ตอนที่ 7.2 ไม่สบายทั้งกายและใจ

1644 Words
I want to go to somewhere that make me comfortable. ผมอยากจะไปที่ไหนสักที่ ที่ๆ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมสลัดภาพและคอมเมนต์ที่เห็นเมื่อตอนหัวค่ำออกจากความคิดไม่ได้ ผมลุกขึ้นท่ามกลางความมืด แสงไฟแสดงตัวเลขบอกเวลาตีสามกว่า ฟานหลับไปนานแล้ว หลังจากที่เขาอ้อนขอมีอะไรกับผมไปสองรอบ เขาอยากรักให้รู้สึกถึงผม ให้รู้สึกว่าผมเป็นของเขา ไม่รู้อะไรที่ทำให้เขากังวลว่าผมจะไปมีคนอื่น ในเมื่อผมก็รักแค่เขาเพียงคนเดียว ผมเริ่มจะนอนไม่หลับอีกแล้ว ยาแก้เมารถหมดไปสองแผงภายในเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ จากสองเม็ดผมเพิ่มเป็นสามเม็ด และตอนนี้ผมกำลังจะชั่งใจว่าจะกินมันเพิ่มดีไหมเพื่อให้ตัวเองได้นอนหลับพักผ่อน มากไปกว่านั้นผมต้องการหลีกหนีจากความคิดเลวร้ายที่กำลังกัดกินหัวใจ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกินยาเพิ่ม ถ้าผมนอนหลับได้ ตอนเช้าผมจะได้มีแรงมากพอที่จะแสดงละครต่อหน้าคนอื่น แสร้งว่าผมสบายดี แสร้งว่าผมไม่ได้เป็นอะไร เพื่อไม่ให้คนอื่นเป็นกังวล แค่นี้ผมก็เป็นภาระของทุกคนมากพออยู่แล้ว ผมรู้ว่าผมไม่ปกติ...ผมอยากจะพูดกับใครสักคน แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดกับใครหรือเริ่มต้นยังไง ผมอยากพูดให้ฟานฟัง แต่ผมกลัวว่าความรู้สึกแย่ๆ ของผมจะทำให้เขาไม่สบายใจและเป็นทุกข์ ผมไม่อยากให้ฟานมาเครียดกับผม และมากไปกว่านั้น ผมกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าผมเป็นอะไร ผมจะเสียเขาไป ผมอยากเห็นฟานหัวเราะให้ผม ยิ้มให้ผมมากกว่าจะต้องมาทนทุกข์กับสิ่งที่ผมต้องเผชิญ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงต่อว่าและโทษตัวเองเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ที่ทำได้ก็แค่ฝืนความรู้สึกของตัวเองแล้วปั้นหน้ายิ้มเวลาอยู่กับฟานและเพื่อน ในเมื่อปัญหานี้มันเกิดที่ตัวผมเอง ก็ควรเป็นผมที่ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง ผมเดินกลับไปนอนข้างๆ ร่างสูง นอนจ้องใบหน้าเนียนใสเงียบๆ เสียงลมหายใจเข้าออกดังสม่ำเสมอ บอกว่าคนข้างกายหลับสนิทไปนานแล้ว น่าอิจฉา...เวลานี้ใครๆ ก็คงจะนอนหลับอย่างเป็นสุข ไม่เหมือนกับผมที่ค่อยๆ แตกสลายอยู่ตรงนี้ นานนับชั่วโมงหลังจากการกินยาแก้เมารถรอบที่สองแล้วมานอนมองหน้าฟาน สติของผมก็ค่อยๆ พร่าเลือนลงเรื่อยๆ จนหลับลงได้ในที่สุด ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู งัวเงียลืมตามองจ้องไปที่ประตูห้องนอน ก่อนจะเบนสายตามองหาฟาน แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่า วันนี้วันอะไร...ผมมองเพดานสีขาวแล้วหยุดคิดชั่วขณะ ดูเหมือนว่าวันนี้ฟานจะมีเรียนเช้า แล้วผมมีเรียนบ่าย “กาย สกาย ตื่นยังวะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” เสียงของเฟิร์สดังผ่านกรอบประตูเข้ามา ผมถึงได้หันไปมองดูนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง อีกยี่สิบนาทีบ่ายโมง ผมผุดลุกขึ้นนั่งทันที การขยับตัวลุกอย่างกะทันหันทำให้ผมเวียนหัวจะอ้วกจนต้องหลับตาเอาไว้ ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด “กาย ได้ยินไหมวะ” เสียงเคาะประตูและเสียงตะโกนเรียกจากเฟิร์สยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง “ตื่นแล้ว” ผมตะโกนเสียงแหบแห้งส่งกลับไป “มึงเปิดประตูดิ” “แป๊บนึง” ผมตอบกลับ ค่อยๆ ขยับตัวลุกออกจากเตียง กลัวว่าถ้าทำอะไรหุนหันแบบเมื่อตะกี้อาการหน้ามืดจะแวะเวียนมาหาอีกรอบ ผมเปิดประตูด้วยสติที่ยังกลับมาไม่ครบร้อย เฟิร์สอยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมออกไปเรียน พอมันเห็นผมยังอยู่ในชุดนอนและหน้าตายับยู่จากการเพิ่งตื่นก็ขมวดคิ้วทำหน้าแปลกใจ “เพิ่งตื่น?” “อืม กูนอนหลับยาวอ่ะ” “เมื่อเช้าฟานบอกว่าเรียกมึงมากินข้าวเช้าแล้วมึงไม่ยอมตื่น มันเองก็ตื่นสายเลยปล่อยให้มึงนอน” “หรอ” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าฟานเรียกผม ผมหลับไปช่วงราวๆ ตีสี่กว่า ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา “แล้วมึงจะเอายังไง หน้ามึงซีดๆ นะไม่สบายหรือเปล่า” เฟิร์สขยับเข้ามาใกล้ ใช้หลังมือทาบบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ “กูเวียนหัวนิดหน่อยอ่ะ วันนี้...กูคงไม่ได้ไปเรียนนะโทษที” “ไหวไหม ไปหาหมอหรือเปล่า” เฟิร์สทำหน้าเป็นห่วงผม ผมยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวนอนพักก็อาจจะดีขึ้น” “แน่ใจนะ มึงบอกฟานยัง” “เดี๋ยวค่อยบอก” “โอเค ในครัวมีข้าวต้มของเมื่อเช้าอยู่ มึงหาอะไรกินรองท้องแล้วก็กินยานอนพักซะ กูจะแจ้งอาจารย์ให้ แล้วจะจดเลคเชอร์มาเผื่อ” “อืม ขอบใจนะ” “เออ พักผ่อนซะ จะเอาอะไรก็ไลน์มาบอกกู” เฟิร์สมองผมเหมือนให้แน่ใจอีกครั้งว่าผมจะไม่เป็นอะไร ถึงได้ตัดใจทิ้งผมไว้ที่บ้านคนเดียวแล้วออกไปเรียน ไม่วายกำชับให้ผมทานข้าวทานยาให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนไปเรียน ยังไงเฟิร์สก็เป็นเพื่อนที่ดีที่จริงใจกับผม ถึงแม้ว่าผมจะระแคะระคายเรื่องที่เฟิร์สอาจจะรู้สึกกับฟานมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนหรือแฟนของเพื่อนก็ตาม ตอนนี้รอบตัวผมมีคนสำคัญวนเวียนอยู่ไม่กี่คน ตราบใดที่ยังไหวก็ต้องเหนี่ยวรั้งพวกเขาเอาไว้ เพราะถ้าไม่ทำ ผมคงทรมานเจียนตายหากต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียว ผมนั่งจ้องชามข้าวต้มกับแผงยาพาราบนโต๊ะอาหาร อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะเรียกร้องความสนใจจากอะไรบางอย่างขึ้นมา ผมเพิ่งจะส่งข้อความไปบอกฟานเมื่อสักครู่นี่ว่าผมไม่ได้ไปเรียนเพราะเวียนหัว เขายังไม่ได้ตอบกลับมา เวลาเรียนนักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องปิดเสียงแจ้งเตือน ผมไม่ได้คิดมากอะไร ถ้าฟานเห็นฟานก็คงจะรีบส่งข้อความหรือไม่ก็โทรกลับมาหาผมเอง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดถ่ายรูปชามข้าวต้มที่มีแผงยาพาราและแก้วน้ำวางอยู่ข้างๆ ไอจีของผมตั้งเป็นสาธารณะมาตั้งแต่ผมเรียนมัธยม จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นไพรเวท นั่นหมายความว่าไม่ว่าใครก็เข้ามาดูได้ -เป็นคนป่วย ไม่ไหวจริงๆ ทรมานเหลือเกิน- อาการป่วยของผมอยู่ข้างใน...ในหัวสมองและความคิด และผมเริ่มจะรับมือกับมันยากขึ้นทุกวัน ผมเหมือนคนโง่ที่เรียกร้องความสนใจจากโลก รู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมาโลกใบนี้จะตอบสนองต่อการเรียกร้องความสนใจของผมอย่างเจ็บแสบ แต่ผมก็ยังจะทำ ทำเพื่อหวังว่าคงมีสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่โลกจะรู้สึกสงสารแล้วอ่อนโยนกับผมบ้างก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนผมจะหวังสูงเกินไปหน่อย ผมแค่นยิ้ม ปิดโทรศัพท์แล้วคว่ำมันลงกับโต๊ะ ‘ป่วยยังไง แต่มีแรงกดถ่ายรูปอัพลงไอจีอ่ะ ตลก’ “หึหึ หึหึ” มันตลกจริงๆ นั่นแหละ ตลกร้ายที่ไม่ว่าผมจะเป็นยังไง จะอยู่ดีมีสุขหรือทนทุกข์ ก็พร้อมจะมีคนคอยซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา ครืด ครืด ~ โทรศัพท์ของผมสั่น ผมเหลือบมองพลางคิดว่าจะมีใครที่ไลน์มาหาผม จะมีใครไลน์มาด่าว่าหรือเปล่า แต่พอลองคิดดูแล้ว คนพวกนั้นไม่มีไลน์ผม ดังนั้นคนที่ไลน์มาหาผมอาจจะเป็น... “ฟาน” ผมเอ่ยชื่อคนที่อยู่ในห้วงความคิดของผมเป็นคนแรก และปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วก็คือมือที่คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดดูข้อความ -ฟานจัดการเรื่องเมื่อวานให้แล้วนะครับ คิดมากจนป่วยเลยใช่ไหม- ผมอ่านประโยคแรก ก่อนที่นิ้วจะกดจิ้มลงไปตรงรูปภาพที่เขาส่งมา หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างเป็นกังวล ภาพนั้นขยายใหญ่ขึ้น กวาดสายตาคร่าวๆ คือภาพที่ฟานแคปมาจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง เป็นโพสต์ของเมื่อวาน ใต้คอมเมนต์หลายร้อยคอมเมนต์นั้น มีคอนเมนต์หนึ่งของไอดีที่ผมคุ้นเคย -พวกคุณกำลังเข้าใจผิด คนในรูปคือแฟนของผมกับพี่รหัสของเขา มันไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าทำให้คนอื่นเข้าใจผิดแล้วช่วยลบโพสต์นี้ด้วยครับ ถ้าคุณชื่นชอบผมจริงๆ ช่วยลบรูปแฟนผมออกด้วย ขอบคุณครับ- ผมยิ้มเมื่ออ่านข้อความนั้น ผมกดออกจากรูปแล้วอ่านข้อความต่อมาของฟาน -สบายใจได้แล้วนะ พวกเขาลบโพสต์ลบรูปออกไปแล้ว เรียนเสร็จฟานจะรีบกลับไปดูแลนะครับคนดี ทานข้าวทานยาแล้วก็นอนพักผ่อนเยอะๆ จะได้กลับมายิ้มมาหัวเราะให้ฟานเหมือนเดิม รักนะครับท้องฟ้าของฟาน- ผมยิ้มทั้งน้ำตาและพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับคำสั่งของเขา ทำเหมือนว่าเขาจะมองเห็น “กายจะกินข้าวเยอะๆ เลยนะ ตอนฟานกลับมากายจะยิ้มให้ฟานเยอะๆ เลยด้วย” ผมพูดกับหน้าจอโทรศัพท์ นิ้วโป้งทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่พิมพ์ตอบกลับคนปลายทาง -รักฟานเหมือนกันครับ รีบกลับมาหากายนะ-
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD