเวลาอีกแค่ปีกว่าๆ จะได้อุ้มหลานตัวแดงๆ
"สมใจแล้วสิ" คนเป็นสามีถามยิ้มๆ ที่หันมาเห็นใบหน้าห่อเหี่ยวของภรรยาคงเพราะคิดถึงลูกชาย หากแต่ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาตามหลังเหมือนกำลังพอใจที่เจ้ากฤษมาวันนี้
"พอใจสิคะ" เธอบอกคนเป็นสามีน้ำเสียงประชดประชัน "คนที่ไม่เคยจะสนใจเรื่องแบบนี้คงไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ" บอกแล้วเดินหันหลังสะบัดตูดให้สามี
คุณกฤษฎารีบเดินตามไปอย่างไว วางมือโอบกอดที่ไหล่ดูหนาขึ้นมากกว่าปีที่แล้วนิดหนึ่ง "ผมก็แอบลุ้นเหมือนคุณนั่นแหละน่า"
"ชิ" คุณรตีทำท่ามองค้อน หากแต่อย่างนั้นกลับตวัดแขนไปที่เอวสอบคนเป็นสามีแล้วพากันเดินขึ้นบ้านเพื่อไปอาบน้ำกัน