“ขอบใจมากนะ เธอทำได้ดีมาก” ปุณณภัทรกล่าวชื่นชมในขณะที่กำลังขับรถออกจากไร่เพื่อไปส่งญารินที่บ้าน
“จริง ๆ คุณย่าของคุณท่านก็ไม่ได้ดูดุร้ายอะไรนี่คะ”
“คุณย่าฉันเป็นคนค่อนข้างจะเข้มงวดน่ะ แต่เธอก็สามารถทำให้ท่านเมตตาได้ เดี๋ยวฉันจะให้โบนัส” พูดจบเขาก็ใช้จังหวะที่รถกำลังจอดติดไฟแดงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาทำรายการบางอย่าง เพียงไม่นานยอดเงินสามหมื่นก็โอนเข้าบัญชีของหญิงสาว
“คุณโอนมาสามหมื่นเลยเหรอคะ” ญารินตาลุกวาวทันทีที่เห็นจำนวนเงิน
“บอกแล้วไงว่าถ้าทำให้ฉันพอใจฉันมีโบนัสให้ เงินนี่เธอเอาไปซื้อพวกเครื่องสำอางนะ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ดวงตากลมโตจังจับจ้องไปที่ตัวเลขในบัญชี ตอนนี้ที่เขาโอนมารวม ๆ แล้วก็เกินครึ่งแสน ไม่อยากคิดเลยว่างานแบบนี้จะได้เงินเยอะ
“พวกพี่มาถึงแล้วนะขิม” ในขณะที่กำลังตกตะลึงกับตัวเลขในบัญชีอยู่นั้น อยู่ ๆ เสียงข้อความจากนวิยาก็เด้งขึ้นมาทำให้ญารินเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง
“เที่ยงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยความร้อนใจทำให้คนขับหันมาเอ่ยถาม
“จะเข้าบ้านเลยหรือจะแวะหาอะไรกินก่อนล่ะ”
“เอ่อ...พอดีหนูมีธุระต่อน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณปุณแวะจอดหนูที่ปั๊มข้างหน้านี้ก็ได้ค่ะ” ญารินละสายตาจากจอมือถือเพื่อหันมาตอบเขา
“แต่ฉันสัญญากับแม่เธอไว้แล้วนะ ว่าเสร็จเรื่องเมื่อไหร่จะพาเธอกลับไปส่งให้ถึงบ้าน”
“หนูมีนัดกับเพื่อนในเมืองน่ะค่ะ ถ้ากลับไปถึงบ้าน กว่าจะวกกลับมา เดี๋ยวหนูจะไปสายเอา” เธอให้เหตุผลเมื่อเห็นว่าเขายังทำท่าคิดหนัก
“ไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนใช่ไหม อีกหน่อยเธอต้องมาใช้นามสกุลฉันอย่าให้มีประวัติด่างพร้อยเด็ดขาด”
“หนูแค่นัดเพื่อนเอาไว้ ไม่ได้จะไปทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย” ใบหน้าหวานเจื่อนลงทันทีที่เห็นว่าเขามองเธอผิดไป
“ฉันรู้แล้ว คุณแม่บอกฉันไม่รู้กี่พันครั้งว่าเธอน่ะเป็นเด็กดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยแม่ฉันหรอก” ปุณณภัทรหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเลี้ยวเข้าไปจอดในปั๊มเพื่อเติมน้ำมันกลับไปที่ไร่ ญารินจึงใช้โอกาสนั้นบอกลาเขาทันที
“ขอบคุณมากนะคะ”
“เจอกันวันลองชุดแต่งงานเลยละกันนะ ระหว่างนี้ฉันคงไม่ได้ไปหาเธอบ่อย ๆ ” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วจึงขับรถพุ่งออกสู่ถนนใหญ่ หญิงสาวจึงได้แต่มองตามไปด้วยสีหน้าคิดหนัก
เขาชอบเน้นย้ำเรื่องสถานะและงานที่เธอต้องทำอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีสักครั้งเลยที่เขาจะลองเปิดใจให้เธอเป็นเจ้าสาวแบบที่เขาต้องการจริง ๆ ไม่ใช่ทำเพื่อต้องการตบตาผู้เป็นย่า
แล้วแบบนี้โอกาสที่เธอจะมัดใจเขา มันจะเป็นไปได้สักแค่นั้นกัน
“อย่าลืมนัดนะขิม ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว” เสียงของความจากนวิยาเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวรีบสะพายกระเป๋าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแรกที่เธอใส่มาเมื่อตอนเช้าก่อนจะโบกแท็กซี่วกกลับไปที่ไร่อมรภิรมย์อีกครั้งเพื่อเตรียมตัวเข้าทำงาน
“มาแล้ว” เสียงลดาเอ่ยขึ้นทันทีที่หันมาเห็นร่างเล็กกำลังลงจากรถแล้วเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา แต่พอเห็นใบหน้านั้นทุกคนก็พากันตกใจกับภาพที่เห็นในทันที
“นี่ขิมจริง ๆ เหรอเนี่ย” นวิยาเอ่ยถามอีกครั้งจนญารินนึกขำ
“ก็ขิมไง ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันพวกพี่อย่ามาอำกันแบบนี้สิคะ”
“ไม่ได้อำ แต่พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนขิมไม่เคยแต่งหน้า แล้วดูนี่สิ แค่เข้าบริษัทใหญ่วันแรกก็แต่งองค์ทรงเครื่องมายกชุดเลยเหรอ”
“คะ!? ” หญิงสาวชะงัก รู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางที่แต่งไว้ตอนเช้า “เอ่อ...หนูแค่อยากลองเปลี่ยนตัวเองดูน่ะค่ะ”
“แต่ว่าไปแบบนี้ก็สวยดีนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย” ลดากล่าวชื่นชม
“งั้นเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ ป่านนี้แผนกบุคคลคงจะรออยู่แล้ว” นวิยาตัดบทก่อนที่จะเป็นคนพาลูกน้องเข้าไปด้านใน
“อ้าว คุณวิ” เสียงเมธวินเอ่ยทักในขณะที่เขากำลังจะออกจากบริษัท “มากันแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ คุณเมธ”
“แต่งานเริ่มบ่ายสองนี่ครับ”
“เอ่อ...พอดีวิจะพาขิมเขามาฝากงานก่อนน่ะค่ะ” นวิยาตอบพลางผายมือไปยังคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลัง ญารินจึงต้องกระพุ่มมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณเมธ”
“อ้อ! เธอนั่นเอง ดีใจด้วยนะ ในที่สุดก็ได้กลับมาทำงานใกล้บ้าน” เขายิ้มให้อย่างอบอุ่นแล้วจึงขอตัวออกไปดูความเรียบร้อยของสถานที่ที่จะพาพนักงานจากกรุงเทพฯ ไปศึกษาดูงาน นวิยาจึงพาหญิงสาวไปพบหัวหน้าที่แผนกฝ่ายบุคคล
“ได้ยินเรื่องคุณปุณหรือยัง”
“เรื่องที่คุณปุณจะแต่งงานหรือเปล่า”
“นั่นน่ะสิ กลับมาจากอังกฤษได้ไม่กี่วันก็ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบ”
“ยังไม่ได้รับตำแหน่งประธานก็ชิ่งแต่งงานเสียก่อนแล้ว แบบนี้พวกเราก็หมดหวังแล้วสินะ”
“อะแฮ่ม!” เสียงนวิยาดังขึ้นที่หน้าประตูทำให้บทสนทนาของพนักงานในแผนกสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นก่อนที่กชอร หัวหน้าแผนกจะเอ่ยทักขึ้น
“มาแล้วเหรอ ไหนล่ะพนักงานที่บอกจะย้ายมา”
“นี่ไง น้องขิม” นวิยากล่าวนำ คนมาใหม่จึงต้องกระพุ่มมือไหว้อีกครั้ง
“งั้นเอาเอกสารนี่ไปกรอกก่อนนะ เสร็จแล้วก็เอามาส่งที่ฉัน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับเอกสารสามสี่ฉบับจากอีกฝ่ายมาแล้วหาที่นั่งเพื่อกรอกรายละเอียดลงไป ถึงตอนนั้นนวิยาจึงหันไปเอ่ยถามเจ้าถิ่นทันทีด้วยความอยากรู้
“เมื่อกี้เธอว่าใครจะแต่งงานนะ”
“ก็คุณปุณณภัทรไง” กชอรเริ่มเปิดประเด็นสนทนาอีกครั้ง
“คุณปุณน่ะเหรอจะแต่งงาน”
“ก็ใช่น่ะสิ พนักงานเขาลือกันไปทั้งไร่แล้ว อยากรู้จริง ๆ ว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น” อีกฝ่ายทำท่าทางครุ่นคิด ญารินไม่ได้สนใจจะแสดงตัว เธอพยายามไม่สนใจกับบทสนทนาของคนในห้องด้วยซ้ำจนกระทั่งใครอีกคนเข้ามาส่งเอกสารจึงเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาก่อนหน้า
“ระดับนั้นผมว่าต้องสวยไม่ธรรมดาอยู่แล้วหรือไม่ก็น่าจะเป็นลูกสาวคุณหญิงคุณนายล่ะมั้ง”
ประโยคนั้นทำให้ญารินที่กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารเงยหน้าขึ้นมองทันทีก่อนที่เธอจะรีบก้มหน้าลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังหันมาสบตาเธอพอดี
“น่ารักจัง” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาทักทาย “พนักงานใหม่เหรอ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ เธอเพิ่งย้ายมาจากบริษัทที่กรุงเทพฯ น่ะ” นวิยาหันมาตอบคำถามนั้น ตฤณจึงกล่าวแนะนำตัว
“ชื่ออะไรเหรอ ผมชื่อตฤณนะ เรียกรินเฉย ๆ ก็ได้”
“เอ่อ...” ญารินเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง เดาจากอายุก็คงจะโตกว่าไม่มาก เธอจึงใช้คำพูดสบาย ๆ กับเขา “ชื่อขิมค่ะ”
“แล้วมาทำแผนกอะไรเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ในบริษัทก็ไม่มีแผนกไหนว่างเลย” กชอรทำท่าคิดหนักทำให้นวิยาทักท้วงขึ้นทันที
“ว่าไงนะ ตอนที่ฉันโทรมาถามทำไมบอกว่าขาดคนล่ะ”
“ก็ขาดจริง ๆ แต่คุณเขมิกาดันรับพนักงานใหม่มาพอดี” อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าที่ดูหงุดหงิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงผู้ช่วยของเมธวิน
“หน้าที่รับพนักงานไม่ได้เป็นของเธอเหรอ”
“ก็ตอนนั้นฉันลา คุณเขมเธอก็เลยมาควบงานแทนฉัน”
“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ ฉันเขียนเรื่องย้ายมาแล้วด้วย แล้วที่กรุงเทพฯ ก็มีคนมาสมัครใหม่ไปแล้ว” นวิยาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างคนคิดหนัก
“ก็ย้ายมาทำแผนกผมสิครับ ที่รีสอร์ตยังขาดคนอีกเยอะเลย” ตฤณยิ้มตอบแล้วจึงหันไปถามความคิดเห็นจากญาริน “ว่ายังไง สนใจหรือเปล่า”
“เอ่อ...แผนกอะไรเหรอคะ”
“ผมเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับ ตอนนี้เรากำลังขาดพนักงานแผนกนี้พอดี ถ้าสนใจก็เริ่มงานได้เลย ว่าแต่คุณขิมพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหม”
“ก็พอได้อยู่ค่ะ” เธอตอบอย่างเจียมตัวเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นผมให้ขิมไปทำงานที่รีสอร์ตนะคุณอร”
“งั้นก็ตกลงตามนั้นละกัน หวังว่าเธอคงไม่ว่าอะไรนะ” กชอรเลิกคิ้วเพื่อรอฟังคำตอบจากญาริน
“นาทีนี้ขอแค่มีงานก็พอค่ะ”
“ดีเลย งั้นพรุ่งนี้คุณขิมมาเริ่มงานได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะพาไปเบิกชุด” ตฤณขันอาสา เขารอให้ญารินกรอกเอกสารจนเสร็จแล้วจึงพาลงไปเบิกชุดที่อยู่ชั้นล่าง ถึงจะเป็นคนละส่วนงานแต่ทุกส่วนก็ต้องดำเนินงานผ่านตึกอำนวยการนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ต โรงผลิตไวน์และส่งออกหรือแม้แต่งานในไร่
“ที่นี่มีหอพักพนักงานด้วยนะ คุณขิมจะให้ผมจองห้องไว้ให้ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“เอ่อ...” หญิงสาวครุ่นคิด เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอยู่หอพัก เพราะต่อไปก็ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านของปุณณภัทรอยู่แล้ว เธอจึงปฏิเสธออกไป “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปกลับดีกว่า”
“งั้นก็...เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ตฤณโบกมือลาก่อนที่ญารินจะขึ้นรถของรีสอร์ตเพื่อมาส่งที่ทางเข้าด้วยความสับสนที่ยังเกาะกินใจไม่หาย
ถ้าปุณณภัทรรู้ว่าเธอทำงานที่รีสอร์ตเขาจะยอมให้ทำหรือเปล่า
แล้วถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอคือเจ้าสาวตัวจริงของเขาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น
ตอนแรกเธอไม่กล้าปฏิเสธเพื่อเห็นแก่น้ำใจนวิยาและเมธวินเท่านั้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่ามาถึงกลับถูกย้ายแผนก แต่พอคิดดูแล้วการมีงานทำที่มั่นคงมันก็ดี วันหน้าหากต้องหย่ากับปุณณภัทรอย่างน้อยเธอก็ยังมีงานทำไม่ต้องเดินเตะฝุ่น แล้วอีกอย่างอาณาจักรอมรภิรมย์ก็กว้างใหญ่ขนาดนั้น คงไม่บังเอิญเจอกับคนในครอบครัวปุณณภัทรได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอกมั้ง
หญิงสาวพยายามคิดเข้าข้างตัวเองในขณะที่กำลังนั่งรถกลับไปที่บ้าน ก่อนที่ข้อความจากนวิยาจะเด้งเข้ามาอีกครั้ง
"ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้เริ่มงานแล้ว คืนนี้คงไม่ได้ไปฉลองด้วยกันแล้วสินะ"
"หนูคงไปไม่ได้หรอกค่ะ ต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ ขอโทษพี่วิด้วยนะคะ" ญารินจำเป็นต้องอ้างนวลจันทร์ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ความจริงเธอไม่มีอารมณ์จะไปสังสรรค์เลยสักนิด ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการเตรียมพร้อมทำงานควบสองตำแหน่งนี้ให้ได้ ทั้งตำแหน่งพนักงานของรีสอร์ตและตำแหน่งภรรยาของปุณณภัทร