Episode 2 เบาะแส

3750 Words
ครูกซ์ยื่นไอแพตไปข้างตัว แน็คยิ้มร่ารีบวิ่งไปนั่งข้างๆครูกซ์ เขาเริ่มอธิบาย “ข่าวที่เกินห้าปีไปแล้วอ่านไว้เฉยๆก็พอ เอาแค่ช่วงสามปีที่ผ่านมา ชาวบ้านน่าจะจำได้ครบถ้วนกว่า ยิ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนของทุกปี น่าจะไม่ลืมง่ายๆ” แน็คเลื่อนหน้าเพจลงดูพลางพึมพำ “อันนี้ข่าวเมื่อสามปีก่อน อุบัติเหตุรถวิ่งชนรั้วกั้นกลางสะพาน รถพุ่งลงน้ำทำให้คนขับขาดอากาศหายใจตาย ภายหลังทราบว่าชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นได้ยินเสียงรถตกน้ำเลยแจ้งกู้ภัย แต่ระหว่างที่กู้ภัยเดินทางมาจนถึงหารถเจอ ฝนตกหนักตลอดทำให้การค้าหาล่าช้า ช่วยไม่ทัน ข่าวปีนั้นดังเพราะคนขับเป็นลูกชายของนักแสดงมีชื่อเสียง อายุแค่ยี่สิบห้ากำลังเจริญรอยตามแม่ แต่กลับต้องมาตายแบบนี้” “ตรงนั้นไม่ต้องสนใจ ลองดูข่าวปีถัดมาสิ” แน็คจิ้มดูหน้าเพจถัดไป “สองปีก่อนเป็นข่าวผู้หญิงที่พึ่งมาพักอยู่แถวสะพานเพราะย้ายที่ทำงาน สามีเธอออกตามหาเพราะเห็นว่าเลยเวลามานานแต่ยังไม่กลับบ้าน แต่กลับเจอจักรยานจอดทิ้งไว้กลางสะพาน เลยแจ้งกู้ภัยงมศพจนเจอ เรื่องนี้คนจำได้เพราะเธอตายตอนอายุยี่สิบห้าเท่าลูกดาราที่ตายเมื่อปีก่อน เขาเลยว่าเป็นอาถรรพ์เบญจเพศ” “ใช่ เหมือนกับข่าวปีที่แล้ว ผู้ตายเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบห้าปี มาเที่ยวกับเพื่อนแล้วทะเลาะกัน เพื่อนบอกว่าหล่อนโกรธเลยเดินขึ้นสะพานไปคนเดียว แล้วอยู่ๆหมอกก็ลงจัดแถมฝนตก เพื่อนเลยหาที่หลบฝนเพื่อรอหล่อน แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอให้ช่วย พอตามเสียงไปก็เห็นมีมือฉุดหล่อนตกสะพาน เพื่อนแจ้งกู้ภัยแต่ฝนตกหนักทำให้ยากในการค้นหา สุดท้ายก็พบเป็นศพ” “นอกจากอายุยี่สิบห้าแล้ว อีกเรื่องที่เหมือนกันคือสภาพอากาศ เพราะเป็นช่วงฝนตกเลยค้นหาลำบาก ทำให้เจอตัวตอนที่ตายไปแล้วตลอด” “ใช่ ข่าวช่วงก่อนๆก็คล้ายๆกัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน แต่ต่างกับปัจจุบันตรงที่อายุของผู้ตายตอนนั้นไม่ได้มีแค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น มีตั้งแต่เด็ก คนหนุ่มสาวและวัยชรา” แน็คชักเริ่มรู้สึกสนุก “หมายความว่าจุดที่เหมือนเดิมจริงๆก็คือสภาพอากาศ แต่เรื่องอายุพึ่งจะมาเชื่อกันเมื่อสามปีก่อน” “ผมคิดว่าเรื่องอายุยี่สิบห้าน่าจะเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นทีหลัง เพราะมีคนมีชื่อเสียงตายตอนอายุยี่สิบห้าปี บวกกับความเชื่อเรื่องอาถรรพ์เบญจเพศ ดังนั้นพอมีคนตายอายุเท่ากันอีก ก็เลยถูกมองว่าเกี่ยวข้องกัน” ครูกซ์วิเคราะห์จากข้อมูลที่เคยอ่านมา “ถ้าอย่างนั้น ถึงจะไม่ได้อายุยี่สิบห้า ก็มีสิทธิ์เกิดเรื่องได้เหมือนกันสินะครับ” “ผมคิดว่าอย่างนั้น แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้หรอก” ครูกซ์ยื่นมือไปขอโน้ตแพตคืนจากแน็ค เด็กหนุ่มคืนให้ก่อนจะลุกขึ้นไปรื้อค้นสมุดโน๊ตกับปากกาออกจากกระเป๋า “ผมว่าพวกพี่ๆเขาน่าจะรอไปสัมภาษณ์กันต่อแล้ว เราไปกันเถอะครับ” ครูกซ์ถือโน้ตแพตเดินตามแน็คออกมาเห็นรถตู้เปิดประตูรออยู่ ทั้งคู่จึงรีบเดินไปขึ้นรถ ลีอากับเบลล์หยุดคุยกันกลางคันเมื่อแน็คเดินผ่านเบาะพวกเธอเข้าไปนั่งหลังสุดเหมือนเดิม ในขณะที่ครูกซ์เดินเข้าไปนั่งเบาะข้างหน้าสุด ซักพักพี่ฮัคก็สตาร์ทรถแล้วเริ่มขับออกจากรีสอร์ท เบลล์ยิ้มเจ้าเล่ห์หันมาแซวเด็กฝึกงาน “อ้าว ไม่ไปนั่งกับพี่เขาเหรอ สนิทกันแล้วไม่ใช่หรอออ” “ผมน่ะเล่นได้ แต่เกรงใจอาจารย์เขาหน่อยสิครับ” “อ้าว ไม่ได้คุยกันถูกคอเหรอ เห็นคู่เธอออกมาช้าสุดเลย” “เราคุยเป็นการเป็นงานครับ เรื่องข่าวเก่าๆเกี่ยวกับสะพานอาถรรพ์ที่จะไปสำรวจนี่แหละ” “อ้อ เรื่องนั้นลีอาก็ทำการบ้านมาเหมือนกันนะ ใช่มั้ย” เบลล์หันไปหาเพื่อน ลีอากำลังเลื่อนดูภาพข่าวที่เก็บรวบรวมมาได้ในโน๊ตแพต เบลล์จึงกระทุ้งแขนใส่เพื่อน “อยู่ก็ส่งเสียงหน่อยสิ” ลีอาหลุดจากภวังค์ เธอมักจะมีสมาธิอยู่กับเรื่องที่ต้องทำโดยไม่สนใจรอบข้าง “อ้อใช่สิ ฉันต้องเขียนคอลัมภ์นี่” “ถ้าเป็นข่าวของสามปีก่อน ผมก็ศึกษาข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว” แน็คกอดอกพูดอย่างภาคภูมิใจ “ฉันว่าที่เมื่อกี้ออกมาช้า เพราะมัวแต่ขอดูข้อมูลของอาจารย์เขาแหงเลย” เบลล์กล่าวอย่างรู้ทัน “เอาเหอะ ครั้งนี้จะปล่อยผ่านให้ก็แล้วกัน อย่าให้จับได้ล่ะ” รถแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถบริเวณใต้สะพาน ที่นี่เป็นแหล่งชุมชนตลาดที่ขายอาหารหลากหลาย มีทั้งปลาสดที่เป็นพันธุ์ท้องถิ่นอย่างปลาสวายและปลาดุก รวมถึงร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง และเครื่องดื่มอย่างชาหรือกาแฟโบราณ ทีมงานคอลัมภ์เหนือธรรมชาติเข้าไปนั่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีพื้นที่พอวางโต๊ะใหญ่สำหรับหกคนอยู่ แม้จะเป็นโต๊ะเดียวในร้าน แต่ก็ถือว่าร้านนี้ใหญ่กว่าร้านอื่นๆในละแวกเดียวกัน หญิงวัยกลางคนร่างท้วมเดินถือเมนูเข้ามาวางที่โต๊ะสามสี่เล่ม ทุกคนต่างคนต่างหยิบแล้วเริ่มเลือกดูรายการอาหาร “ผมเอาผัดเผ็ดปลาดุกราดข้าว” แน็คกล่าวพลางวางเมนู ลีอาคุยกับเบลล์แล้วจึงหันไปสั่งอาหารกับหญิงวัยกลางคน “เอาปลาผัดฉ่าราดข้าวสองนะคะ” เชนปิดเมนูหลังตกลงกับฮัคเรื่องอาหารที่จะสั่ง “เส้นเล็กน้ำต้มยำทะเลสองนะครับ” “ผมเอาผัดกระเพราทะเลแล้วกันครับ” ครูกซ์สั่งเป็นคนสุดท้าย หญิงวัยกลางคนรับออเดอร์แล้วจึงเก็บเมนูทั้งหมดเดินกลับเข้าไปหลังร้าน เมื่อคล้อยหลังเธอทุกคนก็เริ่มปรึกษากัน “เราเริ่มจากป้าเจ้าของร้านเมื่อกี้ดีมั้ย ดูร้านนี้น่าจะเปิดมานานแล้ว เธอน่าจะรู้อะไรบ้าง” ลีอากล่าวพลางมองไปรอบๆร้าน แน็คหันไปเห็นภาพถ่ายติดบอร์ดบนกำแพง เขาจำหน้าผู้ชายซึ่งเป็นลูกค้าที่ถ่ายรูปกับหญิงวัยกลางคนร่างท้วมซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านเมื่อสามปีก่อนได้ “นั่นลูกของดาราที่เกิดอุบัติเหตุรถชนสะพานนี่ แสดงว่าเขาเคยมากินข้าวที่นี่ด้วย” ครูกซ์หันไปมองภาพถ่ายบนบอร์ดอย่างสนใจ “เป็นคนเดียวกันจริงๆด้วย” “งั้นเราก็มาถูกทางแล้ว ลองถามป้าเขาดูเลยดีมั้ย” ลีอากล่าวอย่างตื่นเต้นรอให้ป้าเจ้าของร้านเดินกลับออกมา “แต่ก็ไม่แน่ว่าแกจะรู้เรื่องนะ นั่นก็แค่ลูกค้า ตอนเกิดเหตุแกไม่ได้อยู่ด้วยนี่” เบลล์แย้งขึ้นแต่ตากล้องเชนส่ายหน้า “ไม่ๆ ยิ่งเป็นลูกค้าแถมเป็นคนดัง ป้าแกต้องตามข่าวอยู่แล้ว เพียงแต่อยากรู้ว่าแกจะเชื่อเรื่องอาถรรพ์แค่ไหนเท่านั้น” “เป็นผมนะ ผมคงถามคนแถวนี้ไปทั่วแน่ เผื่อมีใครอยู่ตอนเกิดเหตุ” คนขับรถฮัคออกความเห็นบ้าง ในที่สุดป้าเจ้าของร้านก็เดินถือถาดอาหารเข้ามาที่โต๊ะ เมนูแรกที่มาถึงคือเส้นเล็กน้ำต้มยำทะเล เชนกับฮัครีบเรียกให้ป้าวางชามลงตรงหน้าตน ลีอารีบถือโอกาสถามเข้าเรื่องในขณะที่เชนเตรียมอุปกรณ์อัดเสียง “ป้าคะ รูปถ่ายที่บอร์ดนั่น ถ่ายกับคนดังใช่มั้ยคะเนี่ย” “อ้อใช่สิ จำดาราที่เกิดอุบัติเหตุตรงสะพานเมื่อสามปีก่อนได้มั้ย” หญิงวัยกลางคนกล่าวตอบหลังวางชามเสร็จแล้ว “เสียดายตายตั้งแต่ยังหนุ่มเลย เห็นว่าอนาคตไกลด้วย” “ป้าพอจะทราบมั้ยคะว่าทำไมเขาถึงเกิดอุบัติเหตุ” ป้าเจ้าของร้านกวาดสายตามองทุกคนในทีมเหมือนจะดูออก “มาถ่ายทำเรื่องความเชื่ออาถรรพ์สะพานอะไรนั่นอีกรึเปล่า” เชนหัวเราะเบาๆกลบเกลื่อน “ป้าคงเจอมาหลายหนแล้วสินะครับ” “มาบ่อยเลยล่ะ เดี๋ยวก็มาทำข่าว เดี๋ยวก็มาไลฟ์สดลงเน็ต แต่ก็ดีที่ช่วยเรียกนักท่องเที่ยวได้บ้างเหมือนกัน” “ความเห็นตรงกันแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อยครับ ผมยังกังวลว่าป้าจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์ ผมขออนุญาตถ่ายคลิปเลยนะครับ” “แล้วแต่ ช่วยโฆษณาร้านให้ด้วยก็ยิ่งดีนะ” ป้าเจ้าของร้านหัวเราะ “แต่ฉันไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เลยไม่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นหรอก ได้ยินว่ารถชนเพราะหมอกลงจัดเลยมองไม่เห็นทาง” “ที่นี่ตอนกลางคืนหนาวมากหรือครับ ทำไม่มีหมอกลงได้” ครูกซ์ถามอย่างสงสัย “นั่นแหละที่ป้าก็งง อยู่มาตั้งนานไม่เคยเห็นมีหมอกลงแถวนี้ บางทีบนสะพานอยู่ใกล้น้ำเลยมีไอน้ำลอยมามั้ง” “แล้วคุณป้าเชื่อมั้ยคะว่าสะพานมีอาถรรพ์” ลีอาถามขึ้นบ้าง ป้าเจ้าของร้านนิ่งไปก่อนจะตอบแบบไม่มั่นใจนัก “เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ป้าไม่เคยเห็นกับตาเพราะไม่เคยไปสะพานหลังเที่ยงคืน” “หือ..” แน็คครางแทรกขึ้น “ต้องไปหลังเที่ยงคืนด้วยหรือครับ” “เรื่องนี้ไม่แน่ใจหรอก แต่คนที่เคยไปเล่าว่าหลังเที่ยงคืนบนสะพานจะมีหมอกลง แล้วก็อุบัติเหตุแปลกๆที่เป็นข่าวเกิดหลังเที่ยงคืนทั้งนั้นแหละ” “แล้วที่ว่าเห็นมือหรือเห็นคนก่อนเกิดอุบัติเหตุนั่น จริงหรือเปล่าครับ” แน็คยังคงข้องใจ เหมือนป้าจะให้ข้อมูลได้ไม่มากนัก “นั่นก็ไม่รู้ อย่างที่บอกว่าไม่เคยไปสะพานหลังเที่ยงคืน แต่รู้จักคนที่เคยไปอยู่นะ” ป้าเจ้าของร้านชี้นิ้วไปทางร้านกาแฟโบราณซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารของเธอ “เจ้าของร้านกาแฟนั่นแหละ เขาบอกเคยกลับดึกเพราะมีธุระต้องผ่านสะพานนั่น” “แล้วเขาไม่เกิดอุบัติเหตุหรือครับ” ครูกซ์ถามขึ้นบ้างเมื่อรู้สึกว่าเรื่องเริ่มน่าสนใจ “เขาบอกว่าเขาชินทางแล้วถึงมีหมอกก็พอจะเดินฝ่าได้อยู่ แถมใส่หูฟังเพลงเลยไม่ได้ยินอะไร แต่เรื่องเห็นคนหรือมืออะไรหรือเปล่านั้น ลองไปถามเขาโดยตรงน่าจะดีกว่า” “ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะป้า” ลีอากล่าวปิดท้าย ป้าเจ้าของร้านจึงขอตัวไปยกอาหารมาเสิร์ฟต่อ หลังอิ่มท้องจากมื้อกลางวันที่ร้านป้าแล้ว ทีมคอลัมภ์ความเชื่อเหนือธรรมชาติจึงเดินไปที่ร้านกาแฟโบราณตามที่ป้าเจ้าของร้านบอก เบลล์สั่งโอเลี้ยงให้ทุกคนเพราะรู้นิสัยอยู่แล้วว่าไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มใส่นมช่วงกลางวัน ติดแค่ของครูกซ์เท่านั้น เธอจึงหันไปถามเขาก่อน แต่ครูกซ์ตอบสั้นๆว่า “เอาแบบทุกคนแล้วกันครับ” เจ้าของร้านเป็นชายวัยสี่สิบกว่าๆ เขารูปร่างผอมแต่ดูคล่องแคล่ว เขาดึงถุงผ้ากรองกำลังเริ่มชงโอเลี้ยง ลีอาจึงถือโอกาสถามเข้าประเด็น “ลุงคะ ได้ยินว่าเคยไปบนสะพานอาถรรพ์ตอนกลางคืนมาหรือคะ” “พวกเธอมาไลฟ์สดกันอีกล่ะสิ” ลุงตอบพลางชงโอเลี้ยงต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมขออนุญาตถ่ายคลิปนะครับ” เชนกล่าวพลางยกมือถือขึ้นเตรียมกล้องถ่าย “จะถ่ายก็ไม่ว่าหรอก แต่ลุงไม่เคยเจออุบัติเหตุอะไรหรอกนะ” “แล้วลุงไม่เคยเห็นคนหรือมือแปลกๆบนสะพานบ้างหรือครับ ได้ยินว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยๆก็เพราะเจอมือแปลกๆกวักเรียก” “เรื่องมือ ลุงก็ไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า แต่เคยเห็นแวบๆอยู่นะ” ลุงเจ้าของร้านนิ่งคิด “หรือไม่ใช่มือก็ไม่รู้ ลุงใส่หูฟังอยู่ด้วย เห็นแต่มันแปลกๆเลยไม่อยากสนใจ ไม่ได้ตามไปดูด้วย” ครูกซ์มองลุงเจ้าของร้านก่อนถามแทรกขึ้น “แล้วลุงผ่านสะพานตอนกี่โมงครับ” “น่าจะไม่เกินตีหนึ่งนะ จำเวลาแน่นอนไม่ได้หรอก” ลุงส่งแก้วโอเลี้ยงให้ทุกคน “พวกเธอที่ถามเยอะจริง ไม่ลองไปดูเองเลยล่ะ” “เราก็ว่าจะไปอยู่ครับ” แน็คกล่าวเสียงอ่อนเล็กน้อย “แต่อยากรู้ว่าชาวบ้านแถวนี้เจออะไรกันมาบ้าง เผื่อจะได้ไม่ตกใจ” “ที่ลุงเจอก็ตามที่บอกนั่นแหละ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่ากลัวเลย คนเขาลือกันไปเองทั้งนั้น เรื่องอุบัติเหตุมันก็คงเป็นเพราะไม่ชินทางแล้วยังวิ่งฝ่าหมอกเข้าไปนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก” “ขอบคุณครับลุง ได้ข้อมูลเยอะเลย” “ถ้าจะไปก็ระวังๆตัวด้วยล่ะ แล้วแวะมาใหม่นะ” ทีมคอลัมภ์ความเชื่อเหนือธรรมชาติเดินออกจากร้านกาแฟโบราณ เชนย้อนดูภาพวีดีโอในกล้องที่ถ่ายมาได้พลางยื่นให้ฮัคดู เบลล์ยืนดูดโอเลี้ยงรู้สึกเย็นชื่นใจ ในขณะที่ลีอาขมวดคิ้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “ก็มีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อนะ แต่คนที่เจอกับตัวกลับไม่เชื่อซะงั้น” “ผมว่าลุงเขาไม่สนใจมากกว่า เดินผ่านสะพานยังใส่หูฟังด้วยนี่” แน็คบ่นแอบผิดหวังเล็กน้อย “แต่คำพูดของคนที่เจอกับตัวน่าเชื่อถือกว่าคนที่ฟังคำบอกเล่านะ แบบนี้ก็พอจะบอกได้ว่าเรื่องอาถรรพ์ไม่ใช่เรื่องจริง” “ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ทำไมเกิดอุบัติเหตุบ่อยจัง” “ผมว่ายังเร็วไปที่จะสรุป ลองถามคนแถวนี้เพิ่มอีกซักหน่อยเถอะ” ครูกซ์กล่าว “ถ้าแยกย้ายกันไปอาจจะเร็วกว่านะครับ” “พี่เชนว่าไงคะ” เบลล์หันไปถามเชนที่กำลังเก็บมือถือลงกระเป๋าเสื้อ “พี่ก็ว่างั้น ร้านแถวนี้พื้นที่ไม่กว้างขวาง แยกกันไปสะดวกกว่า พวกเธอแค่อัดเสียงเก็บข้อมูลก็พอ เรื่องถ่ายคลิปเดี๋ยวพี่ทำเอง” “งั้นสองทุ่มมาเจอกันที่รถ ฉันจะไปกับลีอานะ” เบลล์ยิ้มอารมณ์ดีก่อนมองไปทางแน็ค “เจ้าเด็กฝึกงานจะมากับเราหรือว่าไง” “ผมไปกับพี่ครูกซ์ดีกว่า” แน็คเดินไปยืนข้างๆครูกซ์ที่กำลังยืนดูดโอเลี้ยงเงียบๆไม่ได้ตอบโต้อะไร เมื่อทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ครูกซ์เดินมุ่งหน้าจะไปแถวใต้สะพาน แต่แน็ครีบพูดเพื่อหยุดเขาไว้ก่อน “ผมหิวน้ำน่ะ ขอแวะซื้อน้ำขวดซักหน่อยก่อนนะ” ครูกซ์พยักหน้าแทนคำตอบแล้วเพียงยืนรอนิ่งๆ ไม่นานแน็คก็เดินถือน้ำมาสองขวดและหิ้วถุงที่ใส่น้ำอีกสามสี่ขวดมาด้วย เขายื่นขวดนึงให้ครูกซ์ ครูกซ์รับมาก่อนจะเดินเร็วๆมุ่งไปยังใต้สะพานซึ่งเป็นจุดหมายเดิม ที่นั่นมีคนกลุ่มเล็กๆกำลังนั่งตกปลาอยู่ “ขอโทษนะครับ คุณมาแถวนี้บ่อยมั้ยครับ” ครูกซ์เริ่มถามชายแก่คนนึง เขารูปร่างผอมบางและสูบบุหรี่ เขาเพียงโบกมือไม่อยากคุยต่อ ครูกซ์จึงทำท่าจะถอยออกมาแต่แน็ครีบวิ่งถือน้ำเข้าไป “ลุงครับ ขอรบกวนเวลาหน่อยเถอะ เราจะเขียนคอลัมภ์เกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ผีบนสะพานเนี่ยแต่ยังไม่มีข้อมูลอะไรเลย” เขาเปิดฝาขวดน้ำยื่นให้ลุง “ถือว่าช่วยๆกันนะครับ” ลุงดึงบุหรี่ที่เหลืออยู่นิดหน่อยออกมาปักบนพื้นดินเพื่อดับไฟก่อนรับขวดน้ำมาดื่ม “เห็นแก่สินน้ำใจนะ อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” “ผมได้ยินว่าหลังเที่ยงคืนที่นี่จะมีหมอกลงจริงหรือเปล่าครับ” “จริง พวกเธอก็น่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุแล้วนี่ ขนาดฉันเองยังเคยเห็นเลย” “แล้วลุงเชื่อเรื่องเห็นผีมั้ยครับ” อีกฝ่ายหัวเราะออกมาแทนคำตอบ “อาจจะมีก็ได้นะ ฉันก็ไม่เคยเห็นของจริงหรอก แต่เกิดเรื่องซะขนาดนั้นก็น่าจะมีแหละ” ครูกซ์ซึ่งเงียบมาพักใหญ่เอ่ยถามขึ้นบ้าง “คุณพอจะจำคดีที่ลูกชายของดาราขับรถตกน้ำเมื่อสามปีก่อนได้มั้ยครับ” “จำได้สิ เรื่องนั้นดังจะตาย ฉันยังไปมุงดูตอนที่เขางมหารถหาศพกันน่ะ” “งั้นคุณพอจะทราบมั้ยว่าใครเป็นคนแจ้งกู้ภัยวันนั้นน่ะครับ” อีกฝ่ายยิ้มนิดๆก่อนชี้มือไปที่บริเวณใกล้กับเสาใต้สะพานอีกฝั่งหนึ่ง “นั่นไง เขาก็มาตกปลาประจำเหมือนกัน บางวันก็อยู่ยันสว่างเลย วันนั้นเขาถึงได้ยินเสียงรถตกน้ำไง” ครูกซ์โค้งให้อีกฝ่ายนิดหนึ่งเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะลุกเดินไปทางคนที่ลุงพาดพิงถึง แน็คจึงรีบกล่าวลา “ขอบคุณครับคุณลุง ช่วยได้เยอะเลย” อีกฝ่ายแค่โบกมือเบาๆเป็นเชิงตอบ คนที่ลุงพาดพิงถึงเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบปลายๆ เขาเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำเพราะลมและแดด เขามองมาทางครูกซ์ที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆและเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน “ตาแก่นั่นโยนมาทางฉันอีกแล้วสิ มาไลฟ์สดลงโซเชียลอีกหรือ” แน็ครีบแทรกขึ้น “เปล่าครับ เรามาเพื่อหาข้อมูลไปเขียนคอลัมภ์เกี่ยวกับเรื่องผีๆน่ะครับ เราสนใจข่าวลูกดาราตายเมื่อสามปีก่อน เห็นว่าคุณเป็นคนแจ้งกู้ภัยใช่มั้ยครับ” “อ้อ บังเอิญฉันนั่งตกปลายันดึกเลยเผลอหลับไป ตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงรถตกน้ำนั่นแหละ เลยรีบแจ้งกู้ภัย” “แสดงว่าลุงไม่ได้ขึ้นไปบนสะพานเลยเหรอครับ ไม่เห็นหมอกหรือผีที่เขาว่ากันเลยเหรอ” “ไม่ได้ขึ้นไปหรอก เคยเห็นหมอกบ้างเหมือนกันแต่ก็จำเวลาไม่ได้ เรื่องเห็นผีนี่ไม่เคยนะ” “แล้วอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน คุณได้อยู่ด้วยมั้ยครับ” ครูกซ์ถามขึ้นน้ำเสียงเรียบ “อันนี้ได้ยินแต่ข่าว ไม่ได้เห็นเองหรอก แต่ลุงที่พวกนายไปหาเมื่อกี้น่าจะรู้จักผู้หญิงตกน้ำคนนั้นนะ เธอขี่จักรยานข้ามสะพานประจำ แล้วทุกครั้งก็จะทักทายกับลุงคนนั้นตลอด” “แล้ววันที่เธอตาย ลุงคนนั้นเขาอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ” “เขาก็อยู่แถวสะพานนั่นแหละ และเป็นคนบอกสามีให้โทรตามกู้ภัยวันนั้น” ลุงดึงเบ็ดขึ้นมาเช็คเหยื่อ “เออ แต่ก็บังเอิญนะที่ปีต่อมามีนักท่องเที่ยวที่มากับเพื่อนเขาตาย ลุงนั่นก็อยู่แถวสะพานพอดีอีกเหมือนกัน เขาเลยได้เห็นตอนค้นหาศพด้วย” “แสดงว่าลุงคนนั้นมาตกปลาดึกกว่าคุณลุงอีกหรือครับ” “ใช่ เขาแทบจะนอนค้างอยู่ตรงนั้นเลยล่ะ ยิ่งวันไหนกินเหล้านี่แทบไม่ลุกไปไหนเลย” “ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ” ครูกซ์โค้งให้เล็กน้อยก่อนเดินออกมาจากบริเวณใต้สะพาน แน็ควิ่งตามมาติดๆ เขามองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว แต่ท้องฟ้าตอนนี้มืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆ มีแสงสว่างจากฟ้าแลบเป็นระยะ “ผมว่าฝนจะตกแล้วนะ เรารีบไปที่รถก่อนเถอะ” ครูกซ์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งคู่ก็พากันวิ่งฝ่าสายลมที่กำลังพัดแรงขึ้นทุกขณะไปที่รถตู้ซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ดูเหมือนรถกำลังสตาร์ทเครื่อง ทุกคนคงมารวมตัวกันพร้อมแล้ว เมื่อขึ้นมาบนรถ เบลล์ก็เริ่มสอบถามทุกคนเกี่ยวกับข้อมูลที่รวบรวมมา “ของฉันกับลีอารู้เพิ่มแค่ว่าปลายเดือนมิถุนายนในปีก่อนจะเกิดคดีลูกดาราตาย มีวัยรุ่นชายอายุแค่สิบห้าตกสะพานจมน้ำตาย ข่าวบอกว่าเขาน่าจะฆ่าตัวตาย แต่ชาวบ้านเชื่อว่าผีเรียกไปที่ขอบสะพานแล้วฉุดลงไปน่ะ อันนี้ก็สนับสนุนความเชื่ออาถรรพ์อยู่นะ” ตากล้องเชนเริ่มพูดเรื่องที่ตนไปหาข้อมูลมาบ้าง “ของผมรู้มาว่าอุบัติเหตุที่เกิดที่สะพานมีเรื่อยๆ แต่อุบัติเหตุหนักถึงขั้นมีคนเสียชีวิตเพราะจมน้ำแล้วยังหาศพยากก็จะเป็นช่วงปลายเดือนมิถุนายน และจะเกิดหลังเที่ยงคืนตอนที่มีหมอกลง ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยเชื่อว่ามีอาถรรพ์จริง” “เหมือนที่คุณสรุปเลย” แน็คหันไปมองทางครูกซ์ “อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่อายุผู้ตายไม่จำเป็นต้องยี่สิบห้าปี แบบนี้ควรเรียกอาถรรพ์ปลายเดือนหกดีกว่ามั้ยเนี่ย” “ทางอาจารย์ทราบเรื่องนี้อยู่แล้วหรือคะ” ลีอาถามครูกซ์อย่างแปลกใจ “ผมแค่วิเคราะห์จากข่าวเก่าๆที่รวบรวมได้น่ะครับ เดี๋ยวผมส่งให้ทีหลังนะครับ” แน็ครีบเสริม “เมื่อกี้เราได้ข้อมูลใหม่มาว่ามีลุงคนนึงบังเอิญอยู่แถวสะพานตอนเกิดคดีช่วงปลายเดือนมิถุนายนทั้งสามปีที่ผ่านมา แต่ลุงแกกลับบอกว่าไม่เคยเจอผีนะ ตัวแกเองก็ไม่เชื่อด้วย” “ถ้าเราไม่หาข้อมูลเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ ฉันคิดว่าเราจะได้สืบคดีฆาตกรรมแทน” เบลล์เหน็บแน็ค “ถ้าต้องรอถึงเที่ยงคืน งั้นเรากลับที่พักก่อนดีมั้ย ใกล้เวลาแล้วค่อยขับมาที่สะพานอีกที” “ผมเห็นด้วย” แน็ครีบออกความเห็น “เรานอนพักเอาแรงกันก่อนเถอะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD