[DAY] EP3

4736 Words
“พี่จะไม่ถามถึงเหตุผลที่หนูมาอยู่กับพี่นะ แต่พี่จะรอให้หนูพร้อม ตกลงไหมคะ” คนถูกถามพยักหน้าเข้าใจ แก้มนิ่มสองข้างเสียดสีฝ่ามือผมไปมา มันน่าจับมากัดแล้วหอมหนักๆ สักฟอด! ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พลางคิดไปด้วยว่า คุกหนอออ พรากผู้เยาว์หนอออ น้องยังเด็กหนออ ยังขย้ำน้องไม่ได้หนออ!!!! “ที่นี้คือห้องของพี่เพราะฉะนั้นข้อตกลงของเราสองคนพี่คือคนกำหนดเองทั้งหมด หนูไนล์ห้ามทักท้วงแม้แต่ข้อเดียว เพราะพี่ก็ยอมเสี่ยงคุกไม่น้อยนะคะที่พาหนูมาอยู่ด้วยแบบนี้” หลังจากที่ผมทำจิตใจสงบลงได้แล้วก็ถึงเวลาที่ผมกับไนล์จะต้องตกลงกันสักที “น้องยังไม่ถึงสิบแปดนะ” “พี่รู้ค่ะ พี่ไม่ใช่คนอดยากปากแห้งถึงขนาดต้องขืนใจหนูสักหน่อย” ผมพูดพร้อมกับปล่อยมือออกจากแก้มของไนล์ แล้วเปลี่ยนมาจับไหล่บางทั้งสองข้างไว้แทน ผมจะไม่บังคับขืนใจน้องแต่ถ้าน้องเผลอไผลสมยอมอันนี้ผมไม่นับนะ “พี่พูดตรงๆ เลยนะ พี่ชอบหนู หนูรู้ใช่ไหม” “ไม่..” คนตัวเล็กทำท่าจะปฏิเสธเหมือนเคย แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้คนเด็กกว่าทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป “…!!!...” ไนล์เบิกตากว้างเมื่อผมจู่โจมลงบนปลายจมูกโด่งน่าบีบของตัวเอง พร้อมกับอ้าปากใช้ฟันขูดลงบนเนื้อผิวเบาๆ ก่อนจะทิ้งรอยเปียกชื้นไว้ให้น้องต้องเอามือมาเช็ดออก ไนล์มองหน้าผมนิ่ง ดวงตามีแต่ความตกใจคาดไม่ถึง ริมฝีปากบางเผยอค้างพูดอะไรออกมาไม่ออก ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดครึ่งใบหน้าล่างตั้งแต่จมูกจรดปลายคาง และยิ่งห่อลำคอลงซะจนคางเกือบชิดอกเมื่อผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “พี่รู้ว่าหนู แล้วนี่คือบทลงโทษที่หนูโกหก สถานเบา” ผมเน้นคำว่าสถานเบาให้น้องเข้าใจว่ามีสถานเบา ก็ย่อมมีสถานหนักไล่ระดับจนถึงหนักมากก! “ละ..แล้วถ้ามัน” ไนล์ปล่อยเสียงแผ่วอู้อี้ผ่านฝ่ามือ “แต่ถ้ามันหนักกว่านี้ความรุนแรงก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าโกหกเล็กน้อยก็แค่กัดเบาๆ แต่ถ้าน้องโกหกร้ายแรงพี่จะกัดให้ขาดเลย ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวพี่สาธิตให้ดูก็ได้” “เชื่อ น้องเชื่อแล้ว!” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดัง ทั้งยังเอาฝ่ามือของตัวเองมายันหน้าผมไว้อีก ผมไม่หลบหรือหลีกฝ่ามือนุ่มนิ่มของไนล์เลย ผมปล่อยให้มันแตะอยู่บนใบหน้าแบบนั้น แล้วอาศัยจังหวะนี้แตะปลายลิ้นเลียวนบนฝ่ามือบางจนอีกฝ่ายต้องล่าถอยออกไปเอง ความแดงลามไปทั้งใบหน้าและลำคอขาว “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าหนูรู้สึกดีกับพี่มากขนาดไหน แต่การที่หนูโทร.หาพี่แล้วขอมาอยู่กับพี่แบบนี้พี่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าหนูก็มีใจ แล้วพี่ก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอดทนไหวไม่เข้าใกล้หรือทำอะไรหนูเลยแม้แต่ปลายเส้นผม แต่พี่จะไม่ทำอะไรที่หนูไม่เต็มใจ ถ้าหนูห้ามพี่ก็จะหยุดแต่ถ้าเงียบถือว่าเป็นการสมยอม นี่คือข้อตกลงของเรา” ฟังดูเหมือนผมเป็นคนเห็นแก่ตัวกับข้อตกลงที่บอกไป ไม่ว่าจะทบทวนอีกกี่ครั้งไนล์ก็ดูเหมือนจะเสียเปรียบไปซะทุกอย่าง แต่ทางกลับกันถ้ามองในมุมของผม คือผมเสียเปรียบและกำลังอยู่ในสถานะความเสี่ยงสูง ผมเสียเปรียบที่ผมดันเป็นฝ่ายมีใจให้ไนล์ก่อนจนแทบจะสูญเสียความควบคุมทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา เหมือนคนใกล้เป็นบ้าขึ้นทุกที แถมผมยังเสี่ยง เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางกับอายุย่างสิบหกนิดๆ ของไนล์มากขึ้นขึ้นที “น้องไม่ตกลงได้ไหม” “ไม่ได้ค่ะ แล้วอีกอย่าง…ไม่ต้องไปทำงานแล้ว หนูคนเดียวพี่เลี้ยงได้” “แต่” “ไม่มีแต่ค่ะ หนูคงยังไม่รู้ว่านอกจากหน้าตาพี่จะหล่อแล้วฐานะพี่ก็รวยมาก มากๆ เลยด้วย” ผมย้ำคำว่ามากให้ไนล์ได้ฟังชัดๆ อีกครั้งว่าฐานะของผมมันไม่ได้ธรรดาทั่วไป อย่าว่าแต่เลี้ยงดูให้ร้องจบมัธยมเลย ให้ผมส่งคนตรงหน้าจนเรียนจบปริญญาเอกขนหน้าแข้งยังไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว ไม่ใช่แค่ไม่ร่วงแต่แค่มันสั่นยังไม่มีสักกระดิกเดียว การที่ไนล์มาอยู่กับผมจนถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันมาแล้วขนาดนี้ผมไม่มีทางปล่อยให้น้องต้องวิ่งร่อนไปทำงาน เดินลอยซ้ายขวาให้เป็นอาหารตาลูกค้าในร้านอาหารแน่นอน แต่ถ้าเด็กตรงหน้าดื้อรั้นจะไปทำผมคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดด้วยการเทคร้านนั้นมาเป็นของตัวเอง เปิดรับเฉพาะลูกค้าผู้หญิงให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย “พี่เดย์จะเลี้ยงดูน้องฟรีๆ เหรอ” ผมส่ายหน้าก่อนจะพูดขยายความให้คนเด็กกว่าได้เข้าสัจธรรมของโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่เราทำมือลงแรงทำลงไป ก็ล้วนแต่หวังผลกำไรตอบแทนมาทั้งนั้น “ทุกอย่างต้องมีการตอบแทนค่ะ แต่พี่ยังไม่ต้องการสิ่งตอบแทนเร็วๆ นี้หรอก แต่หนูได้ตอบแทนแน่” @ห้างสรรพสินค้า ผมพาไนล์มาซื้อของจำเป็นหลายอย่างที่อีกฝ่ายไม่ได้นำมาด้วย โดยเฉพาะของจำเป็นชิ้นแรกที่ไนล์ควรมีนั่นคือโทรศัพท์ ถึงพ่อน้องเขาจะบอกว่ามันไม่จำเป็น แต่สำหรับผมมันคือสิ่งสำคัญที่ชีวิตคนเราต้องมี ลองคิดดูสิถ้าหากเมื่อคืนผมไม่ยัดเหยียดมือถือของตัวเองให้ไนล์เก็บไว้ป่านนี้น้องจะไปอยู่กับใครที่ไหน ไว้ใจได้เท่าผมหรือเปล่า “น้องไม่ได้อยากได้” คนตัวเล็กดันมือถือรุ่นล่าสุดที่มีในร้านคืนกลับให้พนักงาน แล้วผมก็ไปคว้ามันจากมือพนักงานมาถือไว้เองเพื่อยืนยันอีกครั้งว่าผมจะซื้อเครื่องนี้ “แต่พี่อยากให้” “สายเปย์เหรอ” ไนล์ถามกลับเสียงขุ่น คนตัวเล็กคงไม่รู้ว่าผมเป็นลูกใคร ฐานะทางการเงินของผมมันคล่องซะยิ่งกว่าเขื่อนระบายน้ำออกเสียอีก ใบหน้าเรียวเสียอาการเล็กน้อยเมื่อผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มุมปากของผมกระตุกยิ้มอีกครั้งที่เห็นการแสดงออกทางสายตาของไนล์ ก่อนจะต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ผมจบคำตอบของการเปย์ด้วยแบล็คการ์ดใบใหม่เอี่ยมที่ยื่นให้กับพนักงาน “พี่ยิ่งกว่าเปย์อีกค่ะ” ผมบอกไนล์พร้อมกับปัดเส้นผมที่หล่นลงมาเกลี่ยดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ “คำเปย์คือเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่สำหรับพี่ต้องใช้คำว่าหว่านค่ะ ถึงหนูไม่ต้องการพี่จะไปหามาประเคนให้” คนตัวเล็กเหลือบสายตามองพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่เราสองคนยืนคุยกันอยู่ เขาคงกลัวว่าคนพวกนั้นจะได้ยินสิ่งที่ผมบอกกับผม แต่มันคงจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อพนักงานผู้หญิงสองคนมองเราทั้งคู่แล้วยิ้มกริ้ม ไนล์คงเขินจนไม่รู้จะต้องทำตัวยังไงเลยเลือกที่จะคว้าถุงใส่มือถือที่ผมเพิ่งซื้อให้ไปถือ ทว่าเขาก็ลงมือช้าไปกว่าผมอยู่ดี ไนล์เลยทำได้แค่คว้าอากาศเท่านั้น “มือก็เอาไว้ให้พี่จับอย่างเดียวก็พอ” ผมหยอดคำหวานใส่ไนล์อีกครั้ง คนตัวเล็กตรงหน้าทำปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก เลยต้องเดินก้มหน้าซอยเท้าออกจากร้าน ผมไม่ได้หยอดอะไรเพิ่มไปกว่านี้เพราะกลัวไนล์จะเขินจนพาลงอนไปเลย แม้ไนล์จะดูเป็นเด็กดี แต่ท่าทางหลายอย่างที่ผมได้เห็นได้ใกล้ชิดก็พอทำให้เดานิสัยได้อยู่บ้างว่าอีกฝ่ายน่าจะแอบดื้อเงียบ เอาแต่ใจลึกๆ ทว่าเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยแสดงออกด้านร่างกายสักเท่าไรคนส่วนใหญ่เลยไม่รู้ หรือเป็นที่ผมให้เวลากับไนล์มากเกินไปผมถึงมองเขาออกได้เยอะขนาดนี้ ที่บอกว่าไนล์กำลังทำผมคลั่งจนเป็นบ้าผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมรีบก้าวเท้าเดินตีเสมอคนตัวบางที่เอาแต่เดินก้มหน้าจนแทบจะชนผู้คนที่เดินผ่านไปมา ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายแสนดีกลัวน้องจะบาดเจ็บ กลัวคนอื่นได้รับอันตรายก็เลยถือวิสาสะคว้าเอามือบอบบางขึ้นมาจับโดยไม่ขออนุญาตเข้าตัวก่อน ไนล์มีอาการสะดุ้งเหมือนกันตอนที่ผมประสานนิ้วมือแทรกกลางเรียวนิ้วทั้งห้าของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนการกระทำของผมแต่อย่างใด น้องปล่อยให้ผมจับมือเดินจนมาถึงร้านเสื้อผ้าร้านประจำของผม “น้องว่ามันแพงไป พี่ไม่จำเป็นต้องให้น้องขนาดนี้” คนเด็กกว่าเดินพลิกดูป้ายราคาแล้วเดินมาบอกกับผมเสียงเบา “สำหรับพี่มันจำเป็น พี่บอกแล้วไงถึงหนูไม่ต้องการพี่ก็จะให้” ผมหยิบเสื้อที่น้องเพิ่งไปจับมายัดใส่มือเจ้าตัว “พี่หวังอะไรจากน้องอยู่หรือเปล่า” “ค่ะ พี่หวัง คำถามนี้หนูน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนะหนูไนล์” คนถูกรู้ทันหลุบตาหนีผมทันที ทั้งยังขยับขาทิ้งระยะห่างออกไปเล็กน้อย เสียงแหบนิดๆ พูดออกมาเบาๆ “ถ้าพี่หวังแบบนั้นน้องคงให้พี่ไม่ได้หรอก” “หมายถึงตัวหนูเหรอ” ผมถามออกไปตามตรงและอดจะหลุดยิ้มชอบใจกับท่าทางของเด็กถูกจับความผิดได้ของไนล์ ไนล์ยืนมองผมนิ่ง ปล่อยให้ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขาจนสามารถก้มหน้าเอาหน้าผากแตะลงกับส่วนเดียวกันของไนล์ได้ โดยที่เด็กตรงหน้าไม่มีทีท่ารังเกียจหรือปฏิเสธมัน ไนล์กลั้นลมหายใจไปครู่หนึ่งตอนที่ผมแตะหน้าผากลงมาใกล้ แล้วค่อยๆ เริ่มผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ จนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากยาสีฟันที่น้องใช้เมื่อเช้า “ถ้าพี่อยากได้แค่ร่างกายหนูน่ะพี่ทำให้เคลิ้มจนยอมพี่ได้ไม่ยากหรอกค่ะ” ผมพูดทั้งที่ใบหน้าของเรายังอยู่ชิดใกล้แค่ปลายนิ้ว ดวงตาสีอ่อนเหลือบมองผมและไม่ยอมหลุบตาหลบอีก เหมือนกับที่ผมเป็นฝ่ายทำอยู่ตลอดทุกครั้งที่เราสบตากัน การกระทำที่ผิดแปลกไปของไนล์ทำใจผมเต้นระทึกขึ้นทันที ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอีกครั้งก่อนจะพูดประโยคทดสอบความอดทนของผมขึ้นมา “แล้วถ้าเกิดว่าน้องให้ล่ะ” ผมถามผมทั้งที่เรายังสบตากันไม่ละ ผมทิ้งจังหวะการตอบคำถามไปเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าคิดคำตอบไม่ได้แต่ผมกำลังรู้สึกถึงคำถามอื่นที่แฝงมาในประโยคเมื่อกี้ด้วยต่างหาก มันไม่ใช่คำตอบแค่ผมจะรับในสิ่งที่น้องให้หรือเปล่า มันรวมถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากที่ผมทำมันไปแล้วด้วยต่างหากล่ะ “นั่นแปลว่าหนูกำลังหวังสิ่งตอบแทนอะไรบางอย่างจากพี่อยู่ แล้วหนูรู้ไหมว่าคำตอบของพี่คืออะไร” “…..” ไนล์ไม่พูดอะไรออกมา แล้วผละตัวออกห่างผมทันที แต่มีเหรอที่คนมือเท้าไวอย่างผมจะปล่อยเขาไปง่ายขนาดนั้น ผมรั้งต้นแขนเรียวของไนล์พร้อมกับออกแรงดึงร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้ ใกล้จนผมสามารถก้มหน้าลงไปบอกคำตอบใกล้ใบหูสีระเรื่อนั่นได้ “ต่อให้สิ่งที่หนูต้องการมันอยู่ไกลตัวพี่มาก พี่ก็จะเอามันมาให้หนู หนูพร้อมจะเป็นของพี่ไหมล่ะคะ ถ้าหนูพร้อมยอม พี่ก็พร้อมเสี่ยงกับข้อร้องขอของหนู” หลังจากที่ได้ยินคำตอบของผมไนล์ก็ถึงกับเสียอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งดวงตา ใบหน้า ร่างกาย คนตัวเล็กรีบหมุนตัวหนีไปอีกทางเพื่อเลือกดูเสื้อผ้ามุมอื่น ผมไม่ได้ตามไปขยี้คำพูดให้ไนล์ต้องรีบตัดสินใจแต่ผมจะปล่อยให้เขาตกตะกอนความคิดเองว่าอยากเสี่ยงกับคนอย่างผมไหม ผมมันไม่เหมือนคนอื่น เพราะคนอื่นเขาฉลาดเรื่องความรัก แต่ผมมันโง่งมเรื่องนี้สิ้นดีจนหาจุดฉลากเล็กๆ สักจุดยังไม่เจอ ความโง่งมงายของผมมันอยู่ในขั้นที่ต่อให้รู้ว่าเขาโกหก หลอกให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ผมก็ยอมจะปล่อยใจไปให้เขา ถึงตอนสึดท้ายจะต้องเจ็บผมก็ยอมที่จะเจ็บอย่างไม่ลังเล “น้องชอบตัวนี้เหรอครับ” น้ำเสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมานานหลายเดือนดังขึ้นอยู่ด้านหลังของผม ก่อนที่น้ำเสียงแหบของไนล์จะดังตอบกลับไป ผมรีบเอาตัวเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนสองคนด้านหลังทันที ใช้ร่างกายใหญ่โตของตัวเองบดบังคนตัวเล็กให้มิดชิดจากสายตาของอีกคน รวมถึงมือที่กำลังยัดเสื้อให้คนตัวเล็กของผมด้วย คนตรงหน้าผมค่อยๆ เหยียดรอยยิ้มมุมปากขึ้นทีละนิดจนเป็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวคำพูดทักทายที่มันไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างผมกับมันอีกตลอดชีวิต “ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ มึงยังชอบอะไรเหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะเดย์” “ของบางอย่างเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างเปลี่ยนแล้วกูก็เปลี่ยนเลย ไม่วกกลับไปซ้ำรอยใครหรอก” ผมตอบกลับอย่างไม่ยี่หระเช่นกัน คนตรงหน้ากระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยที่ได้ยินผมตอบแบบนั้น ฝ่ามือใหญ่ที่ด้านหลังเต็มไปด้วยรอยสักเสยผมยาวเกลี่ยลำคอให้เสยขึ้นไปด้านหลัง ‘คิงส์’ หลุบสายตามองยังคนด้านหลังของผม นั่นเลยทำให้ผมต้องขยับตัวบังไนล์ให้มิดยิ่งกว่าเก่า ผมไม่คิดว่าจะต้องมาคนตรงหน้าอีก ไม่เจอกันตลอดชีวิตเลยยิ่งดีแต่มันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้ในเมื่อครอบครัวของเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ในชีวิตผมมีไม่กี่คนหรอกที่ผมจะยอมรับเต็มปากว่าหล่อ คนแรกก็คงเป็นตัวผมเอง คนที่สองคือ ‘พี่โชว์’ รุ่นพี่ที่รู้จัก ส่วนอีกคนก็คงเป็นคนตรงหน้า ด้วยเชื้อชาติหลากหลายที่ผสมอยู่ในตัวมันทำให้มันถูกจับตามองจากคนในสังคมแทบจะตลอดเวลา แม้แต่เพื่อนฝูงมันก็จะโดดเด่นกว่าใคร แม้กระทั่งผมยังสู้รัศมีมันไม่ได้ คนที่ผมปล่อยใจให้ไปคงไม่เลือกยืนข้างมัน และผมกับมันอาจจะคุยกันดีมากกว่านี้ถ้าหาก ‘ซา’ เลือกผมในวันนั้น “แล้วรู้ได้ไงว่าจะไม่ซ้ำ” ไอ้คิงส์ถามพร้อมกับส่งสายตามองไปที่ไนล์ แต่โทษทีผมบังไว้หมดแล้ว มันไม่มีสิทธิ์ได้เห็นแม้แต่ปลายเส้นขน “มึงคงลืมตัวไปว่ากูจัดอยู่ในประเภทที่หล่อ รวย และฉลาด ไม่ได้หน้าตาดีแล้วกะโหลกกลวงเหมือนคนอื่น” “วิ๊ว!” ไอ้คิงส์ผิวปากเสียงดัง นอกจากหน้าตาดูดีของมันที่ผมไม่ชอบแล้ว เสียงผิวปากของมันผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่มันผิวเป็นจังหวะเพลงเวลาอยู่ใกล้กับคนที่มันสนใจ “งั้นดีเลยกูชอบคุยกับคนฉลาด” “แต่กูไม่ชอบคุยกับคนโง่” ผมตอบพร้อมกับดึงเสื้อฮูดสีฟ้าอ่อนในมือของไนล์กลับคืนให้คนที่ยัดใส่มือมาให้ ไอ้คิงส์รับกลับไปและมันกำลังจะหาคำพูดมาจุดประกายเปลวเพลิงให้ระเบิดต่อ แต่ผมดันชิ่งจูงมือไนล์พามาจ่ายเงินเสียก่อน ผมส่งแบล็คการ์ดใบเดิมให้พนักงานประจำที่ผมใช้บริการ “จัดส่งตามที่อยู่ให้ด้วยนะครับ” ผมเห็นไอ้คิงส์กำลังจะเดินมาทางผมผ่านหางตาเลยรีบฉุดคนตัวเล็กให้เดินออกนอกร้าน ก่อนที่ผมกับมันจะกัดกันเป็นหมาเหมือนหลายเดือนก่อน “หนูชอบเสื้อตัวนั้นเหรอ โทษทีนะไว้วันหลังพี่จะพามาซื้อ” ถึงแม้ไนล์จะยอมปล่อยให้ผมเอาเสื้อคืนไอ้คิงส์ไป แต่สายตาของน้องตอนมองเสื้อตัวนั้นมันเต็มไปด้วยความเสียดายอย่างเห็นได้ชัด “เขาเป็นเพื่อนพี่เดย์เหรอ” “ไม่เชิงค่ะ หนูอย่ารู้เรื่องคนแบบนั้น” ผมหยุดเดินแล้วหมุนตัวไปมองใบหน้าละมุนตาของอีกคน ฝ่ามือมือของผมเอื้อมเข้าไปกุมแก้มนิ่มแล้วเกลี่ยมันเบาๆ ผมควบคุมตัวเองให้หยุดทำแบบนั้นไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายดึงดูดความรู้สึกและความต้องการของผมเหลือเกิน เปลือกตาสีอ่อนหลับพริ้มลงเมื่อผมเกลี่ยนิ้วมือลงบนแก้ม ริมฝีปากสีอ่อนหลุดอมยิ้มมุมปาก ทั้งยังขยับใบหน้าแนบแก้มลงบนฝ่ามือผมเล่นอย่างกับลูกแมวอ้อนมือ “ถ้าหนูทำตัวว่าง่ายแบบนี้ตลอดพี่กลัวจะอดใจไม่ไหวจังเลย” ไนล์ไม่พูดตอบโต้อะไร แล้วทำบางสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงด้วยการยกมือของตัวเองมาประกบซ้อนหลังมือผมอีกที ความนุ่มนิ่มของอุ้งมือน้อยทำให้ร่างกายผมร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัวจนแทบกระเด็นออกจากอก ในหัวก็ผุดภาพความคิดถึงอุ้งมือน้อยๆนี้กำลังเล่นซุกซนอยู่บนร่างกาย ทั้งๆที่พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนั้นจนกว่าไนล์จะอายุครบสิบแปดแล้วแท้ๆ แต่พอคนตัวเล็กเป็นฝ่ายเข้าหาผมเอง ผมก็อดคิดไม่ได้ทุกที “พี่เดย์เชื่อใจน้องมากแค่ไหน” เสียงของไนล์ดึงความคิดที่จมลึกถึงก้นสระของผมให้กลับมาที่เดิม “คำว่าเชื่อใจของหนูมันหมายถึงอะไรบ้างล่ะ” ผมถามหยั่งเชิงไนล์กลับไป ถึงจะรู้สึกแปลกใจที่ไนล์ถามคำถามแฝงนัยยะแบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้วก็เถอะ ทุกครั้งที่ไนล์ปล่อยตัวอยู่ใกล้ผมหรือเข้าหาผมเขาต้องมีคำถามพวกนี้ตามมาทุกทีสินะ แต่ผมก็ยังจะทำเป็นไม่สงสัยอะไร “เคยคิดบ้างไหมว่าน้องอาจจะโกหก หลอกลวง กำลังจะทำให้พี่เดือดร้อน” “แล้วหนูรู้ไหมว่านอกจากพี่จะโคตรเปย์เก่งแล้ว พี่ยังโง่เก่งด้วยนะ” พอคิดถึงเรื่องโง่ทีไรผมก็อดที่จะยิ้มเย้ยหยันความเขลาของตัวเองไม่ได้ อย่างที่บอกนั่นแหล่ะผมโง่เก่ง เก่งจนควายต้องเรียกพี่ “ขอแค่เป็นหนูไนล์ต่อให้ทุกคำที่พูดออกมาไม่มีเรื่องจริงเลยสักอย่างพี่ก็ยอมเชื่อ” ผมเคยผ่านความรักมาแล้วหลายครั้ง แล้วทุกครั้งผมก็เป็นฝ่าถูกเทแพ้ราบคาบ โดยเฉพาะตอนที่ถูกซาเท ตอนนั้นผมเจ็บหนักยิ่งกว่าหมาจรจัดกัดกันเสียอีก เราทั้งคู่เริ่มต้นจากคำว่าเพื่อน เรียนด้วยกัน โตมาด้วยกัน มันเห็นผมเสียใจเพราะความรักมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และก็เป็นมันทุกครั้งที่เข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นจนแข็งแรง ความเป็นเพื่อนมันค่อยๆพัฒนาจนเกิดเป็นความรู้สึกดีระหว่างเราทั้งคู่ ทั้งผมกับซาเราต่างค่อยๆเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของกันและกัน จนคิงส์เริ่มเข้ามาอยู่ในกลุ่ม คิงส์เป็นเด็กต่างโรงเรียนแต่เพราะพ่อแม่ผมกับมันออกงานเจอกันบ่อย เราเลยรู้จักกันโดยบังเอิญ ครั้งแรกที่ซากับคิงส์เจอกันสายตาของทั้งคู่บอกผมชัดเจนว่ามันต้องมีอะไรกันมากกว่าเพื่อน และผมก็มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าสายตาที่ผมมองซามันก็เกินกว่าเพื่อนทั่วไป และไอ้คิงส์มันก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออก แม้จะรู้ว่าหลังจากนั้นคิงส์กับซาคุยกัน อยู่ด้วยกันแบบที่อยู่กับผม ทำทุกอย่างที่เหมือนทำให้ผม แต่ผมก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น มองข้ามทุกอย่างทั้งๆที่สิ่งนั้นวางอยู่ตรงหน้า จนวันหนึ่งสิ่งที่เหนือความคาดคิดก็เกิดขึ้น คงเป็นเพราะความเมาและความหวั่นไหวในคืนนั้นที่ทำให้ผมก้าวขาข้ามคำว่าเพื่อนสนิทของซาไป ในตอนนั้นผมรู้สึกดีที่ซาเป็นของผม ก่อนจะถูกเหยียบหน้าด้วยคำว่า ‘ซาเป็นของกูแล้ว ก่อนมึง’ ตอนนั้นผมกับมันซัดกันนัวได้แผลกันไปไม่ใช่น้อย แต่ที่ยิ่งเจ็บกว่าแผลบนร่างกายคือซาเลือกที่จะเข้ามาบังมันไว้ แล้วเดินกลับไปกับมัน ทิ้งให้ผมเวิ่นเว้ออยู่คนเดียว และนั่นก็เป็นคืนสุดท้ายที่ซามาค้างที่ห้องผม “พี่ชอบน้องมากขนาดนั้นเลยเหรอ” “ถ้าน้องไม่เชื่อ น้องลองพิสูจน์ก็ได้พี่ยินดี” ใจหนึ่งก็รู้ว่าไนล์เด็กเกินกว่าจะทำเรื่องพวกนั้นด้วย แต่อีกใจก็แอบหวังว่าไนล์จะตอบว่าอยากลอง แต่ก่อนที่ปากสวยน่าจูบจะตอบอะไรออกมาเสียงมือถือของผมก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน พอเห็นเบอร์โทรเข้าแล้วก็อยากจะตบเจ้าของเบอร์ “เออ ว่า..” ผมกดรับสายไอ้เจ้าของชื่อ ‘ไฟป่า’ ด้วยน้ำเสียงเสียอารมณ์ถึงขีดสุด (มาช่วยพวกกูทำรายงานด้วยไอ้เดย์) เพราะผมมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับไนล์มาตั้งแต่เมื่อคืนจนลืมนัดทำรายงานไปเลยสนิท “เออๆ เดี๋ยวกูไปช่วย แต่พวกมึงต้องย้ายไปทำในห้องซ่อมเครื่องนะ ข้างนอกยุงมันเยอะ” ผมรีบวางสายหนีไอ้ไฟป่าทันทีที่พูดจบ เพราะเดี๋ยวมันก็จะถามอีกว่าทำไมทำข้างนอกไม่ได้ ในเมื่อที่ผ่านมาก็นั่งทำกันตรงหน้าลานเกียร์ตลอด ถ้าถามเหตุผลที่ต้องย้ายที่ทำรายงานก็ต้องไม่พ้นเด็กตรงหน้าผมอยู่แล้ว รอยเก่ายังไม่หายมีเหรอที่คนอย่างผมจะยอมให้มีรอยใหม่ และต่อไปนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้มีตัวอะไรมากัดกินผิวบอบบางนั่นได้อีก @มหา'ลัย “กูว่าแล้ว! ไอ้เดย์มันอึกอักลังเลไม่อยากมาทำรายงานเพราะแบบนี้นี่เอง” เสียง ‘ไอ้ไฟป่า’ เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงดังขึ้นเป็นคนแรกเมื่อผมเปิดประตูแล้วจูงมือไนล์เดินตามเข้ามา และตามมาด้วยเสียง ‘ไอ้เจี่ย’ ผู้ชายหุ่นหมีดูน่าอบอุ่นที่สุดในกลุ่มตามมา “ปกติกลัวที่ไหนละยุงอะ กัดมาตบกลับ แต่วันนี้มาบอกให้ทำในห้องนะข้างนอกมียุง ดัดจริตกลัวขึ้นมาซะอย่างนั้น” “ตัวเองยุงมันกัดเค้าอะ” “ยุงตัวไหนมันกัดที่รักของเจี่ยบอกเค้ามา เดี๋ยวเค้าจะไปตบมันเอง เอาให้เลือดสาดกระจายคามือไปเลยเนอะที่รัก โอ๊ย! เชี่ยเดย์!” ไอ้เจี่ยร้องเสียงหลงเมื่อถูกรองเท้าไซส์สีสิบสามของผมกระแทกเข้ากลางหลัง และใช้เท้าเขี่ยรองเท้ากลับคืนมาให้ ผมก้มลงหยิบรองเท้ามาใส่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาชี้นิ้วขู่พวกมันทั้งหมด “ด่ากู กูกลับนะ” “ถ้ามึงไม่ช่วยกูไม่ใส่ชื่อ แล้วมึงก็จะติดเอฟ” ไอ้ไฟป่าขู่ผมกลับ แต่มีเหรอที่คนอย่างผมจะยอม คนศีลไม่เสมอกันมันคบกันเป็นเพื่อนไม่ได้หรอก “ไม่เป็นไรกูรวยมีเงินลงเรียน ต่อให้กูต้องลงเรียนอีกแปดกูขนหน้าแข้งกูก็ไม่ร่วง” ผมขู่มันกลับพร้อมกับแสร้งจูงมือไนล์เดินออกจากห้อง ก่อนทั้งตัวจะถูกไอ้ไฟป่ารวบไปกอดออกแรงลากผมให้กลับเข้าไปในห้อง เยี่ยงการลากนักโทษกลับเรือนจำ แต่ที่รับไม่ได้สุดคือท่าทางเอียงคอซบไหล่ผมนี่แหละ สภาพที่มันลากผมเมื่อกี้กับท่าซบแบบสาวแรกแย้มมันมีตรงไหนที่เข้ากันบ้าง! “ในกลุ่มเรามีแค่มึงนะคะเดย์ที่ทำสูตรคำนวนอันนี้ได้ เพราะงั้นต่อให้มึงอยากกลับกูก็ไม่ให้กลับ” “ไอ้ไฟมึงช่วยถอยห่างจากไอ้เดย์ได้ไหม ไอ้เดย์อะไม่เท่าไร แต่มึงอะทุเรศเกินน! กูรับไม่ได้” เสียงไอ้เจี่ยเหมือนเสียงสวรรค์มาโปรด เพราะมันทำให้ไอ้ไฟป่ายอมปล่อยผมจากอ้อมอกแน่นๆของมันสักที ไม่รู้ว่าแรงเมื่อกี้เขาเรียกกอดหรือบีบให้ตายกันแน่ “ไฟนรกแบบมึงคุณเดย์เขาไม่มองหรอก เขาพกลูกกระต่ายตัวน้อยส่วนตัวมาด้วย” ไอ้เจี่ยพูดพร้อมกับส่งสายตามองไปยังเด็กที่ผมพามาด้วย พอเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตาไนล์ก็ขยับตัวมาหลบซ่อนด้านหลังผมทันที สองมือน้อยกำที่ชายสองทั้งสองของผม โผล่มาให้เห็นแค่มือเท่านั้น“มีการหลบหลังซะด้วย น้องรู้ไหมว่าในบรรดาที่นั่งกันอยู่ ไอ้คนที่น้องหลบหลังมันคือคนที่ไว้ใจไม่ได้มากที่สุด” พอได้ยินแบบนั้นคนที่แอบหลบอยู่ก็เงยหน้ามองผมทันที ผมเลยจำเป็นต้องยื่นมือไปปิดหูทั้งสองข้างนั้นไว้ไม่ให้รับข้อมูลผิดๆไปจดจำได้ “ไอ้พวกนี้มันพูดความจริงกันเป็นซะที่ไหน หนูไนล์อย่าไปฟังมันเลยค่ะ” “กูหรือมึงที่พูดความจริงไม่เป็นอะ” ไอ้เจี่ยยังแซะผมไม่หยุด ผมหยักไหล่ไม่ใส่ใจคำพูดแดกดันตามประสาผู้ชายแมนๆคุยกันของกลุ่มผม แล้วจูงมือไนล์ให้ออกมาเผชิญหน้าเพื่อนสนิทในสาขาเดียวกันทั้งสามคน ซึ่งพวกมันก็พอจะรู้ตัวว่าผมกำลังจะแนะนำให้น้องรู้จักเลยรีบเสนอหน้ามายืนเรียงแถวกันทันที “ไอ้หัวสีแดงนี่ชื่อไฟป่านะคะ” ผมชี้นิ้วไปที่ไฟป่าคนแรก มันคือเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาล “ส่วนไอ้หัวดำตัวยักษ์นี่ไอ้เจี่ย” คนที่ยืนถัดมาคือไอ้เจี่ย มันเป็นคนที่อบอุ่นที่สุดในกลุ่ม ถึงรูปร่างมันจะดูโหดแต่อยู่ในโหมดคิตตี้ตลอดเวลา ปากหมาชอบดุแค่เฉพาะเพื่อน แต่กับคนอื่นปากมันหวานยิ่งกว่าผมซะอีก “ส่วนไอ้หน้าอมทุกข์นั่นฟ้าค่ะ” “ฟ้าประทาน โปรดเรียกชื่อเต็มกูด้วย” มันมักจะแย้งแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ใครเรียกมันว่าฟ้า มันบอกว่าชื่อดูผู้หญิงมากเกินไป ไม่แมน มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือใบหน้าที่ดูง่วงนอนและเบื่อตลอดเวลา “ฟ้าประทานใบหน้าอมทุกข์มาให้อะดิ” ไอ้เจี่ยหันไปแซวตามประสาเพื่อนสนิทที่เรียนประถมมาด้วยกัน ก่อนที่ไอ้ฟ้าจะมอบไขควงข้างๆกลับมาให้เปนของขวัญ “ส่วนนี่ ไนล์ เด็กกู”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD