เช้าวันทำงานที่แสนจะน่าเบื่อวนเวียนมาอีกครั้ง ญารินรีบอาบน้ำแล้วออกไปรอขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างของเดชาเพื่อเข้าออฟฟิศเหมือนเช่นทุกวัน
หญิงสาวเดินทางมาถึงก่อนเริ่มงานครึ่งชั่วโมงเพราะนอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืนเพราะมัวแต่พะวงถึงอาการป่วยไข้ของมาโนช จึงต้องออกมาขึ้นรถตั้งแต่เช้ามืด
“อ้าวขิม มาแต่เช้าเลยนะวันนี้” เสียงนวิยาเอ่ยทักก่อนจะยื่นถุงขนมให้แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง เพียงไม่นานเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ก็ต่างทยอยเข้ามา
“วันนี้พี่ตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นขิมมาแต่เช้าเนี่ย” หนึ่งในนั้นเอ่ยทักพร้อมกับส่งการ์ดแต่งงานมาให้ “งานแต่งยัยเกดแผนกบัญชีน่ะ ฝากการ์ดมาให้เราด้วย”
“ค่ะพี่ขวัญ”
“เห็นว่าเรียนจบมารุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ เพื่อนแต่งงานไปก่อนแล้ว เราน่ะไม่เห็นจะมีแฟนกับเขาสักที เอ...หรือว่ามีแล้วแต่ไม่ยอมเปิดตัว” ลดาเอ่ยแซวทำให้ญารินรีบแก้ตัวเป็นการใหญ่
“ยังไม่มีหรอกค่ะ”
“ถามจริง ไม่ถูกใจหนุ่ม ๆ ที่นี่สักคนเลยเหรอ” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวถึงกับชะงัก ใช่ว่าเธอจะไม่ถูกใจแต่เป็นเพราะว่าเธอไม่สวยเหมือนคนอื่นเขาต่างหากจึงไม่อยากจะสารภาพรักกับใคร
“ไม่นี่คะ”
“คุณเมธมา” เสียงนวิยาดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ถลาออกมาจากห้อง ทำให้พนักงานในแผนกต่างพากันกรูไปที่หน้าต่างเพื่อจ้องมองเมธวินที่เดินทางมาตรวจงานในบริษัทเป็นประจำทุกเดือน
ญารินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ปรี่ตามไปด้วยอีกคน พยายามเขย่งปลายเท้าจ้องมองเมธวินที่กำลังก้าวลงจากรถเข้ามาในบริษัทท่ามกลางสายตาของพนักงานที่พากันกรี๊ดกร๊าด เห็นแค่ปลายผมก็พอจะเดาออกว่าเขาคงจะเป็นผู้ชายที่ดูดีมากคนหนึ่ง
“คุณเมธ คือใครเหรอคะ” พนักงานใหม่อย่างญารินเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้
“คุณเมธเป็นผู้จัดการของบริษัทในเครืออมรภิรมย์นี่ไง ดูแลทุกอย่างตั้งแต่ไร่องุ่น รีสอร์ตมาจนถึงบริษัทส่งออกไวน์ที่นี่” นวิยาเป็นคนตอบคำถามนั้น
“คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งรวย ดูดีไปหมด” ลดายิ้มอย่างคนเพ้อฝันพลางทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง
“หล่อน่ะไม่แปลก แต่รวยคงไม่ใช่” นวิยาเริ่มพาลูกน้องตั้งวงซุบซิบโดยที่ทุกคนในแผนกก็ต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ญารินเองก็ต้องลากเก้าอี้มานั่งฟังด้วยอีกคน
“พี่วิรู้อะไรมา เล่าเดี๋ยวนี้เลยนะคะ” ลดาตาลุกวาวด้วยความอยากรู้
“ก็คุณเมธวินเขาเป็นแค่ผู้จัดการ หรือว่าคนดูแลงานแทนคุณหญิงณฤดีนั่นแหละ แต่ตำแหน่งประธานยังเป็นของคุณปุณณภัทร”
“มันก็ถูกแล้วนี่คะ คุณเมธคงจะเป็นลูกชายของคุณปุณ อีกหน่อยก็คงรับตำแหน่งต่อจากพ่อ” ญารินสันนิษฐานแต่กลับถูกค้อนขวับเสียชุดใหญ่
“จะบ้าเหรอ คุณปุณณภัทรเขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของคุณหญิงณฤดี ส่วนคุณเมธวินเขาเป็นแค่ลูกบุญธรรมของสะใภ้รอง มีหน้าที่ดูแลงานให้เท่านั้น”
“จริงเหรอคะ ลดาคิดว่าคุณเมธเป็นลูกชายแท้ ๆ ของคุณภัสสรมาตลอดเลย”
“ไม่ใช่หรอก คุณภัสสรเธอมีลูกไม่ได้” คนที่ทำงานในบริษัทมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“แล้วตอนนี้คุณปุณณภัทรอยู่ที่ไหนล่ะคะ ไม่เห็นเขาจะเข้ามาตรวจงานที่นี่เลยสักครั้ง” ลดาเอ่ยถาม เพราะถ้าเป็นแบบนั้นปุณณภัทรก็น่าจะบินมาตรวจงานที่กรุงเทพฯ บ้างคงไม่หมกตัวอยู่แต่ในไร่ที่เชียงรายหรอก
“เห็นว่าไปเรียนต่อต่างประเทศมั้ง แต่พี่ว่าจริง ๆ คุณปุณน่าจะงอนคุณหญิงณฤดีมากกว่าที่ยกสมบัติทั้งหมดให้หลานบุญธรรมอย่างคุณเมธเป็นคนดูแล”
“ว่าแต่คุณปุณอะไรนี่หล่อไหมค่ะพี่วิ” เสียงพนักงานอีกคนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“พี่ก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะหน้าตาเหมือนคุณหญิงปณิตาล่ะมั้ง” นวิยาคาดเดาจากที่เคยเห็นใบหน้าปณิตาครั้งสองครั้ง “เห็นว่าคุณหญิงเธอเป็นลูกครึ่งอังกฤษด้วย คุณปุณก็คงจะหน้าตาค่อนไปทางฝั่งแม่บ้างล่ะพี่ว่า”
“อะแฮ่ม! คุณเมธมาถึงแล้ว” เสียงนที ผู้จัดการของบริษัทส่งสัญญาณ ทำให้บทสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นเมื่อทุกคนรีบพากันกลับไปนั่งทำงานยังที่ของตัวเอง เพียงไม่นานเมธวินก็มาถึงแผนกประชาสัมพันธ์ นวิยาผู้เป็นหัวหน้าจึงต้องออกมาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะคุณเมธ”
“สวัสดีครับ” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาทำให้ญารินอดไม่ได้ที่จะละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อจ้องมองไปทางต้นเสียงก่อนที่เธอจะรีบหลบตามเดิมเพราะเมธวินเองก็จ้องกลับมาพอดิบพอดี “ทำงานหนักกันน่าดูเลยนะครับ”
ประโยคนั้นทำให้ทุกคนในแผนกต่างพามองหน้ากันในทันทีน ถ้าเขารู้ว่าพนักงานเพิ่งตั้งกลุ่มนินทาเมื่อครู่ มีหวังได้ไล่ออกยกแผนกแน่ ๆ
“เดี๋ยวผมขอเอกสารที่ให้สรุปหน่อยนะ” นทีเอ่ยขึ้นทำให้นวิยาหันกลับมาเรียกญารินที่กำลังก้มหน้างุดอยู่ที่โต๊ะทันที
“ขิมจ๊ะ พี่ของานที่ให้ทำเมื่อวานหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวจึงหยิบเอกสารกองใหญ่นำไปให้หัวหน้า แค่เสี้ยววินาทีที่เธอเหลือบมองเมธวินอีกครั้งหัวใจเจ้ากรรมก็เกิดเต้นโครมครามขึ้นมาทันที ยิ่งขยับเดินไปใกล้ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าเขาดูดีเหลือเกิน
“พนักงานใหม่เหรอครับ” ชายหนุ่มกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร นวิยาจึงรีบตอบคำถามนั้นแทน
“ใช่ค่ะคุณเมธ ขิมเป็นนักศึกษาจบใหม่เพิ่งมาทำงานย่างเดือนที่สองแล้วล่ะค่ะ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานนะครับ” เมธวินคลี่ยิ้มพลางยื่นมาเพื่อให้ญารินจับไว้เป็นการทักทาย หญิงสาวดูประหม่าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินจับมือเขาตอบ
“ยินดีเช่นกันค่ะ”
“งั้นเรารีบเข้าประชุมกันดีกว่าครับ เดี๋ยวผมต้องรีบบินกลับเชียงรายตอนเย็นด้วย” เขาหันไปพูดกับนทีต่อ นวิยาจึงรีบเตรียมเอกสารแล้วตามขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นบนทันที
ญารินได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างไปก่อนจะหมุนตัวกลับไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง จ้องมองฝ่ามือที่เย็นเฉียบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“โดนตกไปอีกหนึ่ง” เสียงลดาดังขึ้นในขณะที่เจ้าตัวเข้ามาทรุดกายนั่งลงข้าง ๆ แล้วจิ้มไปที่แก้มเนียนนุ่มเบา ๆ “เขินจนหน้าแดงเชียวนะ”
“หนูไม่ได้เขินนะพี่” ญารินรีบปฏิเสธด้วยการหันไปจดจ่ออยู่กับจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานต่อ ทว่ายังไม่ทันจะเริ่มเสียงสมาร์ตโฟนที่วางอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
(ขิม...ลูก ฮือ...) เสียงนวลจันทร์ร้องไห้โฮออกมาทันทีที่เธอกดรับสาย
“แม่ เกิดอะไรขึ้นคะ”
(พ่อ...ฮือ...พ่อเหมือนจะไม่ไหวแล้วลูก)
“พ่อเป็นอะไรคะแม่ พ่อเป็นอะไร” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
(แม่ไม่รู้ แต่เมื่อคืนพ่อไอหนักมาก หมอบอกว่ามะเร็งมันแพร่ไปทั่วปอดแล้ว ตอนนี้กำลังทำเรื่องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ก่อน แม่กลัวเหลือเกินขิม ฮือ...)
“แม่ใจเย็น ๆ นะคะ พ่ออยู่กับหมอแล้วยังไงก็ต้องปลอดภัย แม่ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวขิมจะรีบกลับไป” ญารินพยายามปลอบใจนวลจันทร์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกดวางสายด้วยสติที่กำลังหลุดลอยหายไป
หญิงสาวร้อนใจจนไม่มีกะจิตกะใจจะโฟกัสกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า นั่งรอจนนวิยาออกจากห้องประชุมใหญ่เพื่อจะขอลากลับไปดูอาการของมาโนช ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พนักงานทุกคนออกไปพักเที่ยงจนหมด ทั้งแผนกจึงเหลือแค่เธอกับนวิยาเท่านั้น
“อ้าวขิม ไม่ไปทานข้าวเหรอ”
“คือ...หนูมีเรื่องจะคุยกับพี่วิหน่อยน่ะค่ะ พี่วิพอจะมีเวลาว่างสักครู่ไหมคะ” ญารินเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“มีอะไรด่วนไหม พี่ขอไปทานข้าวก่อนหิวมากเลยเนี่ย”
“คือ...พ่อหนูไม่สบายหนัก หนูจะขอลากลับบ้านสักพักน่ะค่ะ” หญิงสาวกลั้นใจตอบความต้องการของตัวเองออกไปเพื่อให้นวิยาหยุดฟัง
“ลาเหรอ...ไปกี่วันล่ะ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ตอนนี้พ่ออาการแย่มาก” อีกฝ่ายก้มหน้าตอบ
“เราเองก็ยังไม่ผ่านโปรเสียด้วย พี่ให้ได้มากสุดก็แค่สามวันเท่านั้นนะ จริง ๆ แล้วเราไม่มีสิทธิ์จะลาด้วยซ้ำ”
“หนูขอสักอาทิตย์ได้ไหมคะ หนูไม่รู้ว่าอาการของพ่อเป็นยังไงบ้าง หนูว่าจะกลับไปทำเรื่องย้ายพ่อมารักษาที่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ” ญารินพยายามร้องขอแต่นวิยากลับไม่นึกจะเห็นใจ
“ไม่ได้หรอกขิม เรายังไม่ผ่านโปรเลย ลาไปหลายวันแบบนั้นไม่ได้ งานของเราใครจะเป็นคนทำล่ะ”
“ก็คุณวิเป็นหัวหน้า ช่วยเคลียร์งานแทนหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับเจ้าตัวที่เพิ่งออกจากห้องประชุมมาได้ยินบทสนทนาเข้าพอดี
“คุณเมธ”
“ผมเพิ่งได้ยินว่าพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่มีสิทธิ์ลา อยากทราบจริง ๆ ว่าใครเป็นคนตั้งกฎกันครับ” เมธวินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างกับญารินจนหญิงสาวต้องก้มหน้าอีกรอบ
“เอ่อ...”
“จะลากลับบ้านเหรอ” เขาไม่ได้สนใจฟังคำแก้ตัวของนวิยาแต่กลับก้มหน้ามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทน
“ใช่ค่ะ พ่อหนูไม่สบายหนัก หนูว่าจะกลับไปดูพ่อสักพักน่ะค่ะ”
“เราไม่ใช่คนที่นี่หรอกเหรอ” เมธวินถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่ค่ะ บ้านหนูอยู่เชียงราย...”
“ขิมเขาเป็นนักศึกษาทุนของบริษัทมาเรียนที่กรุงเทพ ฯ ค่ะ จบมาก็เลยมาลงทำงานใช้ทุนที่นี่” นวิยากล่าวแทรกทำให้เมธวินต้องขมวดคิ้วอีกรอบ
“แล้วทำไมคุณไม่ให้เอ่อ...เราชื่อขิมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ เมธวินจึงหันไปพูดกับนวิยาต่อ
“ทำไมคุณไม่ย้ายขิมไปทำงานที่เชียงรายล่ะ บริษัทใหญ่ของเราก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เธอจะได้ทำงานใกล้บ้านด้วย”
“เอ่อ...วิเองก็กำลังพิจารณาเหมือนกันค่ะ แต่ว่ารอให้ขิมเขาผ่านโปรก่อน” นวิยาได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ญารินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปฏิเสธเพราะเกรงว่านวิยาจะโดนดุอีกรอบ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ หนูแค่ลากลับไปดูอาการพ่อ เสร็จเรื่องแล้วหนูก็กลับมาทำงานที่นี่ต่อได้ค่ะ”
“บางทีกฎมันก็พอจะอะลุ่มอล่วยได้นะขิม ถ้าเรามีปัญหาทางบ้านเราก็บอกได้” เมธวินเสริม นวิยาจึงต้องรีบพายเรือไปตามน้ำด้วยอีกคน
“นั่นน่ะสิ ถ้าขิมบอกพี่ตั้งแต่แรกพี่ก็ทำเรื่องย้ายให้ได้อยู่แล้ว”
“จะกลับวันไหนล่ะ ฉันเองก็จะบินกลับวันนี้เหมือนกัน ไปด้วยกันสิ ยังไงเราก็เป็นพนักงานที่นี่ ฉันก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว” ชายหนุ่มเสนอด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
“เอ่อ...หนูไปกับรถทัวร์ดีกว่าค่ะ”
“แล้วข้อเสนอที่ฉันบอกเมื่อกี้ล่ะ สนใจหรือเปล่า ถ้าตกลงก็ให้คุณวิทำเรื่องย้ายไปต้นเดือนหน้าเลย ส่วนวันที่เหลือในเดือนนี้เราก็ลาไปดูพ่อได้”
“เอ่อ...” ญารินครุ่นคิด ถึงข้อเสนอมันจะน่าสนใจแค่ไหน แต่มันก็ดูปุบปับเกินไปจนเธอตั้งตัวแทบไม่ทัน “หนูยังคิดไม่ออกน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกขิม ถ้าจะย้ายเดี๋ยวพี่ทำเรื่องให้วันนี้เลย แล้วต้นเดือนหน้าขิมก็ไปทำงานบริษัทใหญ่ได้เลย” นวิยาเสนอขึ้นอีกคนด้วยความเกรงใจเจ้านายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ถ้าไปได้ หนูก็ยินดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้คนทั้งสองทันทีด้วยความเกรงใจ
“งั้นคุณวิช่วยจัดการให้หน่อยก็แล้วกันนะครับ ผมไม่อยากให้พนักงานของผมรู้สึกอึดอัด ถ้าพนักงานรู้สึกสบายใจในการทำงาน เราก็จะได้งานที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เหรอครับ”
“ค่ะคุณเมธ” นวิยาก้มหน้ารับก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินจากไป ญารินจึงรีบยกมือไหว้ขอโทษเธอเป็นการใหญ่
“หนูขอโทษนะพี่วิ หนูไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่โดนดุนะคะ”
“ช่างเถอะ งั้นเราค่อยไปพรุ่งนี้ละกันนะ วันนี้พี่คงเตรียมเอกสารไม่ทัน เดี๋ยวจะทำเรื่องส่งไปบริษัทใหญ่ก่อนถ้าทางนั้นตกลง เราก็เริ่มไปทำงานที่นั่นตอนต้นเดือนได้เลย” อีกฝ่ายตอบพลางหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเพื่อออกไปพักเที่ยง ญารินจึงต้องอยู่เคลียร์งานที่ค้างคาต่อให้เสร็จเพื่อจะได้เตรียมตัวกลับบ้าน
เมื่อเอกสารถูกอนุมัติ หญิงสาวจึงรีบเก็บเสื้อผ้าตั้งแต่เช้าตรู่ บอกลาเดชา มอตอร์ไซค์รับจ้างเจ้าประจำก่อนจะรีบนั่งรถทัวร์เดินทางกลับไปยังจังหวัดเชียงรายบ้านเกิดเพื่อดูอาการของมาโนชที่โรงพยาบาล
“นี่ค่ะพี่” มือเรียวหยิบธนบัตรขึ้นมาจ่ายค่ารถแล้วรีบสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ข้ามถนนเข้าไปในโรงพยาบาลทันทีด้วยความร้อนใจจนไม่มีเวลากลับไปเก็บกระเป๋าที่บ้าน
“กรี๊ด! ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย มีใครได้ยินไหม” เสียงนั้นดังขึ้นที่ลาดจอดรถหน้าโรงพยาบาลทำให้ญารินชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงตัดสินใจเมินเฉยต่อเสียงนั้น แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินต่อ เสียงนั้นมันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อยไง ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
“รอหนูแป๊บนึงนะพ่อ” ใบหน้าหวานแหงนมองไปยังตึกสูงเบื้องหน้าแล้วจึงเดินไปยังต้นเสียงนั้นก่อนจะพบกับร่างผอมบางกำลังกระชากกระเป๋าจากมือของสตรีวัยกลางคนที่กำลังร้องลั่น
“ช่วยด้วย อย่าเอากระเป๋าฉันไปนะ!” เจ้าของกระเป๋าพยายามขอความช่วยเหลือทั้งที่มือยังจับสายกระเป๋าราคาเจ็ดหลักของตัวเองไว้แน่น ส่วนคนร้ายก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ยังคงยื้อแย่งกระเป๋าใบนั้นมา จนในที่สุดมันก็ต้องใช้มีดในมือขึ้นมาเพื่อข่มขู่
“ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม งั้นก็ตายซะ”
“ซวยแล้ว” ญารินที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ สอดสายตาหาคนช่วย แต่เพราะโรงพยาบาลที่นี่เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กจึงไม่มีคนเข้ามาใช้บริการมากนักจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจโยนเป้หนักเป็นกิโลของตัวเองใส่ร่างนั้นจนมันล้มหงายหลังลงพร้อมกับมือที่ปล่อยจากกระเป๋าราคาแพง
“ใครวะ!”
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ รีบพากระเป๋าหนีไปก่อนค่ะ” ญารินรีบคว้ากระเป๋าใบนั้นขึ้นมาส่งให้เจ้าของแต่ยังไม่ทันจะได้ออกตัววิ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นคนร้ายกำลังลุกขึ้นมาแล้วตวัดมีดมาที่ร่างนั้น ด้วยความตกใจเธอจึงผลักเจ้าของกระเป๋าล้มลงทำให้ปลายมีดมันพุ่งเข้ามาเสียบลงตรงไหล่เล็กของเธอเข้าอย่างจัง
“โอ้ย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อความเจ็บปวดมันพุ่งปรี๊ดเข้ามาพร้อมกับเลือดที่ไหลทะลัก โชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลสังเกตเห็นเข้าจึงรีบเข้ามาจับคนร้ายไว้แล้วรีบพาญารินเข้าไปทำแผลในห้องฉุกเฉินทันที
“แผลแค่นี้หนูทนได้ พาหนูไปหาพ่อก่อนเถอะค่ะ” ร่างบางพยายามอธิบาย แต่ไม่มีใครรับฟังเพราะมีดพกเล่มสั้นยังปักคาอยู่ที่ไหล่ จนเสื้อยืดที่สวมใส่มาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด “ขอร้อง...ฮือ...พ่อกำลังรอหนูอยู่...”
เสียงของเธอค่อย ๆ เงียบหายไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือประตูห้องฉุกเฉินที่กำลังปิดลงพร้อมกับร่างบางระหงของคนที่เธอเพิ่งจะช่วยชีวิตไว้กำลังยืนรออยู่ข้างนอก เป็นเพราะความเครียดจนเธอกินอะไรไม่ลงมาตั้งแต่เมื่อวานพวกกับความอ่อนล้าจากการเดินทางมาไกล ทำให้หญิงสาวหมดสติไปในที่สุด