“ตายแล้วขิม กลางวันแสก ๆ ยืนจูบกับผู้ชายแบบนี้ได้ยังไง” เสียงนภาผู้เป็นป้าที่บ้านอยู่ใกล้กันดังขึ้นเมื่อญารินหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง
“โหยแม่ นี่มันยุคไหนแล้ว ของแบบนี้เขาไม่ถือหรอก” กอแก้วผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องอายุมากกว่าญารินสามปีเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างนภา “ว่าแต่...คนเมื่อกี้น่ะ แฟนเหรอ”
“เอ่อ...” หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าจะบอกความจริงออกไปจนกระทั่งเสียงของนวลจันทร์ดังแทรกขึ้นมา
“ก็แฟนนั่นแหละ”
“แม่!” ญารินเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจแต่ประโยคนั้นกลับทำให้นภาถึงกับตาลุกวาว
“แฟนเหรอ มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ข่าวว่าไปทำงานกรุงเทพฯ นี่”
“คบกันมานานแล้วแต่เพิ่งจะเปิดตัวให้พี่เห็นนี่แหละ” นวลจันทร์เป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นก่อนจะจูงมือลูกสาวเข้าไปในบ้านเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม
เมื่ออยู่กันตามลำพังสองคน ญารินจึงเอ่ยถามผู้เป็นแม่ขึ้นทันทีด้วยความสงสัย
“แม่...เห็นด้วยหรือจ๊ะ”
“ไม่เห็นหรอก แต่เมื่อกี้ป้านิดมา เพิ่งจะกลับก่อนที่ขิมจะมาไม่นานนี่เอง” อีกฝ่ายตอบในขณะที่หันไปเก็บเสื้อผ้าของบิดาผู้ล่วงลับลงในกล่องใบใหญ่เพื่อเตรียมบริจาค
“ป้านิดมาบอกแม่เรื่องงานที่หนูต้องทำเหรอจ๊ะ”
“อืม...ตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ เพราะถ้าแม่ยอมให้ขิมไปก็เท่ากับแม่ส่งเสริมให้ขิมโกหก แต่ป้านิดเขาสัญญาว่าจะดูแลขิมให้ดี แม่เองก็เบาใจ” คนสูงวัยว่าพลางนำกล่องกระดาษไปซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบ ญารินจึงอาสาเข้าไปช่วยเก็บอีกแรง “ดูท่าแล้วป้านิดเขาน่าจะเอ็นดูขิมจริง ๆ ถึงได้มาขอกับแม่ด้วยตัวเองแบบนั้น”
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูไปแต่งงานกับคุณปุณแค่ในนามเท่านั้น...”
“แม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนป้านิดเขาจะอยากได้เราเป็นสะใภ้จริง ๆ นะ”
“แล้วแม่คิดว่ายังไงเหรอคะ คือ...หนูหมายถึงถ้าหนูทำให้คุณปุณเขารักหนูได้จริง ๆ แม่จะตกลงไหม” ญารินลองเอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิงผู้เป็นแม่
“ป้านิดเองก็บอกแบบนั้น แม่เองก็ดีใจที่ป้านิดเขาเมตตาเรา แต่มันจะเป็นไปได้เหรอขิมที่คนเจ้าชู้แบบนั้นเขาจะยอมหยุดจริง ๆ แล้วอีกอย่างเรากับเขามันต่างฐานะกัน แม่ไม่อยากให้ขิมต้องมาเสียใจทีหลัง”
“หนูคิดว่าหนูหยุดเขาได้ค่ะแม่” หญิงสาวตอบด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักจนต้องหันมาถามอีกครั้ง
“นี่หมายความว่าขิม...รู้สึกดีกับเขาไปแล้วเหรอ”
“เอ่อ...มันบอกไม่ถูกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ แค่เจอหน้าครั้งแรก หัวใจหนูก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาซะงั้น” ญารินสารภาพด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“จะบอกว่ารักแรกพบอย่างนั้นสิ” นวลจันทร์แกล้งแหย่จนลูกสาวหน้าเห่อแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายหญิงสาวจึงตัดสินใจบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป
“แม่คงไม่ว่าใช่ไหมคะ ถ้าเกิดหนูรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ”
“ความรู้สึกแบบนั้นมันห้ามกันได้ที่ไหนกันล่ะ แต่แม่แค่อยากเตือนขิมเอาไว้ว่าเรากับเขามันคนละชั้นกันนะลูก”
“หนูเข้าใจค่ะแม่ หนูแค่อยากเปิดใจรักใครสักคน ไม่ได้หวังทรัพย์สินอะไรของเขาเลยนะคะ” ญารินยังยืนยันคำเดิมจนผู้เป็นแม่ยอมอ่อนใจ
“ก็ได้...ถ้าขิมคิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานความเจ็บปวดมากพอ แม่ก็ไม่ห้าม...ขิมโตแล้วแม่จะให้ขิมเลือกชีวิตของตัวเอง”
“ขอบคุณค่ะแม่ ขิมจะแข็งแกร่งให้ได้เหมือนแม่นะคะ” หญิงสาวยิ้มตอบด้วยความซึ้งใจก่อนจะสวมกอดนวลจันทร์ไว้แนบแน่น “แต่งงานแล้วหนูอาจจะไม่ได้กลับมาเยี่ยมแม่บ่อย ๆ แม่อยู่คนเดียวได้ไหมคะ”
“อยู่ได้สิ ขิมเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแม่แข็งแกร่ง”
“ต้องแข็งแกร่งอยู่แล้วเพราะว่าแม่หนู เก่งที่สุดในโลก”
นวลจันทร์เอื้อมมือไปขยี้เรือนผมบนศีรษะเล็กอย่างนึกเอ็นดู ไม่อยากคิดเลยว่าลูกสาวเพียงคนเดียวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะจะโตเร็วจนจะแต่งงานในอีกไม่กี่วัน ถึงจะเป็นการแต่งงานแค่ตบตาคนแต่ก็อดใจหายขึ้นมาเสียไม่ได้
หลังจากช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านและเตรียมมื้อค่ำกินกันสองคนจนเสร็จ ญารินจึงไปกราบไหว้อัฐิของบิดาอีกครั้งแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาตรวจเช็คข่าวสารก่อนจะเตรียมตัวเข้านอน
“บริษัทใหญ่แจ้งมาแล้วนะขิม มีตำแหน่งงานว่างอยู่ ขิมเข้าไปทำงานวันที่หนึ่งได้เลย พี่ประสานงานให้แล้ว”
ข้อความจากนวิยาเด้งขึ้นมาตั้งแต่ตอนบ่าย ทำให้หญิงสาวคิดหนักขึ้นมาทันทีเพราะเธอมีงานอื่นที่ต้องไปทำในไร่อมรภิรมย์เหมือนกัน
ถ้าเกิดไม่ไปตามกำหนด เธอจะทำให้นวิยาและเมธวินเดือดร้อนหรือเปล่า
ญารินครุ่นคิดอย่างหนักพลางพลิกตัวบนที่นอนหนานุ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เอาไงดีล่ะทีนี้ ดันมารับงานควบกันอีก เห้อ...”
“งานศพพ่อเป็นยังไงบ้าง พี่เสียใจด้วยนะ” ในขณะที่หญิงสาวกำลังใช้มือก่ายหน้าผากอย่างคนคิดหนักอยู่นั้น เสียงข้อความจากนวิยาก็ดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้เธอต้องพิมพ์ตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เรียบร้อยดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่วิ”
“วันที่หนึ่งพี่กับลูกทีมจะขึ้นไปดูงานที่นั่นพอดี เอาไว้เจอกันนะ แล้วพี่จะพาเราเข้าไปเอง”
“บ้าจริง พี่วิจะมาแสนดีอะไรตอนนี้เนี่ย” ญารินยิ่งคิดหนักเมื่อเห็นข้อความนั้นจึงลองบ่ายเบี่ยงดูแล้วค่อยไปปรึกษากับปณิตาทีหลัง
“รบกวนพี่หรือเปล่าคะ เดี๋ยวหนูเข้าไปเองก็ได้ค่ะ”
“รบกวนอะไรกัน พี่ว่าจะพาเราไปเลี้ยงฉลองกันด้วย”
“เนื่องในโอกาสอะไรเหรอคะ” นิ้วเรียวพิมพ์กลับไปในทันที
“โบนัสจากคุณเมธไง ปีนี้แผนกเรากระตุ้นยอดขายเป็นสิบล้านเลยนะ”
“หนูคงไม่สะดวก...” ข้อความที่เธอกำลังพิมพ์กลับไปต้องหยุดแต่เพียงเท่านั้นเมื่อมีเบอร์ของใครอีกคนโทรเข้ามา ญารินจึงเลื่อนนิ้วไปกดรับสายแทน
“สวัสดีค่ะ”
(ขิมเหรอ หลับหรือยัง) เสียงนุ่มทุ้มถามกลับมาจากปลายสายพร้อมกับเสียงดังกระหึ่มของเพลงบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในผับ
“ยังหรอกค่ะ”
(ขอโทษด้วยนะที่โทรมารบกวนดึก ๆ)
“คุณปุณมีอะไรหรือเปล่าคะ” ญารินพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อเก็บซ่อนความประหม่าเอาไว้ แค่ได้ยินเสียงไม่เห็นหน้าก็ทำให้เธอแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
(ฉันบอกคุณย่าไว้แล้ว เตรียมตัวให้พร้อมนะ อีกสามวันฉันจะไปรับ)
“รับไปไหนคะ”
(ก็รับมาหาคุณย่าไง ลืมแล้วเหรอ)
“อ้อ...ค่ะ ไม่ลืมค่ะ” คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
(งั้นตกลงตามนี้นะ)
ปุณณภัทรรวบรัดตัดบทแล้วจึงวางสายไปเพื่อสนุกกับหญิงสาวที่อยู่ข้างกายโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำให้ผู้หญิงอีกคนกำลังว้าวุ่น
“เร็วจนไม่ได้ตั้งตัวเลยแฮะ” หญิงสาวนวดขมับตัวเองก่อนจะเหลือบไปเห็นข้อความที่กำลังพิมพ์ตอบนวิยาแล้วจึงเด้งตัวไปเปิดดูปฏิทิน “บ้าจริง ตรงกับวันที่พี่วิมาพอดีเลย”
ญารินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถ้าจะติดต่อปณิตาไปตอนนี้ก็คงแก้ไขอะไรไม่ทัน ดีไม่ดีถ้าเธอไม่เข้าทำงานก็อาจจะทำให้นวิยาพลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะอุตส่าห์วิ่งเต้นเปลี่ยนสาขาให้
ในเมื่อไม่มีทางเลือกเธอก็คงต้องทำงานควบกันสองตำแหน่งจริง ๆ สินะ