ตอนที่7 งานแต่งงาน (1)

1971 Words
ร่างสูงหิ้วหมวกกันน็อกคู่ใจออกไปจากบ้านตอนสี่ทุ่มอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งสายตาหันไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่กำลังเดินสวนขึ้นมาตรงบันได “คุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” “จะออกไปไหน” ปณิตาไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับไป “จะออกไปสังสรรค์หน่อยน่ะครับ” “แต่เรากำลังจะแต่งงานแล้วนะ” ผู้เป็นแม่โอดครวญอย่างคนเหนื่อยล้าในหัวใจ “ก็นั่นแหละครับ แต่งงานแล้วไม่รู้ว่าผมจะได้ออกไปบ่อยหรือเปล่า แล้วไหนจะต้องไปรับตำแหน่งประธานบริษัทอีก ตอนนี้ผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว ให้ผมไปเถอะนะครับ” ชายหนุ่มกะพริบตาถี่เพื่อออดอ้อนปณิตาเหมือนเช่นทุกครั้ง “แล้วถ้าคุณย่ารู้...” “ผมสัญญาครับว่าถ้าแต่งงานแล้วผมจะเที่ยวให้น้อยลง” ปุณณภัทรชิ่งตอบก่อนที่ผู้เป็นแม่จะพูดจบ “ตาปุณ...” “ดึกแล้วคุณแม่ไปนอนเถอะครับ นอนดึกเดี๋ยวไม่สวยน้า” มือหนาบีบแก้มของมารดาอย่างรักใคร่แล้วจึงเดินออกจากบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องกลายมาเป็นประธานบริษัทที่มีภาระอันหนักอึ้งต้องรับผิดชอบพร้อมด้วยศรีภรรยาที่ผู้เป็นแม่จัดหามาเพื่อบังหน้า ไม่รู้ว่าจะมีเวลาเที่ยวอีกเมื่อไหร่ ก่อนถึงเวลานั้นเขาขอจัดหาความสุขให้ตัวเองอีกสักนิดก่อนก็แล้วกัน ริมฝีปากบางหยักยิ้มเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ถูกขัดสีใหม่อีกครั้งก่อนที่เขาจะสตาร์ตเครื่องแล้วทะยานไปตามถนนคดเคี้ยวภายในไร่เพื่อไปยังสถานที่นัดหมายซึ่งเป็นผับของอาทิตย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน “ไงว่าที่เจ้าบ่าว” เจ้าของผับเอ่ยทักเมื่อเห็นปุณณภัทรเข้ามาทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง “เรียกแบบนั้นอีกฉันจะไม่มาร้านแกอีก จำไว้” “แอบไปคบหากันตอนไหนวะ เพิ่งบินกลับมาก็ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบ ไม่เห็นพามาเปิดตัวบ้างเลย” อาทิตย์เอ่ยถามพลางโบกมือเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้ “เปิดตัวไม่ได้หรอก คนนี้แม่ฉันหาให้” “อ้าว ฉันก็คิดว่าเสืออย่างแกจะถอดเล็บแล้วเสียอีก” “ไม่มีทาง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่า แกคิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะยอมแต่งงาน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ พลางหยิบเครื่องดื่มสีสวยที่อาทิตย์สั่งให้กระดกเข้าปากรวดเดียวจนหมด “งั้นคืนนี้ก็เต็มที่เลย ถือเสียว่าเป็นการเลี้ยงฉลองสละโสด” “เสียใจด้วยว่ะ แต่ฉันมีนัดแล้ว” ริมฝีปากบางหยักยิ้มเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางระหงของนางแบบสาวที่อุตส่าห์บินลัดฟ้ามาจากกรุงเทพฯ เพื่อจะร่วมเตียงกับเขาในค่ำคืนนี้ “นั่นคุณเจสสิก้า นางแบบที่แกเคยคั่วนี่” อาทิตย์ยกมือผลักไหล่กว้างของปุณณภัทรเบา ๆ เพื่อชื่นชมในความร้ายกาจที่ทำให้หญิงสาวยอมบินมาถวายตัวถึงที่ “แกนี่ร้ายจริง ๆ ” “ขอโทษด้วยนะที่อยู่ฉลองกับแกต่อไม่ได้ เอาไว้หลังแต่งงานฉันค่อยหาเวลามาใหม่ละกัน” “เออ เชิญแกไปขึ้นสวรรค์เถอะ ฉันไม่ขัดหรอก” อีกฝ่ายโบกมือไล่ก่อนที่ปุณณภัทรจะลุกไปเกี่ยวเอวบางของเจสสิก้าไว้แล้วจุมพิตหวานฉ่ำเป็นการทักทาย “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณยังสวยเหมือนเดิมเลยนะเจส” “ปากหวานอย่างนี้ ฉันอยากจะลองชิมอย่างอื่นดูบ้างแล้วล่ะค่ะ ว่ายังหวานเหมือนเดิมหรือเปล่า” นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากบางแล้วลากสายตาลงต่ำอย่างท้าทาย เพราะเคยนัดกินกันบ่อยครั้ง ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความปุณณภัทรก็รู้อยู่แล้วว่าหล่อนต้องการอะไร “งั้นเราไปหาที่เงียบ ๆ ดื่มกันสองคนดีกว่าไหม” “ดีค่ะ เจสก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” เจ้าของริมฝีปากสีแดงเพลิงจูงแขนกำยำออกไปจากผับเพื่อหาสถานที่ที่จะใช้สนุกกันในค่ำคืนนี้ทันที ญารินยังคงคิดถึงงานแต่งงานที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน ในระหว่างนี้เธอก็ใช้เวลาหลังเลิกงานแอบไปเข้าคอร์สเจ้าสาวเพื่อบำรุงผิวหน้าดูแลตัวเองบ้าง ถึงจะเป็นการแต่งงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาณฤดี แต่มันก็คือความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคนรวมทั้งเธอด้วย “ขิมไปทำอะไรมา ดูสวยขึ้นนะเนี่ย” มินตราเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเข้ามานั่งลงเคียงข้าง “มินก็ทักเกินไป เราก็เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันนี่” “วันก่อนฉันผ่านไปในเมือง เจอขิมที่ร้านเสริมสวยด้วย แอบไปเสริมความงามมาล่ะสิ” ปานชีวา เพื่อนอีกคนเอ่ยทัก “ฉันแค่ไปสปาหน้าน่ะ” “ใกล้จะถึงเวลานัดลูกค้าไว้แล้ว จะโม้กันอีกนานไหม” เสียงเขมิกาดังขึ้นทำให้บทสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นเมื่อปานชีวาเป็นคนแรกที่ผละจากไปเหลือแต่มินตราและญารินเท่านั้น “เธอสองคนไม่ไปเตรียมตัวหรือไง” “ระดับนี้แล้วไม่ต้องเตรียมหรอกค่ะ” มินตราตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้ามองอีกฝ่ายเพราะเธอไม่ชอบขี้หน้าเขมิกาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ทำเป็นอวดเก่ง ถ้าพลาดขึ้นมาฉันไม่เอาเธอไว้แน่” “ใหญ่คับฟ้าจังเลยนะคะ” มินตราสวนกลับถึงคำพูดจะดูเชือดเฉือน แต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนรอยยิ้มอย่างท้าทาย “นี่เธอ...” “เรารีบไปกันเถอะขิม ป่านนี้ลูกค้าคงจะมากันแล้ว” มินตรารีบตัดบทเมื่อเห็นเขมิกากำลังจะยกนิ้วชี้หน้าเธอ “เดี๋ยว! ทำไมต้องไปกันสองคนด้วย ลืมไปแล้วหรือไงพนักงานหนึ่งคนต่อรถรางหนึ่งคันเท่านั้น” เขมิกาเน้นย้ำอีกครั้งทำให้มินตราต้องหยุดชะงัก “ขิมเขาเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน คุณตฤณบอกให้ขิมไปกับฉันก่อนจนกว่าจะคล่อง” “เกือบเดือนแล้วนะยังไม่คล่องอีกเหรอ” “ก็พอได้บ้างแล้วค่ะ แต่ยังตื่นเต้นอยู่บ้าง” ญารินตอบอย่างเกรงๆ “ที่ยังตื่นเต้นเพราะเธอยังไม่เคยลุยเดี่ยวน่ะสิ ถ้ายังตามตูดเพื่อนแบบนี้เมื่อไหร่เธอจะเป็นล่ะ” ดวงตาคมกริบปรายมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “เธอหรือเปล่าที่คุณเมธบอกว่าย้ายมาจากกรุงเทพฯ” “ค่ะ" “คงยังไม่เคยทำงานบริการสินะ ถึงได้ดูประหม่าแบบนี้” “ยังไม่เคยค่ะ” ญารินตอบไปตามความจริง “งั้นวันนี้ฉันจะให้เธอลุยงานคนเดียว แล้วเดี๋ยวฉันจะขึ้นรถไปดูด้วย” “ได้ค่ะ” ครั้งนี้หญิงสาวตอบด้วยความมั่นใจ แม้มินตราจะไม่เห็นด้วยแต่เธอก็ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าจะต้องก้าวผ่านคำสบประมาทของเขมิกาให้ได้ เมื่อถึงเวลานัด ลูกค้าที่ลงทะเบียนไว้ก็มาพร้อมเพรียงกัน ญารินจึงขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งของตัวเอง พอลูกค้าและเขมิกาขึ้นรถเธอก็เริ่มอธิบายที่มาของไร่อมรภิรมย์ทันทีตั้งแต่แรกเริ่ม ไปจนถึงไร่องุ่น ไร่ชาและโรงบ่มไวน์ โดยไม่มีขาดตกบกพร่องเลยสักนิด คนที่ตั้งใจจะขึ้นรถมาเพื่อติจึงได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งรถวนกลับมาจอดที่หน้ารีสอร์ตภูภิรมย์ตามเดิม “เป็นยังไงบ้างขิม” มินตราและตฤณรออยู่ที่หน้าแผนกด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างกับเจ้าตัวเลยสักนิด “ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ แต่ก็ผ่านมาได้” “ก็งั้น ๆ แหละ ยังพูดตะกุกตะกักอยู่เลย” เขมิกาเบ้ปากเล็กน้อย ตฤณจึงรีบเข้าไปให้กำลังใจน้องใหม่ในทันที “ไม่เห็นลูกค้ามาคอมเพลนแบบนี้แสดงว่าขิมทำได้ดีมากเลยนะ” “ขอบคุณค่ะ เจอคุณรินพอดี...ขิมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ” ญารินยิ้มตอบก่อนจะปรับน้ำเสียงลงเล็กน้อยเพื่อจะคุยธุระส่วนตัว “มีอะไรเหรอ” “คือ...กลางเดือนหน้า ขิมจะขอลาสักอาทิตย์ได้ไหมคะ” “ว่าไงนะ ลาไปไหนตั้งหนึ่งอาทิตย์” เขมิกาเอ่ยแทรกขึ้นทำให้ญารินชะงักไปชั่วครู่ “เอ่อ...ขิม ขิมจะลาไปแต่งงานน่ะค่ะ” “เธอนี่นะจะแต่งงาน” เขมิกาถามกลับด้วยความตกใจเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ “ค่ะ คือฤกษ์แต่งมันกลางเดือนหน้าน่ะค่ะ ขิมมีความจำเป็นต้องลาจริง ๆ นะคะ” “คุณขิมจะแต่งงานแล้วเหรอครับ” ตฤณตัวชาหนึบ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเขากำลังอกหักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ “ค่ะ ขิมลาได้ไหมคะ คุณรินจะหักเงินเดือนขิมก็ได้ ขิมจำเป็นจริง ๆ ” “ยังเด็กอยู่แท้ ๆ จะรีบแต่งไปไหน” เขมิกาปรายตามองอย่างเหยียด ๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะเมื่อกี้เธอบอกว่างานแต่งกลางเดือนหน้าเหรอ” “ค่ะ” “ตรงกับงานแต่งคุณปุณณภัทรซะด้วย ช่วงนั้นหัวหน้าระดับสูงก็คงไปร่วมงานกันหมด เหลือเพียงพนักงานระดับล่างไม่กี่คนเท่านั้น เธอเลื่อนงานแต่งของเธอไปก่อนละกัน” “เลื่อนไม่ได้หรอกค่ะ ขิมจัดการทุกอย่างไว้แล้ว” ญารินพยายามร้องขอ เธออยากจะบอกเหลือเกินว่างานของเธอกับปุณณภัทรมันก็คืองานเดียวกันนั่นแหละ “แล้วงานที่นี่ล่ะ” “คุณขิมไปเถอะครับ ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง” ตฤณขันอาสาหลังจากที่พยายามทำใจอยู่ครู่หนึ่ง “ขอบคุณมากเลยนะคะ” ญารินกระพุ่มมือไหว้ด้วยความดีใจ มินตราอดไม่ได้จึงเอ่ยแทรกขึ้น “นี่สิคะ ตัวอย่างของเจ้านายที่ดี” “เหอะ!” แล้วอย่าให้มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าคุณปุณณภัทรจะมารับช่วงต่อ ถ้ามีอะไรผิดพลาดฉันจะจัดการถอนรากทั้งแผนกแน่” เจ้าของดวงตาคมกริบตวาดกร้าวอีกครั้งแล้วจึงเดินจากไป ถึงตอนนั้นมินตราจึงหันมาเอ่ยถามญารินทันทีด้วยความอยากรู้ “ว่าแล้วทำไมถึงได้สวยออร่า ราศีจับแบบนี้ ที่แท้ก็กำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวนี่เอง มีแฟนแล้วก็ไม่บอก” “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” อยู่ ๆ ใบหน้าหวานก็เห่อแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงงานแต่งที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่พอคิดถึงประโยคที่เขมิกาบอกเมื่อครู่รอยยิ้มนั้นกลับมลายหายไปในทันที “ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้เชิญ พอดีจัดแบบเงียบ ๆ มีแค่ญาติสนิทเท่านั้นน่ะ” “ไม่เป็นไรหรอก ถึงเชิญก็คงจะไม่ได้ไป คุณเขมนั่นคงไม่ยอมให้ลาแน่” “ได้ยินว่างานแต่งคุณปุณณภัทร หัวหน้าที่นี่ก็ไปกันหมดเลยเหรอ” ญารินลองเอ่ยถามดูพร้อมกับส่งสายตาไปหาตฤณอีกครั้ง แต่ทางนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์เหมือนกำลังเก็บซ่อนอะไรบางอย่าง มินตราจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน “ก็คงงั้นแหละ เสนอหน้าทุกงาน เขาเชิญหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ทำไงดี” หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยความวิตก ถ้าเป็นอย่างนั้นพอถึงวันงานเธอจะทำยังไงไม่ให้คนที่รีสอร์ตจำเธอได้ แค่เมธวินก็หนักพออยู่แล้ว นี่ยังมีเขมิกาเข้ามาอีกคนอีก แบบนี้ความลับที่เธอเก็บไว้คงถึงเวลาต้องแตกแน่ ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD