รถตู้ออกจากที่พักตอนห้าทุ่มครึ่ง ทีมเขียนคอลัมภ์ความเชื่อเหนือธรรมชาตินั่งมากันครบทุกคน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงรถตู้ก็แล่นมาถึงตีนสะพาน ตอนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้วหลังจากฝนตกหนักติดต่อกันถึงสามชั่วโมงในระหว่างที่ทุกคนรออยู่ที่รีสอร์ท พื้นยังคงเปียกชื้นและมีน้ำท่วมขังบางจุด อากาศเย็นลงจากเมื่อกลางวันทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวอยู่ภายในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศอยู่ ฮัคจอดรถเปิดไฟฉุกเฉินที่ตีนสะพาน ถนนเวลานี้โล่งไม่มีรถสัญจรไปมา
“มีหมอกลงจริงๆด้วย” ฮัคมองดูทางข้างหน้าผ่านกระจกรถ มันดูจะขับลำบากเพราะมองไม่ค่อยเห็นเส้นทาง “จะให้ขับฝ่าไปหรือว่าทุกคนจะลงเดินกัน”
“ลองขับฝ่าไปดูรอบนึงก่อนก็ได้ค่ะ” ลีอาตอบ ฮัคจึงเปิดไฟตัดหมอกแล้วขับขึ้นสะพานมาช้าๆ
ก๊อกๆ เสียงเคาะที่ข้างกระจกฝั่งที่ลีอานั่ง เธอตกใจเผลอร้องเสียงดัง “อะไรอยู่ที่กระจกน่ะ”
ทุกคนยกเว้นฮัครีบหันไปดูตามเสียงแต่ไม่มีอะไรปรากฏให้เห็นเลยจนกระทั่งรถแล่นลงจากสะพาน เบลล์ปลอบใจลีอาที่ยังตกใจอยู่ แน็ครีบชะโงกหน้ามาหาสองสาว “พี่ลีอา เขาว่าเจอแบบนั้นห้ามทักนะ”
“เจ้าเด็กนี่ เล่นไม่ดูเวลา”
“จะเอายังไงครับ ให้ผมจอดที่นี่มั้ย หรือจะให้ยูเทิร์นกลับไปอีกรอบนึง” ฮัคถามพลางชะลอรถ
“ยังไงที่นี่ก็เป็นถนนสาธารณะ ไม่รู้จะมีรถผ่านเมื่อไร ให้ยูเทิร์นไปมาคงไม่เหมาะหรอก” เชนกล่าวตอบ
“งั้นจะให้ลงจากรถไปลองเองเหรอคะ เมื่อกี้เจอเสียงเคาะกระจกก็ว่าน่ากลัวแล้วนะ”
“อาจจะต้องขออาสาสมัครแล้วล่ะ ส่วนพี่ฮัคช่วยเอารถจอดรอข้างทางทีนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้วิ่งกลับมาที่รถก่อน” เชนเตรียมกล้อง “ผมจะลงไปถ่ายวีดีโอ ใครจะมากับผม”
“ฉันเป็นคนเขียนคอลัมภ์ ยังไงก็ต้องลงไปค่ะ” ลีอายกมืออาสาไปด้วย
“ถ้าลีอาไป ฉันก็ไปด้วย” เบลล์แตะบ่าเพื่อน
“ผมอยากไปสำรวจดู ผมไปด้วยครับ” ครูกซ์กล่าวน้ำเสียงนิ่งในขณะที่แน็คกล้าๆกลัวๆจะยกมือ ในที่สุดเขาก็ทำใจพูดออกมา
“ผมไปด้วยครับ”
ทั้งห้าอาสาสมัครลงจากรถ บรรยากาศเย็นเยียบมีลมพัดปะทะผิวหนังยิ่งทำให้รู้สึกน่าขนลุก เชนยืนถือกล้องเดินถอยหลังในขณะที่ลีอาเดินบรรยายวิวทิวทัศน์รอบตัว แน็คเดินถือไฟส่องตามโดยมีเบลล์คอยช่วยเหลือ ในขณะที่ครูกซ์ถือไฟฉายส่องไปรอบตัว พวกเขาค่อยๆเดินกลับขี้นสะพานซึ่งยังคงมีหมอกปกคลุมหนาขึ้นทุกที ในที่สุดก็มาถึงกลางสะพาน อยู่ๆแสงไฟของแน็คก็หายไป เชนรีบตะโกนขึ้นมา
“แน็ค หายไปไหนเนี่ย ใช้ไฟจากกล้องอย่างเดียวมันเปลืองแบตนะ” แต่ไม่มีเสียงตอบจากทั้งแน็คและเบลล์ “สงสัยหลงกันแล้วสิ จะถ่ายต่อหรือจะกลับ…” ไม่ทันจบคำ อยู่ๆเชนก็เห็นเงาสีขาววิ่งผ่านกล้องไป เมื่อจะหันไปบอกลีอาก็ไม่เห็นใครอยู่เลย
“ช่วยด้วย” เสียงโหยหวนดังก้องเข้ามาในหูของลีอาทำให้เธอขนลุกไปทั้งตัว แต่พอจะหันไปเรียกเชนกลับไม่เห็นใครอยู่รอบๆเลย แม้แต่เส้นทางกลับลงสะพานก็มองไม่เห็น ซักพักเธอเห็นหมอกจางลงที่ทางหนึ่ง
“หรือว่าพวกพี่เชนไปทางนั้นกัน” ลีอากล่าวพลางเดินไปยังทางที่หมอกจางลงนั้น
ในสายตาของครูกซ์ อยู่ๆทุกคนต่างก็เดินแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางท่ามกลางหมอก เขาไม่แน่ใจว่าจะตามใครไปดีก็บังเอิญสายตาไปสะดุดเข้ากับเงาร่างของชายหนุ่มปริศนาไม่คุ้นหน้าเข้า เขามีใบหน้าหวานรูปร่างผอมบางเหมือนผู้หญิง ผิวขาวซีดเหมือนคนป่วย และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือเขาอยู่ในชุดนอนลายสก๊อตสีน้ำเงิน ซึ่งครูกซ์มั่นใจว่าเขาไม่ได้อยู่ในภพภูมิเดียวกับตนเองอย่างแน่นอน ชายหนุ่มชี้ไปทางที่ลีอากำลังมุ่งหน้าไป ครูกซ์ชั่งใจนิดหนึ่งก่อนเดินตามทางที่เขาชี้นำ ไม่นานนักก็ตามลีอาทัน เขาคว้าไหล่เธอแล้วก็พบว่าดวงตาของเธอไร้แววเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“เธอกำลังคิดว่าตัวเองเดินตามทุกคนอยู่” เสียงของวิญญาณชายหนุ่มดังขึ้น “ถ้าคุณมองเห็นผม ก็แสดงว่าคุณเห็นเธอด้วย”
ครูกซ์มองตามนิ้วขาวซีดของชายหนุ่มไปที่เบื้องหน้าลีอา ผมสีดำขลับยาวสยาย ชุดสีขาวบางพลิ้วตามลมไปมาราวกับไม่มีร่างกาย ท่าทางของเธอไม่เหมือนเดินแต่เหมือนลอยอยู่เหนือพื้น ครูกซ์รีบฉุดมือลีอาไว้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัว ฝ่ายที่รู้สึกว่ามีคนเข้ามาแทรกกลับเป็นหญิงสาวในชุดขาวที่นำหน้าอยู่ เธอหยุดเคลื่อนไหวทันทีแล้วค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ
ครูกซ์ดึงตัวลีอาไปข้างหลังเขา หญิงสาวปริศนาพุ่งตัวเข้ามาเอาใบหน้าขาวซีดของเธอมาประชิดหน้าเขา ดวงตาขาวขุ่นปูดโปนเหมือนจะหลุดออกจากเบ้าตาทั้งสองข้าง รูปหน้าและริมฝีปากบวมอืดมองไม่เห็นเค้าโครงเดิม แต่สีหน้าของครูกซ์กลับนิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองเห็นบางอย่างสะท้อนแสงไฟฉายไปมาอยู่ในลูกตาทั้งสองข้างที่ปูดโปนออกมานั้น จึงถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วยื่นมือไปคว้าลูกตาข้างหนึ่งเอาไว้ได้ หญิงสาวปริศนาร้องโอดครวญก่อนหายตัวไปกลางหมอก ครูกซ์แบมือออกจึงเห็นเศษกระจกวางอยู่บนฝ่ามือ วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนมองเห็นทุกอย่างก็รู้สึกแปลกใจกับการกระทำของครูกซ์
“นี่คุณไม่กลัวเลยหรือ”
ครูกซ์เก็บเศษกระจกใส่กระเป๋าสะพาย “สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ของจริง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมกำลังตามหาอยู่”
“คุณรู้จักผีผู้หญิงนั่นด้วยเหรอ ทำไมถึงพาลีอาเข้ามาเกี่ยวข้องกับอันตรายแบบนี้”
“ผมไม่ได้พาเธอมาเกี่ยวข้อง แต่เธอเป็นคนชวนผมมา เรื่องนี้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังตามหาอยู่พอดีเท่านั้นเอง” ครูกซ์มองอีกฝ่ายนิ่ง “ผมสงสัยเรื่องคุณมากกว่า ทำไมถึงมาคอยตามคุณลีอา”
“ผมก็ไม่ได้อยากคอยตามหรอก แต่ทุกครั้งที่นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนจนถึงหกโมงเช้า ผมจะต้องมาวนเวียนอยู่รอบๆตัวเธอตลอด แล้วก็ไม่เคยมีใครมองเห็นผมเลย มีคุณเป็นคนแรกนี่แหละ”
“ตระกูลของผมได้รับคำสาปมา ผมจึงมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นตั้งแต่เด็กแล้ว”
“คิก คิก” เสียงหัวเราะเบาๆดังขัดขึ้น แม้จะเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่กลับดังก้องในหูซ้ำไปมาจนน่าขนลุกสำหรับคนอื่น แต่ครูกซ์พยายามฟังเพื่อหาต้นเสียง “ช่วยด้วย”
เสียงนี้ไม่มีผลกับครูกซ์แต่มีผลกับลีอา เธอไม่มีสติแต่กลับตอบสนองด้วยการเดินตามเสียงไป ครูกซ์เห็นเธอกำลังเข้าใกล้รั้วสะพานก็รีบฉุดมือเธอไว้ ไม่นานเขาก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากขอบรั้วสะพาน เขามองเห็นมือสีขาวกำลังฉุดมืออีกข้างหนึ่งของเธอ ครูกซ์ใช้สองมือโอบร่างเธอเอาไว้แล้วชะโงกหน้าผ่านหลังของเธอเพื่อมองลงไปดู เจ้าของมือก็คือหญิงสาวปริศนาคนเดิม เขาปล่อยมือจากร่างของลีอาแล้วคว้าเอาลูกตาอีกข้างของหญิงสาวปริศนา เธอร้องโอดครวญอีกครั้งแล้วสลายหายไป
“เอ่อคือ…” ลีอากล่าวเหมือนจะได้สติแล้ว ครูกซ์รีบปล่อยมือที่โอบเธอไว้
“ขอโทษครับ” เขาเก็บเศษกระจกลงในกระเป๋าสะพาย “ผมเห็นคุณกำลังจะกระโดดลงไปก็เลยคว้าตัวไว้”
ใบหน้าของลีอาแดงระเรื่อ “ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินคนขอความช่วยเหลือแต่… ขอโทษด้วยนะคะ” เธอไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะตัวเองก็ไม่ค่อยมีสติตอนเกิดเรื่องเหมือนกัน
“ได้กอดเธอด้วย คุณทำเกินไปมั้ยเนี่ย” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนบ่นพึมพำอยู่ข้างๆหูครูกซ์ แต่เขาไม่ได้ตอบอะไร
“ผมว่าเราควรไปตามหาคนอื่นๆนะครับ พวกเขาอาจอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณเมื่อครู่ก็ได้”
เชนมองเห็นผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน ใบหน้าของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ทั้งตัวของเขาเปียกโชกราวกับพึ่งขึ้นจากน้ำมา เชนเหมือนจะได้ยินเสียงแผ่วๆของเขา “ช่วยด้วย”
เชนยกกล้องขึ้นเพื่อจะถ่ายเขาไว้แต่กลับไม่ปรากฏร่างของเขาในกล้อง เชนจึงค่อยๆลดกล้องลงเพราะรู้แล้วว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่ เขาหันหลังตั้งหลักจะวิ่งหนี แต่ชายคนนั้นกลับมาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง
“ดูสิ แขนผมจะหลุดแล้ว” จบคำของชายปริศนา แขนทั้งสองของเขาก็เริ่มเปื่อยหลุดออกจากต้นแขน ไม่นานเขาก็ทรุดตัวนั่งคุกเข่า ขาของเขาหลุดออกจากต้นขาทั้งสองข้าง สุดท้ายเขาก็ค่อยๆตะเกียกตะกายคลานลงบนพื้นมุ่งมาทางเชน เชนตะลึงก้าวถอยหลังช้าๆเพราะเห็นอีกฝ่ายคลานอย่างเชื่องช้า ซักพักหนึ่งเขาก็คลานเร็วขึ้น เชนหันหลังจะวิ่งหนีแต่แขนของชายปริศนาคนนั้นลอยมาเกาะที่บ่าของเขา เชนขาแข็งแทบจะก้าวไม่ออก
“ช่วยด้วย” เชนได้แต่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแข่งกับเสียงของชายปริศนาที่ก้องอยู่ในหู เมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังจะหยุดวิ่ง ร่างของชายปริศนาก็ตั้งท่าจะกระโดดเข้าใส่เชน แต่มือหนึ่งล้วงเข้าไปคว้าชิ้นส่วนกระจกที่สะท้อนแสงไฟฉายอยู่ในต้นแขนขวาเขาไว้ทำให้เขาสลายหายไปเสียก่อนที่จะได้ตามหลอกหลอนเชนต่อ
“พี่เชนไม่เป็นไรนะ” ลีอาวิ่งถลาเข้าไปหาเชนที่พึ่งตื่นจากภวังค์พลางทรุดลงนั่งขาแข็งอยู่กับพื้น
“นั่นลีอาใช่มั้ย” เขาดีใจแทบจะร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงคนคุ้นเคย “ลีอาดูให้หน่อย ข้างหลังนั่นน่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้วพี่ มันหายไปแล้ว ไม่เชื่อลองดูเองเลย”
เชนสีหน้าเลิ่กลั่กค่อยๆหันไปมอง พอเห็นเงาของครูกซ์เขาก็ร้องเสียงหลง “โกหก นั่นไงมันยังอยู่”
“พี่เสียมารยาท นั่นอาจารย์ครูกซ์ต่างหาก”
เชนเหมือนจะได้สติหันกลับไปมองอีกครั้ง “อ้าว อาจารย์เองหรือ มาตั้งแต่เมื่อไร”
“ผมมาตั้งแต่ได้ยินคุณร้องขอความช่วยเหลือครับ” เขาตอบกลับสีหน้านิ่งทำเอาอีกฝ่ายเขินแทบแทรกแผ่นดิน
“เมื่อกี้อย่าถือสาเลยนะครับ พอดีผมสติแตกไปหน่อย” เชนกล่าวพลางหันซ้ายทีขวาที “แล้วคุณอยู่ตรงนี้ไม่เห็นเจ้าผีตัวเปื่อยนั่นหรือครับ มันน่ากลัวมากเลยนะ”
ลีอามองดูเชนอย่างแปลกใจ “ฉันมาพร้อมอาจารย์นั่นแหละ แต่ไม่เห็นมีอะไรเลยนะ”
“ไม่สิ ก็เมื่อกี้ยังมาถอดแขนถอดขา แถมคลานกระดืบๆอยู่บนพื้น ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ลีอามองดูเชนแล้วก็นึกถึงตัวเองเมื่อครู่ บางทีสภาพเธอตอนที่ไม่ได้สติอาจจะไม่ต่างจากเชนก็ได้ “ช่างมันเถอะพี่ เราไปตามหาแน็คกับเบลล์กัน บางทีอาจจะเจอผีหลอกอยู่ก็ได้”
“เออใช่ รีบๆไปตามหาจะได้รีบกลับ ถ่ายก็ไม่ติด สรุปว่ามาให้โดนหลอกหลอนเฉยๆใช่มั้ยเนี่ย” เชนบ่นอุบพลางยันตัวลุกขึ้น
“ผมพึ่งเคยเห็นปฏิกิริยาพี่เชนแบบนี้” วิญญาณชายในชุดนอนกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ “ไปที่ก่อนๆไม่เคยเจอของจริง พอคุณมาก็เจอดีเข้าเลย ผมว่าคุณโดนสาปจริงๆนั่นแหละ” ครูกซ์ไม่ตอบ เขาเดินตามลีอากับเชนไปเงียบๆ
เบลล์เห็นมือทาเล็บสีแดงโบกไปมาท่ามกลางหมอก เธอหลงทิศทางเพราะไม่รู้ว่าทางไหนคือทางกลับไปที่รถ เธอลังเลเพราะไม่อยากไปตามมือแต่ก็ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจหันหลังเดินไปฝั่งตรงข้ามกับทางที่มือโบกให้ไป
“คุณหยุดตรงนั้นแหละ” เสียงของแน็คตะโกนไล่หลังมา เบลล์หันไปมองจึงเห็นว่าแน็คกำลังคว้ามือซึ่งมีผิวหนังเหี่ยวย่นของชายแก่สูบบุหรี่ที่แน็คเคยเจอใต้สะพาน “มือปริศนาเมื่อครู่ก็ฝีมือคุณใช่มั้ย”
“อย่าแส่” ชายแก่ถุยก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้มืออีกข้างชกแก้มแน็ค เขาหลบทันเลยได้โอกาสเตะเข้าท้องของอีกฝ่าย
“ลุงใช้วิธีนี้ฉุดผู้หญิงมากี่หนแล้วล่ะ” ลุงที่เซถลาอยู่ทำท่าจะชกหน้าแน็คอีกครั้ง ครั้งนี้แน็คเลยต่อยท้องลุงจนเขาจุกลงไปนั่งกองกับพื้น เบลล์รีบวิ่งเข้ามาสมทบพลางมองดูลุงที่นั่งเจ็บลุกไม่ขึ้น
“ลุงคนนี้เป็นใครเนี่ย ไม่ใช่ผีนี่”
“เขาคือคนที่บังเอิญอยู่ในที่ๆเกิดอุบัติเหตุหนักช่วงสองสามปีที่ผ่านมาน่ะ ที่พี่แซวผมว่ามาสืบคดีฆาตกรรมไง”
“ถ้างั้นผีที่ว่าก็คือฝีมือลุงนี่เหรอ”
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก น่าจะเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับผู้หญิงอายุยี่สิบห้าปี”
ลุงแหงนหน้ามองแน็คและเบลล์แต่มือกุมท้องเค้นเสียงพูด “ฉันจะไปแจ้งความว่าแกทำร้ายฉัน”
“โห แล้วที่ลุงหื่นเที่ยวฉุดผู้หญิงไปฆ่าเนี่ย จะร้องเรียนกับใครดีล่ะ”
“ไม่มีหลักฐานซักหน่อย แกอยากแจ้งความก็ไปเลยสิ ถ้าตำรวจเขาเชื่อแกนะ”
“ช่วยด้วย” เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบดังขึ้นขัดจังหวะทุกคน มันค่อยๆดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงก้องในหู โดยเฉพาะลุงหื่นที่ได้ยินเสียงจนต้องเอามืออุดหู มีเลือดไหลเป็นทางออกจากหูของเขา
“แกทำอะ…” ลุงส่งเสียงดังกำลังจะโทษแน็ค แต่รู้สึกถึงมือเย็นเยียบที่จับขาเขาไว้ มือนั้นกำแน่นขึ้นเรื่อยๆราวกับจะบีบกระดูกขาของเขาให้แหลกละเอียด เขาค่อยๆเอื้อมมือจะไปแกะมือนั้นแต่แล้วก็ได้พบใบหน้าบวมอืดของหญิงสาวที่ลูกตาถลนออกจากเบ้าทั้งสองข้าง เธอหมอบคลานอยู่ที่พื้นตัวเปียกโชกแต่มือกำขาของลุงแน่นจนเริ่มได้ยินเสียงกระดูกแตก ลุงร้องดังลั่น “อ้ากก”
“แกนี่เอง” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ริมฝีปากบวมเปื่อยฉีกออกไปถึงใบหู ลุงสีหน้าลนลานกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เขาพยายามจะวิ่งหนีแต่ขาอีกข้างก็ขยับไม่ได้เช่นกัน เพราะมีหญิงสาวอีกคนกำขาของเขาไว้จนกระดูกแตก ตอนนี้เขาพิการแล้วได้แต่นั่งเฉยๆหลับตาแน่น หญิงสาวทั้งสองยื่นใบหน้าบวมน้ำที่ขึ้นอืดเข้ามาใกล้หน้าเขา “ฉันสวยมั้ยล่ะ”
แน็คกับเบลล์เห็นลุงอยู่ๆก็แน่นิ่งไป ดวงตาไร้แววเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ก็ตกใจ แน็ครีบนั่งลงไปดูอาการลุงพลางร้อนใจว่าเขาชกแรงเกินไปหรือเปล่า “พี่เบลล์ หวังว่าผมคงไม่ทำเขาตายหรอกนะ”
“ไม่น่าหรอก ดูหน้าเขากำลังช็อกกับเรื่องอื่นมากกว่านะ”
แน็คกับเบลล์มองไม่เห็นก็จริง แต่ลุงหื่นฝืนลืมตาและกำลังยื่นมือไปหาพวกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผีสาวทั้งสองใช้มืออีกข้างบีบที่กะโหลกของเขาจนมีเสียงแตกร้าว “ตัวตายตัวแทน ได้ตัวแกซักที”
แน็คเห็นลุงล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นก็ยิ่งตกใจ เขาเอาหูแนบอกลุงแล้วรีบนวดหัวใจ “เฮ้ยลุง คนชั่วไม่ตายง่ายๆนี่ ฟื้นสิ”
“ฉันว่าเขาน่าจะหัวใจวายตายไปแล้วนะ”
“งั้นผมก็เป็นฆาตกรน่ะสิ”
ครืด ไม่นานก็มีแรงมหาศาลดึงศพของลุงไปยังรั้วสะพาน แน็คกับเบลล์พยายามยื้อไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ “พี่เบลล์นี่มันอะไรน่ะ”
“ฉันว่าเราโดนผีหลอกแล้ว” ในที่สุดเบลล์ก็ปล่อยมือยอมแพ้ แรงของแน็คคนเดียวฉุดไว้ไม่อยู่ แรงดึงปริศนาลากศพลุงให้จมหายลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกครูกซ์วิ่งมาถึงพอดี
“นั่นใช่เศษกระจกหรือเปล่า” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนชี้ไปที่ขอบรั้วสะพาน ครูกซ์จึงเดินไปดูก่อนจะเก็บเศษกระจกทั้งสองชิ้นลงในกระเป๋าสะพาย
ลีอาวิ่งไปหาเบลล์ที่กำลังหมดแรงระคนสับสน “ไม่เป็นไรนะ”
“ตอนนี้ฉันงงมากกว่า เมื่อกี้อยู่ๆตาลุงหื่นนั่นก็ถูกลากลงน้ำไปเฉยเลย”
เชนวิ่งเข้าไปหาแน็คซึ่งกำลังยืนตะลึงอยู่ “แล้วเอ็งเป็นอะไรรึเปล่า”
“ผมฆ่าคนตาย…” เขาพึมพำออกมาแทนคำตอบ “แค่ชกท้องเองนะ ผมสาบานได้ อยู่ๆเขาก็หัวใจหยุดเต้นอะ”
เชนกอดปลอบใจ “ไม่ใช่ฝีมือนายหรอก ฉันกับลีอาก็เจอกันมาแล้ว ลุงแกโดนผีเล่นงานแล้วล่ะ”
“ใช่เลย” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนกล่าวขึ้นข้างๆครูกซ์ “ลุงนั่นข่มขืนฆ่าผู้หญิงแล้วทิ้งศพลงน้ำโดยฉวยโอกาสช่วงที่มีหมอกลงบนสะพาน เขาจะต้องถูกผีสาวฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบเดิมทุกวันตอนเที่ยงคืนในฐานะตัวตายตัวแทน จนกว่าวิญญาณของผีสาวจะหมดความอาฆาต ต่อไปคงไม่มีอุบัติเหตุแบบเดิมเกิดขึ้นบนสะพานซักพัก”
ครูกซ์ไม่ตอบ เขาเพียงแต่เดินเข้าไปคุยกับเชนและเบลล์ “พวกคุณไปที่รถก่อนเถอะครับ ผมขอเวลาซักสิบห้านาทีสำรวจแถวนี้ต่ออีกหน่อย”
“แล้วอาจารย์จะไม่เป็นไรหรือคะ” ลีอาแย้งขึ้นทำให้วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนเบ้ปาก
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“เขาไม่เป็นไรหรอก ฉันจะเฝ้าเอาไว้ให้เอง” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนแทรกขึ้นโดยที่ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาได้แต่ถอนหายใจ