Episode 4 ผู้บุกรุก

3468 Words
ในขณะที่ทุกคนเดินมุ่งหน้าลงจากสะพาน ครูกซ์เป็นคนเดียวที่เดินย้อนขึ้นมากลางสะพาน เขานำเศษชิ้นส่วนกระจกทั้งห้ามาต่อกัน มันเป็นกระจกทรงกลมที่ใช้เลือดวาดรูปดาวห้าแฉกเอาไว้ ทันทีที่เศษกระจกชิ้นสุดท้ายถูกประกอบลงไป กระจกส่องแสงสีแดงทะลุขึ้นมากลางหมอก ครูกซ์ลองยื่นมือผ่านแสงนั้นก็พบว่ามือของเขาหายเข้าไปในแสง ราวกับว่ามันผ่านทะลุไปยังมิติอื่นที่ต่างออกไป วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนมองดูทุกอย่างอย่างใคร่รู้ “นี่คุณ ทำอะไรน่ะ” ครูกซ์ไม่ตอบ เขายื่นมืออีกข้างเข้าไปในมิติก่อนจะก้าวข้ามผ่านเข้าไปทั้งตัว “เฮ้ย ยังไม่รู้เลยว่ามันอันตรายมั้ย เข้าไปได้ยังไงฟะ” ถึงจะบ่นอุบแต่วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนก็ลอยตามครูกซ์เข้ามาในมิตินี้ด้วย เมื่อข้ามมาได้พวกเขาพบว่ายืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้หลากสีสัน ท้องฟ้าปลอดโปร่งมีแสงอาทิตย์อ่อนๆส่องลอดเข้ามาทำให้มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน มีสะพานไม้ทอดข้ามบ่อน้ำไปยังเรือนไทยซึ่งทำจากไม้สักทั้งหลังตั้งตระหง่านอยู่เดียวดายกลางสวน ครูกซ์เดินข้ามสะพานไปยังเรือนไม้โดยมีวิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนลอยตามไปติดๆ “ผมว่าจะถามนานแล้ว ทำไมคุณตามผมมาล่ะครับ” “แล้วตามมาไม่ได้หรือไง คุณมาทำลุ่มล่ามกับลีอา ผมก็ต้องคอยจับตาคุณไว้สิ” “คุณเป็นอะไรกับคุณลีอาหรือครับ” “ก็เพื่อนไง เพื่อนห่วงเพื่อนไม่ได้หรือ” “แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ในสภาพวิญญาณล่ะครับ” พวกเขาหยุดบทสนทนาเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนรออยู่ที่อีกฟากของสะพานไม้ เธอยืนมองครูกซ์ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจนัก แต่ครูกซ์เดินเข้าไปหาเธอด้วยความมั่นใจ เมื่อไปหยุดตรงหน้าเธอเขาจึงเรียกเธอเบาๆ “อาเดียร์ครับ” “เธอมาที่นี่ได้ยังไง แล้วพี่ธนัตต์ล่ะ” “คุณพ่อโดนอาถรรพ์ของแหวนเพชรครับ” ครูกซ์ตอบแค่นี้แต่สีหน้าของเดียร์บ่งบอกว่าเธอเข้าใจเรื่องแล้ว “งั้นเธอก็มาตามหาเครื่องประดับอื่นๆด้วยสินะ” “อาครับ ผมได้อ่านบันทึกของพ่อเกี่ยวกับเรื่องของพวกอา พ่อสนใจเรื่องคติความเชื่อมาทั้งชีวิตเพราะอยากแก้คำสาปของเครื่องประดับประจำตระกูลเรา แต่กลับพลาด” “ฉันรู้ พี่พยายามมาช่วยฉันครั้งหนึ่ง แต่ฉันปฏิเสธ” “อารู้ใช่มั้ยครับว่าผมมาทำไม” “เธอจะมาเอากำไลเพชรที่ฉันมีอยู่ใช่มั้ย” เธอชูแขนซ้ายที่ใส่กำไลให้เขาดู “แต่ฉันยังทำใจไม่ได้” “กับคนๆนั้นหรือครับ” ครูกซ์มองไปบนเรือนไม้ มีชายหนุ่มรูปร่างสันทัดอายุราวสามสิบยืนมองมาทางพวกเขา เขาใส่เสื้อเชิ๊ตกางเกงขายาว ใบหน้าสะอาดสะอ้านสวมแว่นตาเหมือนคนคงแก่เรียน “คุณหมอตายไปนานแล้วนะครับ” “ฉันรู้ แต่กำไลนี่ช่วยให้ฉันอยู่กับเขาที่นี่ตลอดไปได้” “กำไลช่วยได้ หรืออาแค่คิดไปเองครับ” ครูกซ์มองหน้าอานิ่ง “อารู้ใช่มั้ยว่าสิบปีมานี้มีคนต้องตายไปกี่รายแล้ว” เดียร์ยกมือขึ้นปิดหู “ฉันไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น” “บันทึกของพ่อบอกว่าเครื่องประดับประจำตระกูลจะทำให้สมปรารถนา แต่ต้องแลกมาด้วยการบูชายัญ อุบัติเหตุที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สิบปีก่อนคือการบูชายัญเพื่อให้อาได้ในสิ่งที่ปรารถนา คือการได้อยู่กับคุณหมอ แต่อาเรียกภาพลวงตานี่ว่าสมปรารถนาหรือครับ” “ฉันไม่อยากไปจากที่นี่” จบคำของอาเดียร์ อยู่ๆชายที่ยืนอยู่บนเรือนไทยก็ค่อยๆสำลักน้ำออกมา เนื้อตัวของเขาเปียกโชก ใบหน้าบวมจนแว่นล่วงมาบนพื้น เขาลอยมายืนอยู่ข้างหน้าอาเดียร์อย่างรวดเร็ว ลูกตาที่ผุดออกจากเบ้าเล็กน้อยบนใบหน้าที่อืดบวมของเขามองมาทางครูกซ์ วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนผงะไปด้วยความตกใจ แต่ครูกซ์ยืนเผชิญหน้ากับเขานิ่ง “อาลองมองคุณหมอสิ อาทำให้ศพของเขากลายเป็นแบบนี้” “หยุดพูดนะ” อาเดียร์โวยวายขึ้น ผีพรายที่เคยเป็นคุณหมอจึงวิ่งเข้ามาจะคว้าคอครูกซ์ เขาย่อตัวหลบได้แบบเฉียดฉิวก่อนลากขาของอีกฝ่ายจนหงายหลังล้มลง “นี่คุณกำลังสู้อยู่กับผีนะ ทำไมคุณแตะต้องพวกเขาได้ด้วย” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนถามขึ้นในขณะที่ครูกซ์ใช้เข่ากดคอผีพรายเอาไว้ แต่แรงของผีพรายมีมากกว่าเขา ไม่นานครูกซ์ก็ต้องยอมลุกขึ้นถอยห่างออกมา “มันเป็นศพ มันมีปฏิกิริยาต่อความรู้สึกของอาเดียร์ ยิ่งเธอปฏิเสธความจริง มันจะยิ่งโจมตีผู้ที่บุกรุกแดนมิตินี้” “ผีเฝ้าประตูเรอะ” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนมองดูอาเดียร์ที่กำลังร้องไห้ มันทำให้เขานึกถึงตอนที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อสิบปีก่อนโดยมีลีอาวิ่งตามเตียงพยาบาลมาถึงห้องไอซียู หลังจากวันนั้นเขาก็เป็นฝ่ายเฝ้ามองลีอาโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขารับรู้ได้ เขากัดฟันเหมือนกำลังไม่พอใจ ไม่รู้ว่าไม่พอใจตนเองหรือว่าไม่พอใจเหตุการณ์ตรงหน้ากันแน่ ”คุณรู้อยู่แก่ใจใช่มั้ย คุณรู้ว่าคุณหมอก็กำลังเจ็บปวดเหมือนกันแต่เขาพูดไม่ได้” “หุบปากนะ เธอจะไปรู้อะไร” ยิ่งอาเดียร์ขุ่นเคือง ผีพรายก็ยิ่งจู่โจมใส่ครูกซ์หนักขึ้น เขาพยายามหลบแต่เขาเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วนัก ในที่สุดก็ถูกคว้าขาเอาไว้ได้ “คุณไปยั่วโมโหอาเดียร์ทำไมครับ” ครูกซ์กล่าวพลางพยายามสลัดขา แต่วิญญาณชายหนุ่มเหมือนจะไม่ได้สนใจครูกซ์ “รู้สิ ผมก็อยากพูดกับลีอาเหมือนกัน ผมอยากให้เธอเลิกรู้สึกผิดซักที” ดูเหมือนท่าทีของอาเดียร์จะเริ่มอ่อนลงเพราะผีพรายหยุดโจมตีแล้ว มันยืนนิ่งราวกับรูปปั้น “เธอเป็นวิญญาณสินะ” “ผมรู้ว่าเธอปล่อยวางไม่ได้ แต่มันน่าอึดอัดเวลาที่เธอมาเยี่ยมผมทีไรต้องร้องไห้ทุกที ผมอยากให้เธอมาหาผมแบบมีความสุขบ้าง ไม่ใช่เจอหน้าก็ร้องไห้ ทั้งที่เรื่องที่เกิดกับผมมันไม่ใช่ความผิดของเธอ” เขายิ่งพูดยิ่งเสียงดังเหมือนกำลังระบายอารมณ์ “ที่แย่ยิ่งกว่าคือ ผมพูดแบบนี้กับเธอไม่ได้เพราะเธอไม่ได้ยินผม” อาเดียร์นิ่งเงียบเหมือนกำลังช็อคกับคำพูดของอีกฝ่าย เธอทรุดลงคุกเข่า “ใครบอกให้เขาตายไปคนเดียวล่ะ เขาขับรถตกสะพานแล้วยังพยายามออกแรงทุบกระจกเพื่อหาทางช่วยฉัน สุดท้ายตัวเองก็สิ้นลมก่อนจะได้ขึ้นไปบนผิวน้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเขายังดีกว่า” “อาครับ แต่สิ่งที่อาทำ ทำให้มีคนจำนวนมากต้องมีจุดจบเหมือนกับที่อาเจอนะครับ” “ฉันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นเลย” เธอเอามือจับกำไล “ครั้งแรกกำไลนี่บอกกับฉันว่า ถ้าอยากให้เขาฟื้นก็ต้องหาตัวตายตัวแทนเขาที่สะพาน ตอนเที่ยงคืนวันนั้นอยู่ๆหมอกก็ลงจัด ฉันจึงลองโบกรถให้วิ่งชนรั้วสะพาน ศพแรกเป็นชายหนุ่มที่กำลังขับรถกลับจากทำงาน พอมีตัวตายตัวแทน ศพของคุณหมออยู่ๆก็ฟื้นขึ้นมามีชีวิตเหมือนคนปกติได้” “แล้วทำไมคุณไม่เลิกซะตั้งแต่ศพแรกล่ะ” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนถามหลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว “พอครบปี ร่างกายของคุณหมอก็เริ่มเปื่อยเน่า ฉันจึงลองทำเหมือนเดิมเพื่อให้เกิดศพที่สอง แล้วคุณหมอก็กลับเป็นปกติ” “นี่คือสาเหตุที่ต้องมีอุบัติเหตุทุกปีสินะครับ” “เอาเถอะ มันคงต้องสิ้นสุดเสียที” อาเดียร์ถอดกำไลออก ศพของคุณหมอเริ่มเน่าเปื่อยก่อนเนื้อจะสลายไปเหลือแต่กระดูก บรรยากาศรอบๆเกิดเป็นรอยร้าวราวกับลูกแก้วที่กำลังจะแตก เธอยื่นมันให้กับครูกซ์ “ช่วยจบคำสาปของตระกูลให้ที ฉันเองก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว” ครูกซ์รับมาพิจารณาดูอย่างละเอียด มันเป็นกำไลทองสลักลวดลายทั้งอันและฝังเพชรน้ำงามขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้าเม็ดเอาไว้ เมื่อครูกซ์ลองใส่มัน อยู่ๆก็เกิดแผ่นดินไหวทำให้แผ่นดินรอบๆตัวอาเดียร์แยกออกเป็นหลุม มีใบมีดนับไม่ถ้วนลอยขึ้นจากหลุมแล้วเฉือนตามตัวเธอจนเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ เธอร้องเจ็บปวดทรมานก่อนร่างจะลอยหายลงไปในหลุม ไม่นานนักหลุมบนแผ่นดินก็เคลื่อนปิด ครูกซ์กับวิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนได้แต่ยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า พอได้สติครูกซ์ก็ทรุดลงนั่งบนพื้นดินที่พึ่งเคลื่อนปิดแล้วเคาะดูแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อาถรรพ์ย้อนกลับหรือ” “หมายถึงยังไง อธิบายให้เข้าใจหน่อยสิ” “ผู้ที่สมปรารถนาเพราะคำสาป เมื่อภาพลวงตาถูกทำลาย อาจถูกอาถรรพ์ย้อนกลับ” ครูกซ์กล่าวเมื่อนึกถึงบันทึกของพ่อ “พ่อไม่เคยเห็นกับตาเลยไม่ได้บันทึกอย่างละเอียด” “ทุกคนจะโดนแบบนั้นหรือ” “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” “นั่นญาติคุณไม่ใช่หรือ ถ้าคุณยังหาเครื่องประดับพวกนี้ต่อ ไม่แน่ว่าจะเจอแบบนี้อีกนะ” “ถ้าพวกเขาไม่ได้ขอพร ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” “บอกตามตรงนะ ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่ใช่มนุษย์หรอก ผมว่ามีโอกาสสูงที่คุณจะต้องเจอแบบนี้อีก” “แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนี้” ครูกซ์ดึงกำไลออกจากมือก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าสะพาย “เรารีบไปกันเถอะ ทุกคนรอกันอยู่ที่รถนานแล้ว” “รอคุณคนเดียวน่ะสิ” วิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนกล่าวก่อนจะลอยตามหลังครูกซ์พลางนึกในใจถึงพฤติกรรมแปลกๆของเขา เวลาคนอื่นเห็นญาติตนเองเป็นแบบนั้นจะมีปฏิกิริยาแบบครูกซ์ซักกี่คน หรือเขาเพียงแค่ชินกับเรื่องของคำสาป รถตู้วิ่งกลับมาถึงที่พัก ทุกคนลงจากรถดูอิดโรยราวกับผ่านการฝึกหนักอะไรซักอย่างมา นาฬิกาในห้องนั่งเล่นบอกเวลาตีสามแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับห้องพักของตนเอง เบลล์รื้อของออกจากกระเป๋าเตรียมอาบน้ำในขณะที่ลีอากำลังเดินเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่รอเพื่อนเธอจึงชวนคุยไปพลาง “เรื่องวันนี้พอจะสรุปได้ยังว่ามีผีจริงมั้ย” ลีอาตะโกนตอบออกมาจากห้องน้ำ “สำหรับฉัน เชื่อแน่นอนล่ะ ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก” “ฉันยังไม่ได้เห็นกับตาเลย เห็นแค่ตาลุงหื่นนั่นมีจุดจบยังไง” เบลล์ขนลุกเมื่อพูดถึง “แต่ฉันว่าอาจารย์แปลกกว่าอีก” “แปลกยังไง” “เธอไม่สังเกตหรือ เขาดูไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะ” “เขาเป็นอาจารย์ด้านคติชนวิทยา ไม่แปลกหรอกมั้ง เขาน่าจะเคยเจอพวกเรื่องแปลกกว่านี้มาแล้ว” “แหม แหม เข้าข้างกันเลยนะ แค่วันเดียวเอง” “ไม่ได้เข้าข้าง ฉันแค่ว่าไปตามความน่าจะเป็น เธออคติเองแหละ” “ว่าแต่พรุ่งนี้เธอจะเขียนคอลัมภ์ยังไงน่ะ เห็นพี่เชนว่าตอนเจอก็ถ่ายภาพไม่ติดไม่ใช่หรือ” “ก็เขียนตามข้อมูลที่สัมภาษณ์มาได้แล้วก็ข้อมูลบางส่วนจากข่าวเก่าๆที่อาจารย์รวบรวมวิเคราะห์มานั่นแหละ อาจจะมีเขียนเรื่องที่เจอวันนี้นิดหน่อยแต่สรุปแบบกลางๆดีกว่า ขืนไปชี้ชัดว่ามีจริงหรือไม่มี มีหวังโดนคอมเมนต์ยับแน่” “น่าเสียดายนะ เรื่องตาลุงนั่นฆ่าข่มขืนผู้หญิงไม่มีหลักฐาน ไม่งั้นคงได้สกู๊ปข่าวใหญ่ด้วย” “ฉันกะว่าจะพาดพิงเบาะแสเรื่องนั้น แต่ไม่พูดถึงฆาตกรรม เผื่อมีตำรวจคนไหนสงสัยขึ้นมาจะได้ตามสืบต่อ” เบลล์นอนแผ่กลางเตียงพลางบ่นพึมพำ “เฮ้อ แบบนี้ไม่ค่อยน่าสนใจเลยแฮะ ฉันอยากเห็นของจริงกับตาบ้างจัง” หลังอาบน้ำเสร็จครูกซ์ก็หยิบโน้ตแพตขึ้นมาเลื่อนดูเว็บไปเรื่อย แต่สิ่งที่กวนใจเขาอย่างมากก็คือวิญญาณชายหนุ่มในชุดนอนที่ตอนนี้กำลังชะโงกหน้ามองดูโน๊ตแพตของเขาราวกับเป็นของเพื่อนสนิท ครูกซ์มองหน้าอีกฝ่ายเหมือนจะมีคำถาม แต่วิญญาณชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน “แค่ขอดูด้วยเอง” ครูกซ์เดินเปิดประตูระเบียงออกไปยืนข้างนอกก่อนจะกล่าวตอบวิญญาณชายหนุ่ม “ทำไมคุณไม่ไปตามคุณลีอาล่ะครับ” “ก็ผู้หญิงสองคนอยู่ในห้อง เขาอาจจะอาบน้ำกันอยู่ก็ได้ ปกติเวลาแบบนี้ผมก็จะไปเดินเล่นรอบๆนั่นแหละ” “ถ้างั้นก็ไปเดินเล่นรอบๆสิครับ” “ก็กว่าผมจะมีเพื่อนคุย นี่มันในรอบสิบปีเลยนะ คุณเป็นคนแรกที่เห็นวิญญาณได้น่ะ” “ปกติคุณจะหายตัวไปกี่โมงหรือครับ” “ผมอยู่ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงหกโมงเช้าน่ะ” วิญญาณชายหนุ่มตอบพลันนึกได้ “ยังไม่ทันไรก็จะไล่แล้วหรือ” “ผมควรจะมีเวลาส่วนตัวบ้างใช่มั้ยครับ” “เอ่อ คุยกับใครอยู่หรือครับ” แน็คแทรกขึ้นเมื่อเห็นครูกซ์พูดคนเดียวที่ระเบียง “แค่นี้นะครับ” ครูกซ์แกล้งเอามือป้องหูก่อนตอบกลับไป “ผมคุยโทรศัพท์ พึ่งวางสายเองครับ” “แฟนหรือครับ โทรมาซะดึกเชียว” “เปล่าครับ พยาบาลของพ่อน่ะ แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แน็คพยักหน้ารับรู้ “พรุ่งนี้ถ้าอาจารย์อยากไปเที่ยวไหนก็บอกได้นะครับ ไม่งั้นเราก็จะกลับกันเลย” “ไม่ครับ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” “ตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดเลยหรือครับ” แน็คบ่นผิดหวังแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อเมื่อเห็นครูกซ์เดินไปนอนบนเตียง เช้าวันรุ่งขึ้นรถตู้มาส่งครูกซ์ที่หน้ามหาวิทยาลัยตอนสิบโมง เขาเดินกลับไปที่หอพักแล้วจึงกดโทรศัพท์ไปที่ชื่ออาเล็กพลางมองดูกำไลทองที่พึ่งได้มา เสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะกดรับโทรศัพท์ “ว่ายังไง ลองไปหาอาเดียร์ตามที่ฉันบอกหรือยัง” “ครับ ผมได้กำไลมาแล้วด้วย” “ฮะ… ฉันแค่บอกให้ไปหาเบาะแสของกำไลเท่านั้น แกไปเอามาทำไม” “เรื่องมันเกินกว่าที่คาดไว้น่ะครับ” เขาเก็บกำไลลงกระเป๋าเสื้อ “อาบอกว่าจะให้เบาะแสต่างหูที่อาเก็บไว้ ถ้าผมไปพบอาเดียร์” “รู้แล้วน่า ว่าแต่อาแกเป็นยังไงบ้าง” “เธอ…” เขาชั่งใจว่าควรบอกความจริงดีหรือไม่ “เธอมอบกำไลให้ผมแล้วก็หายตัวไปครับ” “อีกแล้วหรือ เมื่อไรตระกูลเราจะพร้อมหน้ากันซักที” เสียงของอีกฝ่ายตัดพ้อ “คิดว่าอาเดียร์จะเห็นแก่พ่อแก ยอมกลับมาด้วย” “ไม่หรอกครับ” ครูกซ์อึกอักพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แต่อาไม่รู้จริงๆหรือครับว่าพ่อเก็บแหวนเอาไว้ที่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้สนใจด้วย ของมีอาถรรพ์แบบนั้น ขนาดฉันยังเก็บไว้ที่บ้านตากอากาศไม่เคยไปแตะเลย” “บ้านตากอากาศที่ไหนครับ” “รู้สึกจะเป็นที่หัวหินนะ” อีกฝ่ายกล่าวช้าๆเหมือนกำลังใช้ความคิด “ไหนๆก็ไหนๆ ฉันได้ข่าวมาว่าพวกแม่บ้านที่บ้านพักตากอากาศถูกอาถรรพ์จากต่างหูเล่นงานกัน แกลองไปดูให้หน่อยได้มั้ย” “ผมไปให้ได้ครับ แต่ขอต่างหูคู่นั้นได้มั้ยครับ” “อยากได้ก็เอาไปเถอะ ฉันจะบอกพวกแม่บ้านไว้ให้” อาเล็กเงียบไปพักหนึ่ง “รู้มั้ยว่าฉันเก็บไว้ในลิ้นชักโดยไม่ต้องล็อกกุญแจด้วยซ้ำ มันเป็นของที่อันตรายมาก แกเองก็เห็นตัวอย่างจากพ่อของแกแล้วนี่” “เพราะเห็นพ่อผม ผมเลยอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับอาถรรพ์ครับ” “ฉันจะไม่ห้ามแล้วล่ะ แต่คนปกติเวลาเจอแบบนี้ไม่มีใครเขาเป็นเหมือนแกหรอกนะ” “เป็นยังไงครับ” อาเล็กเงียบไปพักหนึ่ง “ช่างเถอะ แกจะไปเมื่อไรล่ะ” “ผมไปวันนี้ได้มั้ยครับ ขับรถไปน่าจะถึงประมาณบ่ายสี่โมง” “ฮะ…” อาเล็กตอบแบบงงๆ “เออ ตามสบายเลย ฉันจะบอกทางโน้นไว้ให้ รถเก๋งสี่ประตูสีบรอนด์น้ำตาลวิ่งออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัยมาตามทางด่วน วันนี้ถนนมีรถวิ่งสัญจรไปมาเรื่อยๆ แม้จะไม่ถึงกับรถติดแต่ถนนไม่โล่งมากนัก ครูกซ์ขับรถแบบไม่เร่งร้อน มีเวลาแวะกินข้าวก่อนจะขับรถออกมา ใช้เวลาสามชั่วโมงกว่าก็น่าจะถึงบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน เขามองดูกำไลทองที่วางอยู่หน้าคอนโซลรถ นับตั้งแต่อาเดียร์ตายไปเขาก็ไม่เห็นปฏิกริยาใดๆจากกำไลอีกเลย มันทำให้เขาอยากรู้ว่าต่างหูจะมีอาถรรพ์แบบไหน รถวิ่งผ่านหาดหัวหินไปอีกเพียงไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงโซนบ้านพักซึ่งตั้งเรียงรายอยู่สองข้างถนน แต่บ้านหลังหนึ่งมีพื้นที่กว้างขวางทำให้ดูไม่แออัดมากนัก ด้านหลังของบ้านพักตากอากาศแต่ละหลังอยู่ติดทะเล ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถลงเล่นน้ำทะเลได้ตามสะดวก อาเล็กไม่ได้มีบ้านพักแบบนี้แค่หลังเดียว ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเธอเป็นคนนึงในตระกูลที่ประสบความสำเร็จจนมีฐานะมั่งคั่ง รุ่นของพ่อในตระกูลออร์ลันของครูกซ์มีคนประสบความสำเร็จแค่สามคนคือลูกชายคนโต ลูกชายคนที่สามและอาเล็ก ครูกซ์ขับรถเลี้ยวเข้าบ้านหลังที่ห้านับจากผ่านโซนบ้านพักตากอากาศเข้ามา ประตูรั้วเปิดอัตโนมัติ เขาเข้าไปจอดที่ลานจอดรถข้างสวนก่อนเดินไปหยิบสัมภาระที่หลังรถแล้วเดินเข้าประตูบ้านพัก แม่บ้านคนหนึ่งรีบเข้ามาต้อนรับเขา “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิงโทรมาบอกว่าหลานจะมาพัก เธอส่งรูปคุณมาให้ดูด้วย” “ผมชื่อครูกซ์ครับ เป็นหลานของอาลินด์” แม่บ้านรีบช่วยครูกซ์ถือสัมภาระ “ฉันจะพาขึ้นไปที่ห้องพักชั้นสองนะคะ” ครูกซ์ให้แม่บ้านเดินนำพลางมองสำรวจรอบบ้าน กำแพงบ้านทาสีขาวจากห้องรับแขกมาถึงห้องโถงที่มีบันไดโค้งขึ้นชั้นสอง พื้นบันไดทำจากไม้ปาเกต์เคลือบเงา ชั้นสองนี้ฝั่งหนึ่งเป็นรั้วบันไดทำให้มองลงไปยังชั้นล่างได้ ส่วนอีกฝั่งมีประตูห้องเรียงกันอยู่สี่ห้อง แม่บ้านพาเขามาที่ห้องสุดทางเดิน “คุณผู้หญิงให้ฉันจัดห้องนี้ให้คุณ เธอว่าของที่คุณอยากได้อยู่ในลิ้นชักห้องนี้ค่ะ” แม่บ้านกล่าวพลางวางสัมภาระแล้วยื่นกุญแจให้ครูกซ์ “ขอบคุณครับ” เขารับมา แม่บ้านจึงหันหลังจะเดินจากไป แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจหันกลับมาหาครูกซ์อีกครั้ง “เอ่อ…ถ้าคุณเจออะไรแปลกๆก็รีบบอกได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันเปิดห้องใหม่ให้” ครูกซ์พยักหน้ารับ “ขอบคุณครับ” “คุณไม่เคยได้ยินเรื่องอาถรรพ์จากคุณอาบ้างเลยหรือคะ” “ผมทราบเรื่องแล้วครับ ถ้ามีอะไรผมจะเรียกครับ” แม่บ้านแปลกใจกับท่าทีนิ่งเฉยของครูกซ์ แต่ก็ไม่ได้รบเร้าอะไรต่อ เธอเดินกลับลงไปชั้นล่างเพื่อไปทำงานต่อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD