ตอนที่ 7.1 อธิบาย

3963 Words
I want to go to somewhere that make me comfortable. ผมอยากจะไปที่ไหนสักที่ ที่ๆ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ “พวกกูไม่ได้ทำอะไรกัน มึงใจเย็นๆ หน่อยได้ไหมฟาน กายมันเจ็บจนร้องไห้แล้วนั่น” พี่เจ็ทขยับเข้ามาช่วยพูดให้ฟานใจเย็นลง ลูกค้าคนอื่นที่จะเดินมาเข้าห้องน้ำมองดูพวกเราสามคนด้วยความสนใจ และอีกอย่างคือพวกเรายืนขวางทางเข้าห้องน้ำอยู่ ฟานจ้องหน้าพี่เจ็ทไม่วางตา ทว่าสีหน้าอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย แรงบีบที่แขนก็ผ่อนเบาจนเหลือแค่จับเอาไว้ เขายังไม่ก็ไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำยังดึงรั้งเข้าหาตัวกึ่งๆ จะโอบกอด “ไม่ได้ทำอะไรแล้วทำไมต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน” คำถามของฟานไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร และคนที่ตอบไวกว่าก็คือพี่เจ็ทอีกเช่นเดิม “กูแค่ลูบหัวน้องรหัส มึงเรียกว่าการแตะเนื้อต้องตัวเหรอวะไอ้ฟาน กูเข้าใจว่ามึงรักมึงหึงแฟนมึงมากนะ แต่มันก็เหมือนน้องกูคนหนึ่ง” “พี่แน่ใจเหรอว่าคิดกับมันแค่น้อง” ฟานย้อนถามหน้ากวน พี่เจ็ทหน้าตึงไปเลย “เออ กูแน่ใจว่ากูคิดกับสกายแค่น้อง” พี่เจ็ทกระชากเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เหอะ ให้มันจริงเถอะ” “ถ้ามึงจะมาหึงมาหวงสกายกับกูอ่ะ หันไประวังคนอื่นดีกว่าไหม มึงก็น่าจะรู้ว่ามีคนชอบสกายเยอะแค่ไหน ทำตัวแบบนี้น้องกูจะเบื่อมึงเข้าสักวัน” พี่เจ็ททำหน้าเย้ยหยันฟาน เดาะลิ้นข้างกระพุ้งแก้ม ดูก็รู้ว่าตั้งใจจะยั่วโมโหฟานเต็มที่ คนข้างๆ ผมก็ยั่วขึ้น ได้ยินเสียงเขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “มึงพูดอะไรวะ...!” ฟานทำท่าจะพุ่งตัวเข้าใส่พี่เจ็ท ผมรีบกอดฟานเอาไว้ แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีดันตัวฟานออกห่าง “อย่ามาขึ้นมึงขึ้นกูกับกู กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ” พี่เจ็ทชี้หน้าฟานอย่างเอาเรื่อง คงไม่พอใจที่ฟานพูดคำเรียกขานอย่างหยาบคาย “ก็ดูสิ่งที่มึงพูดมาดิ กายปล่อยฟาน” ฟานออกแรงสะบัดตัวออก แต่ผมก็กอดฟานแน่นขึ้นเช่นกัน “ไอ้ฟาน!” “พอๆ อย่ามีเรื่องกันเลย กายผิดเองแหละ อย่าทะเลาะกันเลยนะ” ผมบอกเสียงสั่น กลัวว่าทั้งสองคนจะลงไม้ลงมือกัน ไม่ว่าจะเป็นฟานหรือพี่เจ็ทผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะคนอย่างผม “กายปล่อย! ดูไอ้พี่เจ็ทมันพูดนะ กายไม่มีวันเบื่อผม! รู้ไว้ด้วย!” ฟานตะคอกใส่พี่เจ็ท ผมไม่เห็นว่าพี่เจ็ททำหน้ายังไง เพราะเอาแต่กอดรั้งฟานเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่อีกคน “ก็มาดูกันไปว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง กูยังยืนยันคำพูดของกูคำเดิม ว่าระหว่างกูกับสกายเราเป็นแค่พี่น้องกัน กูไม่ได้คิดอะไรเกินเลยอย่าที่มึงกลัว มึงจะเชื่อกูหรือไม่กูก็ไม่สนใจหรอก แต่มึงควรต้องเชื่อใจแฟนมึงบ้าง” “...” ฟานไม่พูดอะไร ผมเม้มปากแน่น ทุกคำพูดของพี่เจ็ททำให้ผมอยากจะร้องไห้ ทั้งๆ ที่ผมก็มีคนที่รักแหละหวังดีกับผม แม้จะไม่กี่คนแต่ก็เป็นคนที่หวังดีกับผมด้วยใจจริง แล้วทำไมผมถึงยังไม่มีความสุข ผมควรต้องมีความสุขสิ ใช่ไหม แต่ทำไมสมองถึงไม่เคยจำสิ่งดีๆ ทำไมต้องคอยจดจำแต่ความทรงจำแย่ๆ สมองเฮงซวย “ครั้งนี้ผมจะเชื่อก็แล้วกัน” ฟานพูดหลังจากที่เงียบไปสักพัก “มึงนี่มันจริงๆ เลยฟาน และกูจะเตือนมึงไว้อย่างนะ อย่าให้กูเห็นว่ามึงทำน้องกูเจ็บอีก ไม่งั้นกูจะซัดหน้าหล่อๆ ของมึงให้เละ แขนมันก็แค่นี้มึงบีบเข้าไปได้ยังไงห๊ะ!” พี่เจ็ทตวาดกลับมาบ้าง ฟานที่ตัวเกร็งเพราะความโมโหชะงักนิ่ง ก่อนจะจับแขนผมที่กอดเขาเอาไว้ออก ทีแรกผมไม่ยอม กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าใส่พี่เจ็ท แต่พอเงยหน้าสบตาคมที่วูบไหวสำนึกผิด ผมก็มือไม้อ่อน ปล่อยให้เขาดึงออกพลางสำรวจรอยแดงและอาการปวดตุบบนแขน “ขอโทษนะ เจ็บมากใช่ไหม ฟานโมโหเพราะฟานเป็นห่วงมาก โทรหากายเท่าไหร่ก็ไม่ติด ทำไมกายไม่ไลน์มา ทำไมต้องปิดเครื่อง” “ขอโทษ” ผมเอ่ยด้วยเสียงที่ติดอยู่ในลำคอ “ฟานต้องการคำอธิบาย” ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นตาของผมที่จะต้องเคลียร์กับฟาน หลังจากที่พี่เจ็ทเคลียร์ประเด็นของเขาไปแล้ว “กายลืมไลน์หา ลืมจริงๆ พอมาถึงร้านก็นั่งกินข้าวคุยเล่นกับน้องๆ กายยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยตั้งแต่ออกจากบ้าน สงสัยแบตอาจจะหมด” ผมไม่ได้โกหกฟานแม้แต่คำเดียว ผมลืมจริงๆ และผมก็ไม่ได้แตะโทรศัพท์ของตัวเองด้วย ขนาดมาเข้าห้องน้ำผมก็ไม่ได้หยิบติดมือมา เกิดความเงียบขึ้น ไม่มีใครพูดอะไร มีผู้ชายสามคนเดินมาเข้าห้องน้ำ พวกเราเลยต้องเบี่ยงตัวอีกครั้งเพื่อหลีกทาง “กลับไปที่โต๊ะไป คนอื่นเขาจะได้มาเข้าห้องน้ำสะดวก เราขวางทางเขาอยู่” พี่เจ็ทบอกเมื่อเห็นว่าเริ่มมีคนมาเข้าห้องน้ำหลายคน และทางเข้าห้องน้ำก็ไม่ใช่บริเวณที่กว้างขวางพอที่จะมายืนคุยกันตรงนี้ พี่เจ็ทเป็นฝ่ายออกเดินนำไปที่โต๊ะ ผมกับฟานมองหน้ากัน เขายังคงดูหงุดหงิดหัวเสียอยู่ไม่น้อย ผมทำได้แค่ส่งสายตาขอโทษไปบอก มือก็จับอยู่ที่แขนของเขา “ไปเอาของที่โต๊ะแล้วกลับบ้านกันเลยนะ” ฟานพูดหน้านิ่ง ตวัดแขนที่จับมือผมเปลี่ยนเป็นโอบเอวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เขามองกราดทุกคนที่มองมาทางเรา หัวคิ้วยังคงขมวดเข้าหากัน บอกให้รู้ว่าเขายังอารมณ์ไม่ดี ผมไม่หือไม่อือ เพราะไม่ได้คิดจะขัดใจเขา กลับบ้านก็ดี ผมเองก็ไม่ค่อยรู้สึกสนุกอะไรเท่าไหร่ ผมอยากคุยเล่นกับพี่ๆ น้องๆ ให้สนุกกว่านี้ เพราะยังแคร์พวกเขาผมถึงได้ฝืนตัวเองมา แต่ผมไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับบรรยากาศ ไม่อยากไปไหนมาไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น ผมหวังให้มีใครสักคนเข้าใจความรู้สึกของผม “อ้าว สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” น้องรหัสของผมทั้งสองคนยกมือไหว้ฟาน แล้วก็ทำหน้างงประมาณว่ามีอะไรกัน ทำไมแต่ละคนถึงทำหน้าไม่สู้ดี แม้แต่พี่เจ็ทเองที่มักจะเป็นพี่ที่น่ารักและใจดีกับน้องเสมอ ก็ยังมีสีหน้าที่เรียกได้ว่าหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด แต่ละคนหน้าบึ้งตึงจนน้องกลัว “พี่เจ็ท เดี๋ยวกายขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอโทษพี่เจ็ทด้วยกับทุกเรื่อง น้ำ ปาล์ม พี่กลับก่อนนะ” ผมหันไปบอกทุกคนบนโต๊ะแล้วหันมาขอโทษพี่เจ็ทที่ทำให้เดือดร้อน ไม่ลืมสะกิดกายให้พูดขอโทษพี่เจ็ท เขาทำฮึดฮัด แต่พอโดนผมเรียกชื่อเสียงอ่อน เขาก็ยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี “ขอโทษครับ” ฟานกระชากเสียงเล็กน้อยตอนเอ่ยขอโทษพี่เจ็ท ถึงฟานจะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่เขารู้ว่าอะไรควรทำในเวลาที่ควรจะทำ “อืม ช่างเถอะ” พี่เจ็ทบอกอย่างไม่ถือสา ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยะๆ รู้สึกผิดเต็มหัวใจ ที่ทำให้บรรยากาศที่กำลังสนุกต้องกร่อย “เด็กๆ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมเข้าไปให้ที่คณะเป็นการไถ่โทษนะ” ผมบอกกับน้องทั้งสอง ถ้าไม่ชดเชยอะไรสักอย่างให้น้องรหัสทั้งสองคน ผมคงรู้สึกแย่เวลานึกถึง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ก็...ขอเยอะๆ เลยนะคะ อิอิ” น้องน้ำยิ้มกว้างให้ผมจนตาปิด “ขอบคุณครับ” น้องปาล์มยิ้มตอบอย่างสุภาพ ดูก็รู้ว่าทุกคนกำลังเกร็งกับสถานการณ์ระหว่างผม ฟานและพี่เจ็ท “ไว้เจอกันนะทุกคน ผมขอตัวก่อน” ผมบอกอีกครั้ง แล้วดันหลังให้ฟานเดินนำออกจากร้าน ผมมองตรงจดจ้องแค่แผ่นหลังกว้าง ไม่อยากหันไปมองรอบตัวให้ต้องเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เชื่อว่าจะต้องมีนักศึกษาในมหาลัยหลายคนกำลังมองจ้องพวกผมสองคนอยู่ ฟานคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาหล่อเหลา เขาเป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะผมยกยอปอปั้นเพราะความรัก ฟานเกือบจะได้เป็นเดือนวิศวะ ด้วยคะแนนโหวตที่ห่างจากอีกคนแค่สองคะแนน ซึ่งฟานก็ไม่ได้เสียใจอะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้อยากเป็น ขี้เกียจไปวิ่งทำกิจกรรมให้คณะ เขาอยากเอาเวลามาตามจีบผมมากกว่า จนทำให้เราได้คบกันมาจนถึงทุกวันนี้ ในเมื่อเขามีความหล่อและความเก่งเป็นเครื่องการันตี ไม่แปลกที่จะมีผู้หญิงและผู้ชาย ผู้คนทุกเพศทุกวัยให้การชื่นชอบ พอเขามาคบกับผม ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางคนก็บอกว่าเราเหมาะสมกัน บางพวกก็บอกว่าผู้ชายดีๆ อย่างฟานสามารถหาแฟนคนใหม่ได้ดีกว่าผม พวกเขาพูดเหมือนผมไม่สมควรได้ครอบครองคนที่ดี เราเดินออกมาขึ้นรถยนต์ที่จอดเอาไว้หน้าร้าน ฟานจับพวงมาลัยไว้ทั้งสองมือ เขาสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ยังไม่ปลดเกียร์ขับรถกลับบ้าน มีเพียงความเงียบโอบล้อมอยู่รอบตัวเราทั้งสอง ผมนั่งก้มหน้า มือทั้งสองข้างกำเนื้อกางเกงเอาไว้แน่น “ฟาน...กายขอโทษนะ” ผมรู้สึกว่าพูดคำนี้กับเขาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ศีรษะของผมขยับก้มหน้าเล็กน้อยเมื่อปะทะกับแรงมือที่คว้าจับที่ต้นคอ มือใหญ่บังคับให้ผมหันข้างไปมองเขา สีหน้าของฟานดูเครียดขึง แววตาแข็งกร้าวกว่าปกติ ที่มักจะมองผมอย่างอ่อนโยน แต่ถึงฟานจะไม่พอใจ นิ้วโป้งของเขาที่วางแนบแก้มก็ลูบมันอย่างแผ่วเบา เจือไปด้วยความอ่อนโยน ความร้อนเอ่อคลอรอบดวงตาของผมอีกครั้ง ผมล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ลองกดเปิดแต่ก็ไม่มีแสงไฟแสดงโชว์ บ่งบอกว่ามันไม่มีแบตเตอรี่แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว “แบตหมดจริงๆ ด้วย กายไม่ทันได้ดูตอนออกจากบ้านว่าโทรศัพท์ไม่มีแบต” ผมชูโทรศัพท์ให้ฟานดู ทำใจสู้สบตาเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ฟานมองของในมือผมแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “แล้วทำไมไม่ไลน์มาบอกฟานว่ามาถึงแล้ว ฟานบอกให้ไลน์มาบอกไง” น้ำเสียงของเขายังติดแข็งอยู่เล็กน้อย แต่สีหน้าดีขึ้นกว่าเดิม “กายลืม” ผมลืมจริงๆ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะไม่ไลน์ไปบอก “ปกติกายไม่เคยลืมนะ หรือเพราะว่าพี่เจ็ทไปรับ กายเลยลืมฟาน” พูดถึงพี่เจ็ทปุบ ฟานจะมีสีหน้าท่าทางที่ไม่พอใจทันที ผมลอบถอนหายใจบ้าง “กายกับพี่เจ็ทไม่ได้มีอะไรกัน ทำไมฟานต้องดึงพี่เจ็ทมาเกี่ยวด้วย” เมื่อกี้เขาก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วนี่น่าว่าพี่เจ็ทไม่ได้คิดอะไรกับผม “บอกตามตรงว่าฟานไม่ไว้ใจเลย” “ไม่ไว้ใจกาย?” ผมย้อนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ และฟานเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบ “ไม่ใช่ว่าฟานไม่ไว้ใจกาย แต่กายจะให้ฟานทำยังไง ฟานรักกายมาก หึงหวงกายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” “กายรักฟานคนเดียว” ผมบอก เป็นความจริงที่ไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว “...” “ฟานไม่เชื่อกายเหรอ ความรักของกายไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ ถ้ากายบอกว่ารักก็คือรัก รักมากด้วย” “ฟานรู้” เขาผ่อนเสียงอ่อน “แล้วทำไมถึงยังหึงกายกับพี่เจ็ท” “ไม่รู้ ฟานแค่กลัวว่าจะมีคนมาแย่งกายไปจากฟาน” เขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเลย จะไม่มีใครมาแย่งผมไปจากเขา นอกจาก...ตัวผมเอง กลับกันผมเองก็กลัวว่าจะมีใครมาแทนที่ผม ใครที่ดีกว่าที่เหมาะสมจะอยู่เคียงคู่กับฟานอย่างที่คนพวกนั้นบอก ฟานคือผู้ชายที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ ไม่มีใครที่ไม่ชอบเขา เขาเป็นเพื่อนที่ดี เป็นแฟนที่น่ารัก เขามักจะยิ้มสดใสแจกจ่ายให้ผู้คนอย่างทั่วถึง ใครเห็นก็อยากเข้าใกล้ ใครเห็นก็ยิ้มตามและอยากเข้ามาพูดคุย ต่างจากผมในตอนนี้...ที่อยู่ในมุมมืดของโลก ฟานกลายเป็นเพียงแสงสว่างเดียวในชีวิตที่ผมเองก็อยากจะตระกองกอดเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอเพียงมือทั้งสองข้างยังมีแรงที่จะกอดแสงไฟแห่งความหวัง ผมก็ยังมีแรงที่จะเดินต่อไปได้ แม้ว่ามันจะเหนื่อยเกินทน “กายไม่ไปไหนหรอก ต่อให้มีคนที่ดีกว่าฟาน กายก็ไม่ไปไหน” ผมดึงมือฟานทั้งสองข้างมากุมเอาไว้ บีบลูบให้เจ้าตัวคลายความกังวล “รู้ไหมว่าฟานกังวลแค่ไหนตอนที่เห็นรูปในเฟสบุ๊ค พอคนอื่นพูดกันว่ากายลงมาจากรถของผู้ชายคนอื่น ฟานก็หัวร้อนสุดขีด ยิ่งไม่เห็นทีท่าว่ากายจะส่งข้อความมาบอกทั้งๆ ที่ตกลงกันไว้แล้ว ฟานก็ยิ่งร้อนใจ โทรหาก็ปิดเครื่อง ฟานคิดว่ากายไม่อยากรับสายฟาน ไม่อยากให้ฟานเข้าไปยุ่งตอนอยู่กับพี่เจ็ท ฟานก็เลยกลัวจนโมโห” ฟานระบายความรู้สึกว้าวุ่นใจโดยไม่ได้ละสายตาไปจากผม เปิดเผยความรู้สึกของเขาผ่านดวงตา ผมเห็นทั้งความเครียด ทั้งความกลัวผสมปนเปกันไปหมด จนผมจะโกรธก็โกรธไม่ลง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่แปลกใจถ้ามันจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชินชาจนไม่รู้สึก ผมรู้สึกกับสิ่งนี้มาตลอด เมื่อกี้ฟานบอกว่ามีคนลงรูปที่ผมลงมาจากรถของพี่เจ็ทกับคอมเมนต์ที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจใช่ไหม “รูปอะไร ขอดูหน่อยได้ไหม” ผมถาม คิดว่าถ้าเป็นรูปธรรมดาคงไม่ทำให้ฟานหัวร้อนจนมาอาละวาดใส่พี่เจ็ทได้ ฟานมองหน้าผมก่อนจะกดโทรศัพท์ เขาเลื่อนหาอยู่สักพักก็ส่งมาให้ผมดู ผมรับโทรศัพท์มาถือไว้ สายตาจ้องไปที่หน้าจอก็จริง แต่ผมยังไม่กล้าเพ่งมองไปที่รูปภาพตัวปัญหา ใจนึงก็อยากเห็น อีกใจก็ไม่อยากเห็น อยากเห็นเพราะอยากรู้ว่าภาพมันเป็นอย่างไร และที่ไม่อยากเห็นก็เพราะผมไม่อยากรับรู้ว่าคนในโซเชียลใจร้ายกับผมขนาดไหน ทว่าสิ่งล่อตาล่อใจอยู่แค่ตรงหน้า ไม่ว่ามันจะมีอานุภาพทำร้ายเราได้มากขนาดไหน มนุษย์ก็หลีกหนีความอยากรู้อยากเห็นไปไม่ได้ ผมปรับสายตาให้โฟกัสภาพบนหน้าจอ ภาพที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายถูกโพสต์โดยกลุ่มแฟนคลับของฟานที่รวมตัวกันตั้งขึ้นมา ในภาพนั้นคือผมและพี่เจ็ทยืนอยู่ข้างตัวรถ โดยที่พี่เจ็ทโอบเอวผมเอาไว้ ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พี่เจ็ทไม่ได้โอบเอวผมเพราะรู้สึกพิศวาส แต่เพราะผมสะดุดก้อนหินจะลื่นล้ม เขาที่อยู่ข้างๆ ก็เลยคว้าเอวผมเอาไว้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมากในตอนนั้น ไวจนผมกับพี่เจ็ทเองก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจมันด้วยซ้ำ แต่คนถ่ายก็ยังเก่งที่จับภาพนั้นไว้ได้ทัน แล้วเอามาโพสต์ลงเพื่อสร้างประเด็นให้ผมกับฟานต้องทะเลาะกัน -อะไรยังไงเนี่ย สกายคนดังแอบมาโอบกอดกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนในที่สาธารณะแบบนี้เลยเหรอ คืออะไร เจ้าชู้ขนาดนี้ทำไมถึงได้หัวใจฟานคนดีของพวกเราไปครอง รับไม่ได้อ่ะ- “เราลื่นจะล้มพี่เจ็ทเขาก็คว้าจับเราไว้ แปบเดียวเองเขาก็ปล่อย มันไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้เดินกอดกันเข้าร้านหรอกนะ” ผมพูดกับฟานโดยที่ไม่ได้มองหน้า เพราะเอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์ ผมเปิดเข้าไปอ่านคอมเมนต์ ถึงได้รู้ว่านอกจากภาพนั้นแล้ว ก็ยังมีภาพอื่นอีกสองสามภาพ รูปที่สองคือรูปที่พี่เจ็ทกำลังจับมือผม ผมเงยหน้ามองพี่เจ็ท ส่วนพี่เขาก็กำลังยิ้มมองตรงไปยังเพื่อนผู้ชาย ถ้าคนไม่รู้ก็คงคิดว่าพี่เจ็ทจับมือผมแล้วยิ้มอย่างมีความสุข “แล้วรูปนี้ละ ทำไมต้องจับมือกัน” ฟานชะโงกหน้าเข้ามาดูรูปที่ผมกำลังดูอยู่ ผมอยากจะแค่นหัวเราะเสียงดังให้กับคนที่ถ่ายรูปพวกนี้ “ตอนเดินเข้าไปในร้าน เพื่อนพี่เจ็ทที่เป็นพี่ในคณะเราเขาทักเรียก พี่เจ็ทก็เลยหยุดยืนคุย เรายกมือไหว้พี่เขา ส่วนที่ดูเหมือนจับมือเพราะพี่เจ็ทเขาดันมือเราลงแกล้งไม่ให้เราไหว้เพื่อนเขา ก็แค่นั้นเอง” แค่นั้นจริงๆ แต่คนไม่รู้และเกลียดผมก็พร้อมที่จะนำมาใส่สีตีไข่จนเกินกว่าเรื่องจริง น่ารังเกียจ คนพวกนั้นน่ารังเกียจที่สุด รูปที่สามคือรูปที่ผมกับพี่เจ็ทมองตากัน เรานั่งกินข้าวกันอยู่สี่คน แต่ภาพนั้นจับจังหวะตอนที่พี่เจ็ทเล่าเรื่องตลกแล้วผมก็พยายามยิ้มขำให้กับเรื่องที่เขาเล่า แต่สิ่งที่เขียนกำกับเอาไว้บนภาพก็คือ ผมกับพี่เจ็ทมองตากันหวานเชื่อม ดูก็รู้ว่าคิดอะไรต่อกัน คิดอะไรงั้นเหรอ พวกเขาไม่มีวันรู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไร ต้องฝืนตัวเองขนาดไหนที่จะยิ้มและมีความสุขไปพร้อมกับคนอื่น “ฟานไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่กายไปชิดใกล้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฟาน” ฟานดึงมือถือกลับไป ผมปล่อยคืนเขาแต่โดยดี แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตใจของผมย่ำแย่ ไม่รู้ว่าผมมันไม่ดีเองจริงๆ เลยทำให้คนอื่นไม่ชอบ หรือเป็นคนเหล่านี้กันแน่ที่เลวร้าย หรือไม่...โลกนี้ก็เฮงซวยเกินจะทน “มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ผมไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านี้ ผมกำลังโกรธคนพวกนั้นจนอยากจะไปตะคอกใส่หน้าจังๆ ว่าเลิกยุ่งเรื่องของผมสักที แต่ก็ทำไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่นั่งจิกมือตัวเองจนรอยเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ “อืม ฟานจะเชื่อกาย แต่ขอได้ไหม อยากให้ใครโดนตัวกายง่ายๆ อีก กายไม่รู้หรือไงว่าตัวเองน่ารักขนาดไหน รู้ไหมว่ามีผู้ชายอีกหลายคนที่ชอบกายและอยากได้กายไปครอง” “ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกฟาน” ผมไม่ได้มีดีอะไรขนาดนั้น “ฟานไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะ คนชื่นชอบติดตามกายก็เยอะ นี่ดีแค่ไหนที่ปีที่แล้วกายไม่รับงานถ่ายโฆษณา ตอนที่มีนักปั้นดารามาติดต่ออ่ะ ถ้าตอนนั้นกายตอบตกลงแล้วไปเป็นคนดัง สกายของฟานคนนี้จะต้องฮอตมากๆ แล้วก็มีคนติดตามมากขึ้นกว่าเดิม ถ้ามีมากกว่าทุกวันนี้ฟานก็ไม่ไหวแล้วนะ ยิ่งเข้าไปดูในไอจีของกายแล้วเห็นแต่ผู้ชายมาคอมเมนต์ว่ากายน่ารักอย่างนั้น อยากได้เป็นแฟนอย่างนี้ ฟานไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้” ฟานพ่นลมออกจากปาก “แต่กายไม่เคยสนใจคนอื่น” ไม่แม้แต่จะคิด ผมเป็นเกย์และชอบผู้ชาย แต่ฟานก็เป็นผู้ชายเพียงคนแรกและคนเดียวที่ผมรักอย่างหมดใจ เขาทำให้คนที่วันๆ เอาแต่นั่งอ่านหนังสือได้ออกจากโลกในกะลา มาสัมผัสกับแสงสีของโลกภายนอก และทำให้ผมได้รู้จักกับความรักดีๆ รักของผมอาจจะเด็กและไม่ได้หวือหวา หลายคนอาจจะหัวเราะเยาะว่าแค่นี้ผมก็ถือว่าตัวเองรู้จักคำว่ารักดีแล้วอย่างนั้นเหรอ และเพราะความรักของผมอาจจะไม่มีค่าในสายตาคนบางคนหรือเปล่า พวกเขาถึงได้เลือกที่จะย่ำยีมันผ่านทางสายตาและคำพูด พวกเขาชอบที่จะต่อว่าผมกันอย่างสนุกปาก เพียงเพื่ออยากทำร้ายความรู้สึกของเรา ฟานใช้สองมือประคองใบหน้าผมเอาไว้ จรดหน้าผากของเราเข้าหากัน ปล่อยให้ลมหายใจของเรารินรดหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว “ขอโทษที่ฟานอารมณ์ร้อนแล้วก็งี่เง่า” “ไม่เป็นไร” ผมบอก เพราะผมเองก็ขี้หึงเหมือนกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของฟาน ดังนั้นผมไม่โทษเขาหรอก “ท้องฟ้าอาจจะกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ท้องฟ้าคนนี้มีคนเดียวในโลก ฟานไม่อยากแบ่งท้องฟ้าที่แสนน่ารักสดใสคนนี้ให้ใคร รู้ไหมว่าหวงทุกอย่างที่เป็นสกาย ถ้าเป็นไปได้ฟานอยากจะหิ้วกายไปกับฟานทุกที่ มันอาจจะทำให้กายอึดอัด แต่อยากให้รู้ว่าไว้ว่าฟานรักกายมากจริงๆ” ผมยิ้มขม ฝืนไม่ให้น้ำตาไหล อยากขอบคุณเขาสักพันครั้งที่รักคนอย่างผม แม้ว่าผมจะไม่คู่ควรที่จะได้รับมันจากใคร “ฟานจะพยายามใจเย็นให้มากกว่านี้ กายอย่าเบื่อฟานเลยนะ” ฟานขยับเข้ามากอด ซบใบหน้าลงกับไหล่ ผมขยับมือที่สั่นสะท้านโอบกอดแผ่นหลังกว้าง ลูบขึ้นลูบลงปลอบใจคนตัวโต “กายไม่โกรธฟานหรอก แต่ว่าอย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่เจ็ทเป็นพี่รหัสที่ดีกับกายมาก กายไม่อยากเสียคนรอบตัวที่ดีกับกายไป” ผมบอกฟานด้วยสีหน้าจริงจัง ฟานทำหน้าหนักใจแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง “จะพยายาม” “อืม กลับบ้านเถอะ” ผมบอก รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะกลับไปนอนพักอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อ เพราะมันยิ่งทำให้ผมหมดแรง “อืม กลับบ้านเรากันนะ” ฟานกดจูบที่แก้มผม แล้วผละออกไปขับรถกลับบ้าน นอกจากกลับไปพักที่บ้าน ผมก็ไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้จะมีที่ไหนอีกไหมที่สามารถช่วยเยียวยาให้ผมรู้สึกสบายใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD